เมื่อวานนี้ (03/08/17) ทาง Nike ประเทศไทยได้เปิดจำหน่าย Nike Air VAPORMAX สี Black/Dark Grey/Anthracite ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งสินค้าได้ถูกจำหน่ายหมดไปอย่างรวดเร็ว
ตัวผมเองได้มีโอกาสเป็นเจ้าของ Nike Air VaporMax Flykint สี DARK TEAM RED/BLACK-UNIVERSITY RED ซึ่งได้วางจำหน่ายที่ต่างประเทศไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จึงขออนุญาตแกะกล่อง พร้อมรีวิว รวมถึง on feet ให้ได้ชมกันด้วยครับ

*Remark: กระทู้นี้เป็นรีวิวแรก ถ้ามีข้อมูลผิดพลาด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ ถ้าเพื่อนๆท่านใดมีคำแนะนำ ติชม จะยินดีมากเลยครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคอมเมนท์ครับ
กล่องของ Nike Air VaporMax Flykint เป็นโทนสีขาวสะอาดตา มีลายถักทอที่น่าจะหมายถึง Flyknit อันเป็นเอกลักษณ์ของ Nike เอง พร้อมสกรีนตัวอักษร VAPORMAX สีเงินที่สามารถสะท้อนแสงสีรุ้งออกมาเมื่อกระทบกับแสง (ไม่แน่ใจว่าเรียกวัสดุพื้นผิวแบบนี้ว่าอะไรครับ 555) ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะพบคำว่า MAX ที่เป็นตัวอักษรพิมพ์ตัวหนา แสดงให้เห็นว่า AIR ของเจ้า VAPORMAX ตัวนี้ มีมากระดับ MAX จริงๆครับ

ซึ่งก็สอดคล้องกับที่ทาง Nike ได้ชูจุดเด่นของ VAPORMAX ตัวนี้ไว้ว่า เป็นตัวแทนของยุคใหม่แห่งนวัตกรรม ที่ทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกเหมือน “วิ่งบนอากาศ” โดยผู้ออกแบบได้ทำการตัดในส่วนของพื้นรองเท้าชั้นกลาง หรือ แผ่นรองพื้นรองเท้า ออกไป เพื่อให้ผู้สวมใส่ได้สัมผัสประสบการณ์กับ Air ให้ได้มากที่สุด

ส่งผลให้น้ำหนักของ VAPORMAX อยู่ที่ 9 ออนซ์เท่านั้น (คำนวนจากรองเท้าผู้ชายไซส์ 9)

เมื่อเปิดกล่องออกมาก็จะพบว่ารองเท้าถูกห่อหุ้มด้วยประดาษสีขาวสกรีนคำว่า VAPORMAX ซึ่งมั่นใจว่ารองเท้าในมือคุณเป็นรุ่นนี้ไม่ผิดแน่

สำหรับ VAPORMAX จะมาพร้อมกับเนื้อผ้า Flyknit ที่เป็นเทคโนโลยีของ Nike ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนักวิ่งว่าอยากได้รองเท้าที่กระชับพอดีกับเท้า ให้ความรู้สึกเบาสบายเหมือนใส่ถุงเท้า จึงเป็นที่มาของ Flyknit ให้เป็นเส้นใยทักทอโดยมีคุณสมบัติกระชับ แข็งแรง ยืดหยุ่น ระบายอากาศได้ดี มีน้ำหนักเบาและสวมใส่สบาย
Nike Air VaporMax Flykint สี DARK TEAM RED/BLACK-UNIVERSITY RED มาในโทนสีที่เป็นแดง / ดำ ให้ความรู้สึกร้อนแรง โดดเด่น แต่สีแดงไม่ได้ดูฉูดฉาดและแสบสันจนไม่กล้าใส่ โลโก้เครื่องหมายถูกของ Nike เป็นสีดำด้าน พร้อมกับ Air ขนาดใหญ่เต็มพื้นที่รองเท้ารมสีดำ ทำให้แฝงไปด้วยความเข้มขรึมแบบผู้ชาย

ส่วนด้านหน้าของรองเท้ามีความยืดหยุ่นด้วย Flyknit พร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า

Cage ของรองเท้าเป็นเส้นด้วยสีแดงซ้อนกัน ยึดติดกับเนื้อผ้า Flyknit ซึ่งในส่วนนี้เอง ผมก็มีความกังวลเมื่อแรกเห็นว่าจะทนทานหรือไม่ และถ้าเกิดขาดขึ้นมาจะทำอย่างไรต่อไป

แต่เมื่อลองสวมใส่และผูกเชือกให้กระชับแล้ว พบว่าตัวเคจเองมีความยืดหยุ่นตามลักษณะการเคลื่อนไหวของเท้าในระดับหนึ่ง ดังนั้นถ้าใส่เพื่อเดินเที่ยว หรือ วิ่งออกกำลังกายตามการใช้งานปกติแล้ว ไม่น่าจะฉีกขาดหรือชำรุดได้ง่ายๆ

บริเวณด้านหลังรองเท้าจะมีสกรีนคำว่า VAPORMAX

Insole เป็นโฟม สามารถถอดออกมาได้ ซึ่งเมื่อสัมผัสดูจะให้ความรู้สึกแข็ง เข้ารูป ยากต่อการพับ บิดงอ มากกว่า Insole ของ Nike รุ่นอื่นๆ เช่น Air Max รวมถึงของคู่แข่งอย่าง Adidas Ultra Boost คาดว่าเหตุผลมาจาก VAPORMAX ตัดในส่วนของพื้นรองเท้าชั้นกลางออกไป ทำให้ Insole จำเป็นต้องมีความแข็งแรง คงรูปในระดับหนึ่งเพื่อรองรับฝ่าเท้าให้รู้สึกมั่นคงในทุกการเคลื่อนไหว

บริเวณ Insole ของ Nike จะมี Tag ที่แสดงขนาดของรองเท้ากำกับไว้ ทั้ง US – UK – EU – CM รวมถึงรหัสรุ่นของรองเท้า

ตามที่ทาง Nike ได้กล่าวไว้ พื้นรองเท้าของ VAPORMAX เป็นรองเท้าที่มี Air มากที่สุดในตอนนี้ โดยบริเวณ Outsole ของ Air แต่ละตัวจะมีวัสดุ TPU สีดำ และ ปุ่มล้อมรอบเอาไว้ ส่วนหนึ่งน่าจะเพื่อเสริมความทนทานและกันลื่นในสภาพพื้นผิวที่ราบเรียบก็เป็นได้

ในเมื่อ Air มีจำนวนมากและมีขนาดใหญ่เต็มพื้นที่อย่างนี้แล้วล่ะก็ สิ่งที่หลายคนตั้งคำถาม รวมถึงตัวผมเองในการตัดสินใจซื้อก็คือ ความทนทานของ Air ว่าจะทนทานขนาดไหน โดยเฉพาะถ้าใส่เดินในพื้นผิว เส้นทางที่ขรุขระอย่างในกรุงเทพมหานครและประเทศไทย จะชำรุดและเสื่อมสภาพในเร็ววันก่อนจะคุ้มค่าตัวหรือไม่

จากการหาข้อมูลในเบื้องต้นพบว่า Outsole ที่เป็น Air ของ VAPORMAX นั้น ผ่านมาทดสอบการใช้งานในสภาพพื้นผิวที่ขรุขระอย่างที่ Colorado มาแล้ว แต่ส่วนตัวผมพยายามหาคลิป หรือ บทความการทดสอบ ก็ไม่เจอครับ (อาจเป็นที่ผมไม่ละเอียดเองก็ได้ครับ)
แต่ใน Youtube ก็มีผู้ใช้งานหลายคน อยากทดสอบความทนทานของเจ้า VAPORMAX ตัวนี้ โดยคลิปที่ผมเจอมีอยู่ 2 คลิป คือ
คลิปที่เป็นเศษแก้วแต่กระจากบนถนน แล้วผู้หญิงก็ใส่ VAPORMAX เดินไปเหยียบย่ำมันซ้ำแล้วซ้ำอีก (ดูแล้วกลัวแทน กลัวรองเท้าจะพัง 555) แต่ตอนจบก็ปรากฎว่ารองเท้าไม่เป็นอะไร เจ๊แกยังยกเท้าให้กล้องดู พร้อมเดินเริงร่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อีกคลิปเป็น คลิปของคนจีนที่พูดภาษาจีน (ก็แหงล่ะ คนจีนก็ต้องพูดจีนมั้ย) ซึ่งในส่วนท้ายๆของคลิป เค้ามีการเอาหมุดหัวร่ม (เรียกแบบนี้หรือเปล่า) 1 กล่อง วางที่พื้นโดยหงายตัวเข็มขึ้น แล้วนำ VAPORMAX เดินลงไปเหยียบอย่างตั้งใจ ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นล่ะฮะท่านผู้ชม เจ้าหมดก็แทงทะลุฝั่งเข้าไปในแอร์ ท้ายๆเจ้าหมอนี่ยังมีดึงหมุดออกและได้ยินเสียงฟู่ตามมาด้วยทีเดียว

จากทั้ง 2 คลิปก็พอจะสรุปได้ว่า Air ของ VAPORMAX นั้น มีความทนทานต่อการใช้งานในสภาพปกติคือ ใส่เดินเที่ยว ใส่วิ่งได้สบายๆ รวมถึงมีความทนทานต่อสิ่งแปลกปลอมบนถนนเช่นเศษแก้ว เศษหินได้ในระดับหนึ่ง
แต่ถ้าเจอของมีคมอย่างหมุด เข็ม มีด ปืน น้ำกรด ระเบิด (เดี๋ยวนะ 3 อย่างหลังนี้ไม่น่าใช่!!!) ก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน
ถ้าอยากได้ความทนทานระดับนั้นคงต้องรอพื้นรองเท้าที่ทำจาก อดาแมนเที่ยม หรือ ไวเบรเนี่ยม แล้วล่ะ 555
แกะกล่องกันแล้ว ก็ถึงเวลาลองใส่ดูบ้าง

ความรู้สึกเมื่อ on feet ครั้งแรก รู้สึกได้ว่า “ไม่นิ่ม” กล่าวคือ ไม่นิ่มอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ด้วยความที่ส่วนใหญ่ผมเคยใส่รองเท้าในแบรนด์คู่แข่งอย่าง Adidas มาตลอด ทั้ง Yeezy, NMD และ Ultra Boost ที่ตัวโฟมจะให้ความรู้สึกนุ่มนิ่ม หน่อมแน้ม ซอร์ฟๆ น่าทะนุถนอม จึงอาจเป็นเหตุผลของความไม่คุ้นชินในวินาทีแรกที่สัมผัสพื้นของ VAPORMAX จึงให้ความรู้สึกว่า “แข็ง” ครับ
แต่ถ้าย้อนกลับไปความรู้สึกในสมัยหนุ่มๆ ที่ใส่รองเท้ากีฬา หรือ รองเท้าบาสของ Nike รุ่นต่างๆ ที่เป็น Air ก็จะเป็นความรู้สึกแบบนั้นเลย
สำหรับคนที่ใส่ Nike Air อยู่แล้วเป็นประจำ อาจไม่ได้รู้สึกว่า "แข็ง" นะครับ (อันนี้ลองถามเพื่อนๆที่ใส่ดู)
ความรู้สึกเมื่อเปรียบเทียบกับแบรนด์คู่แข่งอย่าง Adidas Ultra Boost คือ ตัวโฟมของ Adidas นั้น ให้ความรู้สึกนุ่ม นิ่ม เท้ามากกว่า แต่ความรู้สึกของ Air จาก VAPORMAX นั้นเป็นแบบสูญญากาศ คือออกแนวเด้ง เมื่อออกเดิน เหมือนกับมีสปริงหรือสูญญากาศภายในมารองรับ (ก็แหงล่ะ มันเป็น Air นี่หว่า)

ส่วน Upper ที่เป็น Flyknit ก็ยืดหยุ่นในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ยืดมากเหมือนกับ Primeknit ของ Ultra Boost ซึ่ง VAPORMAX จะรู้สึกกระชับเท้ามากกว่า ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการให้รองเท้าคงรูปมากที่สุดในการเดินหรือออกวิ่งเช่นกัน
แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด หรือ ไม่สบายเท้าแต่อย่างใด

แต่เดี๋ยวก่อนครับ ผมได้เจ้า VAPORMAX มาในวันที่ 2 ของการเดินทางไปฮ่องกง ทำให้เปลี่ยนใส่เดินตั้งแต่วันนั้นเลย
ซึ่งจากการใส่เดิน มีวิ่งบ้าง ผ่านไป 1-2 วัน ความรู้สึกว่า “แข็ง” ของพื้น Air VAPORMAX นั้นหายไป เหมือนกับรู้สึกนิ่มขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่ยวบยาบ การคืนตัวของ Air ให้ความรู้สึกเด้งดึ๋ง ยืดหยุ่นมีมากขึ้น

ดังนั้นคาดว่าอาจต้องใช้งานไปซัก 1 วัน ตัวรองเท้าจะเข้าที่มากกว่าครั้งแรกที่สวมใส่ครับ
หลังจากกลับมาที่ไทยแล้ว ผมก็ใส่เจ้า VAPORMAX ไปทำงาน เดินเที่ยว ปั่นจักรยาน รวมถึงไปวิ่งเพื่อลดความอ้วนลงบ้าง ซึ่งเจ้า VAPORMAX ตัวนี้ก็ออกแบบมาเป็นรองเท้าวิ่ง จึงทำออกมาได้ดีมาก (ออกตัวก่อนว่าไม่ใช่นักวิ่งมืออาชีพ วิ่งได้แต่ไม่ไกลและไม่นาน)
มีเผลอไปเล่นบาสทั้งๆที่ใส่ VAPORMAX อยู่ ก็พบว่าเมื่อใช้งานวิ่งและกระโดดก็สามารถรับน้ำหนักได้ดี ไม่ต่างจาก Air ในรองเท้าบาสของ Nike เลยทีเดียว แต่ก็คงจะไม่เหมาะกับการใส่เล่นบาสเพราะพื้นสนามคอนกรีตอาจทำให้รองเท้าเสื่อมสภาพได้เร็ว รวมถึงมีความเสี่ยงได้รับบาดเจ็บจากข้อเท้าแพลงได้ครับ

สรุปการใช้งานประมาณ 1 อาทิตย์ ตอนนี้รู้สึกชื่นชอบความเบาสบาย เดินแล้วเด้งดึ๋ง และ หลงไหลในความสวยของโทนสีดำ-แดง สามารถใส่กับกางเกงยีนส์สีดำ เสื้อเชิ้ตไปทำงานได้ ดูเข้ากันดีอย่างไม่เคอะเขินอะไร หรือ จะใส่คู่กับ Jogger Pants ก็สวยงามตามสไตล์ครับ
ขอบคุณครับ
[CR] Review: Nike Air VAPORMAX Flyknit รองเท้าที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนวิ่งบนอากาศ
ตัวผมเองได้มีโอกาสเป็นเจ้าของ Nike Air VaporMax Flykint สี DARK TEAM RED/BLACK-UNIVERSITY RED ซึ่งได้วางจำหน่ายที่ต่างประเทศไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จึงขออนุญาตแกะกล่อง พร้อมรีวิว รวมถึง on feet ให้ได้ชมกันด้วยครับ
*Remark: กระทู้นี้เป็นรีวิวแรก ถ้ามีข้อมูลผิดพลาด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ ถ้าเพื่อนๆท่านใดมีคำแนะนำ ติชม จะยินดีมากเลยครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคอมเมนท์ครับ
กล่องของ Nike Air VaporMax Flykint เป็นโทนสีขาวสะอาดตา มีลายถักทอที่น่าจะหมายถึง Flyknit อันเป็นเอกลักษณ์ของ Nike เอง พร้อมสกรีนตัวอักษร VAPORMAX สีเงินที่สามารถสะท้อนแสงสีรุ้งออกมาเมื่อกระทบกับแสง (ไม่แน่ใจว่าเรียกวัสดุพื้นผิวแบบนี้ว่าอะไรครับ 555) ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะพบคำว่า MAX ที่เป็นตัวอักษรพิมพ์ตัวหนา แสดงให้เห็นว่า AIR ของเจ้า VAPORMAX ตัวนี้ มีมากระดับ MAX จริงๆครับ
ซึ่งก็สอดคล้องกับที่ทาง Nike ได้ชูจุดเด่นของ VAPORMAX ตัวนี้ไว้ว่า เป็นตัวแทนของยุคใหม่แห่งนวัตกรรม ที่ทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกเหมือน “วิ่งบนอากาศ” โดยผู้ออกแบบได้ทำการตัดในส่วนของพื้นรองเท้าชั้นกลาง หรือ แผ่นรองพื้นรองเท้า ออกไป เพื่อให้ผู้สวมใส่ได้สัมผัสประสบการณ์กับ Air ให้ได้มากที่สุด
ส่งผลให้น้ำหนักของ VAPORMAX อยู่ที่ 9 ออนซ์เท่านั้น (คำนวนจากรองเท้าผู้ชายไซส์ 9)
เมื่อเปิดกล่องออกมาก็จะพบว่ารองเท้าถูกห่อหุ้มด้วยประดาษสีขาวสกรีนคำว่า VAPORMAX ซึ่งมั่นใจว่ารองเท้าในมือคุณเป็นรุ่นนี้ไม่ผิดแน่
สำหรับ VAPORMAX จะมาพร้อมกับเนื้อผ้า Flyknit ที่เป็นเทคโนโลยีของ Nike ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนักวิ่งว่าอยากได้รองเท้าที่กระชับพอดีกับเท้า ให้ความรู้สึกเบาสบายเหมือนใส่ถุงเท้า จึงเป็นที่มาของ Flyknit ให้เป็นเส้นใยทักทอโดยมีคุณสมบัติกระชับ แข็งแรง ยืดหยุ่น ระบายอากาศได้ดี มีน้ำหนักเบาและสวมใส่สบาย
Nike Air VaporMax Flykint สี DARK TEAM RED/BLACK-UNIVERSITY RED มาในโทนสีที่เป็นแดง / ดำ ให้ความรู้สึกร้อนแรง โดดเด่น แต่สีแดงไม่ได้ดูฉูดฉาดและแสบสันจนไม่กล้าใส่ โลโก้เครื่องหมายถูกของ Nike เป็นสีดำด้าน พร้อมกับ Air ขนาดใหญ่เต็มพื้นที่รองเท้ารมสีดำ ทำให้แฝงไปด้วยความเข้มขรึมแบบผู้ชาย
ส่วนด้านหน้าของรองเท้ามีความยืดหยุ่นด้วย Flyknit พร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า
Cage ของรองเท้าเป็นเส้นด้วยสีแดงซ้อนกัน ยึดติดกับเนื้อผ้า Flyknit ซึ่งในส่วนนี้เอง ผมก็มีความกังวลเมื่อแรกเห็นว่าจะทนทานหรือไม่ และถ้าเกิดขาดขึ้นมาจะทำอย่างไรต่อไป
แต่เมื่อลองสวมใส่และผูกเชือกให้กระชับแล้ว พบว่าตัวเคจเองมีความยืดหยุ่นตามลักษณะการเคลื่อนไหวของเท้าในระดับหนึ่ง ดังนั้นถ้าใส่เพื่อเดินเที่ยว หรือ วิ่งออกกำลังกายตามการใช้งานปกติแล้ว ไม่น่าจะฉีกขาดหรือชำรุดได้ง่ายๆ
บริเวณด้านหลังรองเท้าจะมีสกรีนคำว่า VAPORMAX
Insole เป็นโฟม สามารถถอดออกมาได้ ซึ่งเมื่อสัมผัสดูจะให้ความรู้สึกแข็ง เข้ารูป ยากต่อการพับ บิดงอ มากกว่า Insole ของ Nike รุ่นอื่นๆ เช่น Air Max รวมถึงของคู่แข่งอย่าง Adidas Ultra Boost คาดว่าเหตุผลมาจาก VAPORMAX ตัดในส่วนของพื้นรองเท้าชั้นกลางออกไป ทำให้ Insole จำเป็นต้องมีความแข็งแรง คงรูปในระดับหนึ่งเพื่อรองรับฝ่าเท้าให้รู้สึกมั่นคงในทุกการเคลื่อนไหว
บริเวณ Insole ของ Nike จะมี Tag ที่แสดงขนาดของรองเท้ากำกับไว้ ทั้ง US – UK – EU – CM รวมถึงรหัสรุ่นของรองเท้า
ตามที่ทาง Nike ได้กล่าวไว้ พื้นรองเท้าของ VAPORMAX เป็นรองเท้าที่มี Air มากที่สุดในตอนนี้ โดยบริเวณ Outsole ของ Air แต่ละตัวจะมีวัสดุ TPU สีดำ และ ปุ่มล้อมรอบเอาไว้ ส่วนหนึ่งน่าจะเพื่อเสริมความทนทานและกันลื่นในสภาพพื้นผิวที่ราบเรียบก็เป็นได้
ในเมื่อ Air มีจำนวนมากและมีขนาดใหญ่เต็มพื้นที่อย่างนี้แล้วล่ะก็ สิ่งที่หลายคนตั้งคำถาม รวมถึงตัวผมเองในการตัดสินใจซื้อก็คือ ความทนทานของ Air ว่าจะทนทานขนาดไหน โดยเฉพาะถ้าใส่เดินในพื้นผิว เส้นทางที่ขรุขระอย่างในกรุงเทพมหานครและประเทศไทย จะชำรุดและเสื่อมสภาพในเร็ววันก่อนจะคุ้มค่าตัวหรือไม่
จากการหาข้อมูลในเบื้องต้นพบว่า Outsole ที่เป็น Air ของ VAPORMAX นั้น ผ่านมาทดสอบการใช้งานในสภาพพื้นผิวที่ขรุขระอย่างที่ Colorado มาแล้ว แต่ส่วนตัวผมพยายามหาคลิป หรือ บทความการทดสอบ ก็ไม่เจอครับ (อาจเป็นที่ผมไม่ละเอียดเองก็ได้ครับ)
แต่ใน Youtube ก็มีผู้ใช้งานหลายคน อยากทดสอบความทนทานของเจ้า VAPORMAX ตัวนี้ โดยคลิปที่ผมเจอมีอยู่ 2 คลิป คือ
คลิปที่เป็นเศษแก้วแต่กระจากบนถนน แล้วผู้หญิงก็ใส่ VAPORMAX เดินไปเหยียบย่ำมันซ้ำแล้วซ้ำอีก (ดูแล้วกลัวแทน กลัวรองเท้าจะพัง 555) แต่ตอนจบก็ปรากฎว่ารองเท้าไม่เป็นอะไร เจ๊แกยังยกเท้าให้กล้องดู พร้อมเดินเริงร่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อีกคลิปเป็น คลิปของคนจีนที่พูดภาษาจีน (ก็แหงล่ะ คนจีนก็ต้องพูดจีนมั้ย) ซึ่งในส่วนท้ายๆของคลิป เค้ามีการเอาหมุดหัวร่ม (เรียกแบบนี้หรือเปล่า) 1 กล่อง วางที่พื้นโดยหงายตัวเข็มขึ้น แล้วนำ VAPORMAX เดินลงไปเหยียบอย่างตั้งใจ ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นล่ะฮะท่านผู้ชม เจ้าหมดก็แทงทะลุฝั่งเข้าไปในแอร์ ท้ายๆเจ้าหมอนี่ยังมีดึงหมุดออกและได้ยินเสียงฟู่ตามมาด้วยทีเดียว
จากทั้ง 2 คลิปก็พอจะสรุปได้ว่า Air ของ VAPORMAX นั้น มีความทนทานต่อการใช้งานในสภาพปกติคือ ใส่เดินเที่ยว ใส่วิ่งได้สบายๆ รวมถึงมีความทนทานต่อสิ่งแปลกปลอมบนถนนเช่นเศษแก้ว เศษหินได้ในระดับหนึ่ง
แต่ถ้าเจอของมีคมอย่างหมุด เข็ม มีด ปืน น้ำกรด ระเบิด (เดี๋ยวนะ 3 อย่างหลังนี้ไม่น่าใช่!!!) ก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน
ถ้าอยากได้ความทนทานระดับนั้นคงต้องรอพื้นรองเท้าที่ทำจาก อดาแมนเที่ยม หรือ ไวเบรเนี่ยม แล้วล่ะ 555
แกะกล่องกันแล้ว ก็ถึงเวลาลองใส่ดูบ้าง
ความรู้สึกเมื่อ on feet ครั้งแรก รู้สึกได้ว่า “ไม่นิ่ม” กล่าวคือ ไม่นิ่มอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ด้วยความที่ส่วนใหญ่ผมเคยใส่รองเท้าในแบรนด์คู่แข่งอย่าง Adidas มาตลอด ทั้ง Yeezy, NMD และ Ultra Boost ที่ตัวโฟมจะให้ความรู้สึกนุ่มนิ่ม หน่อมแน้ม ซอร์ฟๆ น่าทะนุถนอม จึงอาจเป็นเหตุผลของความไม่คุ้นชินในวินาทีแรกที่สัมผัสพื้นของ VAPORMAX จึงให้ความรู้สึกว่า “แข็ง” ครับ
แต่ถ้าย้อนกลับไปความรู้สึกในสมัยหนุ่มๆ ที่ใส่รองเท้ากีฬา หรือ รองเท้าบาสของ Nike รุ่นต่างๆ ที่เป็น Air ก็จะเป็นความรู้สึกแบบนั้นเลย
สำหรับคนที่ใส่ Nike Air อยู่แล้วเป็นประจำ อาจไม่ได้รู้สึกว่า "แข็ง" นะครับ (อันนี้ลองถามเพื่อนๆที่ใส่ดู)
ความรู้สึกเมื่อเปรียบเทียบกับแบรนด์คู่แข่งอย่าง Adidas Ultra Boost คือ ตัวโฟมของ Adidas นั้น ให้ความรู้สึกนุ่ม นิ่ม เท้ามากกว่า แต่ความรู้สึกของ Air จาก VAPORMAX นั้นเป็นแบบสูญญากาศ คือออกแนวเด้ง เมื่อออกเดิน เหมือนกับมีสปริงหรือสูญญากาศภายในมารองรับ (ก็แหงล่ะ มันเป็น Air นี่หว่า)
ส่วน Upper ที่เป็น Flyknit ก็ยืดหยุ่นในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ยืดมากเหมือนกับ Primeknit ของ Ultra Boost ซึ่ง VAPORMAX จะรู้สึกกระชับเท้ามากกว่า ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการให้รองเท้าคงรูปมากที่สุดในการเดินหรือออกวิ่งเช่นกัน
แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด หรือ ไม่สบายเท้าแต่อย่างใด
แต่เดี๋ยวก่อนครับ ผมได้เจ้า VAPORMAX มาในวันที่ 2 ของการเดินทางไปฮ่องกง ทำให้เปลี่ยนใส่เดินตั้งแต่วันนั้นเลย
ซึ่งจากการใส่เดิน มีวิ่งบ้าง ผ่านไป 1-2 วัน ความรู้สึกว่า “แข็ง” ของพื้น Air VAPORMAX นั้นหายไป เหมือนกับรู้สึกนิ่มขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่ยวบยาบ การคืนตัวของ Air ให้ความรู้สึกเด้งดึ๋ง ยืดหยุ่นมีมากขึ้น
ดังนั้นคาดว่าอาจต้องใช้งานไปซัก 1 วัน ตัวรองเท้าจะเข้าที่มากกว่าครั้งแรกที่สวมใส่ครับ
หลังจากกลับมาที่ไทยแล้ว ผมก็ใส่เจ้า VAPORMAX ไปทำงาน เดินเที่ยว ปั่นจักรยาน รวมถึงไปวิ่งเพื่อลดความอ้วนลงบ้าง ซึ่งเจ้า VAPORMAX ตัวนี้ก็ออกแบบมาเป็นรองเท้าวิ่ง จึงทำออกมาได้ดีมาก (ออกตัวก่อนว่าไม่ใช่นักวิ่งมืออาชีพ วิ่งได้แต่ไม่ไกลและไม่นาน)
มีเผลอไปเล่นบาสทั้งๆที่ใส่ VAPORMAX อยู่ ก็พบว่าเมื่อใช้งานวิ่งและกระโดดก็สามารถรับน้ำหนักได้ดี ไม่ต่างจาก Air ในรองเท้าบาสของ Nike เลยทีเดียว แต่ก็คงจะไม่เหมาะกับการใส่เล่นบาสเพราะพื้นสนามคอนกรีตอาจทำให้รองเท้าเสื่อมสภาพได้เร็ว รวมถึงมีความเสี่ยงได้รับบาดเจ็บจากข้อเท้าแพลงได้ครับ
สรุปการใช้งานประมาณ 1 อาทิตย์ ตอนนี้รู้สึกชื่นชอบความเบาสบาย เดินแล้วเด้งดึ๋ง และ หลงไหลในความสวยของโทนสีดำ-แดง สามารถใส่กับกางเกงยีนส์สีดำ เสื้อเชิ้ตไปทำงานได้ ดูเข้ากันดีอย่างไม่เคอะเขินอะไร หรือ จะใส่คู่กับ Jogger Pants ก็สวยงามตามสไตล์ครับ
ขอบคุณครับ