อุทาหรณ์ลูกป่วยต่างแดน เมื่อเกาหลีกลายเป็นเกาหลอน

ตั้งใจจะเขียนเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนได้อ่านไว้เป็นอุทาหรณ์ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ทุกๆคนนะคะ
ถึงบทเรียนราคาแพง ที่ไม่ใช่แพงแค่เงิน แต่มันหมายถึงชีวิตดวงใจของเรา นั่นก็คือลูกเรื่องมันก็มีอยู่ว่า ครอบครัวเราได้จัดทริปเที่ยวเกาหลีสั้นๆ4วัน3คืน เป็นทริปที่ตัดสินใจปุ๊บปั๊บ (ลูกอายุ1ขวบ1เดือนกว่าๆ) พอถึงเวลาเดินทางซึ่งไฟลท์ที่เราบินนั้นอยู่ที่เวลาประมาณ ตี2 บ้านเรา เดินทางใช้เวลาประมาณ 5 ชม. พอไปถึงเพื่อนที่เกาหลีเราก็มารอรับ พาไปกินข้าวก่อนแล้วถึงจะเข้าโรงแรม  ลูกคนเล็กเรามีอาการอ่อนเพลียมาก ง่วงจะนอนหลับตลอด ซึ่งปกติไม่ใช่ เราเริ่มรู้สึกไม่ดีตั้งแต่อยู่บนเครื่องแล้วว่าลูกหายใจแปลกๆ พอถึงร้านอาหารลูกก็ยังง่วงซึมๆ เราคิดว่าน่าจะเป็นผลจากการนั่งเครื่องบินด้วย เราก็พยายามปลุกลูก ป้อนข้าว ซึ่งก็กินได้เยอะ แต่ตัวก็เริ่มร้อน เราและพ่อของน้องช่วยกันเช็ดตัวพยายามทำให้ตัวเย็นลง  เพื่อนของเราจึงเสนอว่าเดี๋ยวเอาของไปเก็บโรงแรมแล้วจะพาไปคลีนิคหาหมอ ตอนนั้นเราร้อนใจมากโถ่เอ้ย กูไม่น่าเล้ย มีแต่คำนี้ผุดขึ้นในหัวตลอดเวลา กูไม่น่าพาลูกมาลำบากเลย พอถึง รร เราก็จัดการเช็ดตัวลูกก่อนรอบนึงให้ตัวเย็น แต่ในขณะที่นั่งรถไปคลีนิค ลูกตัวร้อนเรากับสามีก็ช่วยกันเช็ดตัว พอไปถึงคลีนิค ด้วยถนนหนทางเกาหลีมันเป็นเขาๆเนินๆวันเวย์ที่จอดรถน้อย เราจอดรถและเดินไกลพอสมควร อุ้มลูกวิ่งขึ้นไปคลีนิคชั้น 3 พอไปถึง เพื่อนเกาหลีเราก็พูดช้งเช้งๆ แน่นอน ไม่เข้าใจ แต่จับใจความได้ว่าไม่ได้รักษาไม่ได้ เราก็ถามเพื่อนเป็นภาษาอังกฤษ ว่าคืออะไร เค้าบอกเล็กเกินไป พวกเราเลยรีบเปลี่ยนที่ เพื่อนวิ่งไปเอารถ ส่วนเราวิ่งไปหาซื้อน้ำ เพื่อมาเช็ดตัวลูก พอไปถึงคลีนิคที่ 2 ได้พบหมอละ เราเข้าไปกับเพื่อนและครอบครัว คุยกับหมอเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งแน่นอน งงกันค่ะ เพื่อนเกาหลีเลยช่วยพูดแล้วมาแปล สรุปว่าหมอสงสัยว่า pneumonia หรือปอดอักเสบนั่นเอง เดี๋ยวจะเขียนใบส่งตัวไป รพ ในตอนนั้นใจเราแทบจะแตกสลายจะร้องไห้ โทษตัวเองตลอดเวลา และด้วยความที่ว่าเราเช็ดตัวให้ลูกตลอดเวลา เสื้อเลยเปียก ความรีบร้อนคือไม่ได้เตรียมชุดสำรองมาเอาออกไว้ที่ โรงแรมหมด จึงต้องเอาเสื้อลูกคนโตมาสลับใส่ ซึ่งนางก็งองแงเพราะมันเปียก พยายามช่วยกันพูดให้เข้าใจว่าน้องกำลังแย่ โธ่เอ้ย ลูกคนโตเพิ่งจะ4ขวบ ไม่ยอมก็ต้องยอม สงสารลูกทั้ง2ไปพร้อมๆกัน  พอเราเปลียนเสื้อกันเสร็จเรารีบบึ่งไปที่ โรงพยาบาล
พอไปถึงเราอยู่แผนกฉุกเฉิน เพื่อนก็ไปติดต่อเรารีบร้อนใจมาก แต่ต้องรอ รอ รอ แน่นอนเรานั่งไม่ติดแน่อุ้มลูกเดินไปเดินมา แฟนเรากับพี่สาวก็บอกว่ายังไงก็ต้องรอเพราะมีคนที่หนักกว่าเรายังต้องรอ รอสักพักเค้าก็เรียก ก็มีโอปป้าบุรุษพยาบาลมาซักประวัติ ถามนู่นนั่นนี่ แน่นอนภาษาเกาหลี ก็มีล่ามซึ่งคือเพื่อนเราเอง แปลให้อีกที โอ้ยนาทีนี้กูเก่งอิ้งขึ้นมาทันที โชคดีมีพี่สาวแฟนซึ่งแอดวานซ์กว่าแปลร่วมด้วยช่วยกัน พอซักประวัติเสร็จ วัดไข้ ไข้สูงมาก40 องศาเราก็คิดว่าเดี๋ยวพยาบาลคงมาเช็ดตัว ใช่ค่ะอุปกรณ์มา แต่คือ อีแม่ต้องทำเอง เฮ้ยเราบอกi can’t นางตอบ u can! U have to do เออๆทำก็ได้วะ จริงๆเราเป็นมือโปรเรื่องการเช็ดตัวเพราะคนโตเคยไข้สูงชัก เพราะฉนั้นเราเซียนเรื่องนี้ แต่มันไม่ใช่ซิ ทุกอย่างที่เราทำ ที่นี่ผิดหมด ผ้าเปียกชุ่มเช็ดย้อนเปิดรูขุมขน โดนบอกให้หยุดทำ ให้ซับผ้าแห้ง ทำเบาๆเหมือนทาโลชั่น โอ้ยอิหอยเอ้ยไข้คงลงหรอกนะ ก็ต้องทำตามแบบนั้นพอเผลอก็ทำตามแบบเรา  พอคิวห้องx-rayว่าง เราก็เข้าไปทำการ เอ็กซเรย์ปอด เสร็จก็รอพบหมอ หมอที่นี่หนุ่มๆสาวๆแน่นอนเพราะเป็น รพ มหาวิทยาลัย อารมณ์แบบนักศึกษาแพทย์ เค้าก็เอาแผ่นเอ็กซ์เรย์มาชี้ๆบอกปอดเนี่ยมีปัญหา เราพอดูออก มีเพื่อนช่วยแปล ต้องแอดมิท อืมเราก็คิดอยู่แล้ว ก่อนจนท.จะพาเราไปห้องพัก ทางเราได้ปรึกษากันเรื่องห้องว่าจะอยู่ห้องรวม เพราะที่นี่ค่าห้องคืนละหมื่นอัพ อีกอย่างห้องรวมที่นี่มี6เตียง มีฉากม่านกั้นเป็นสัดส่วน คืนละ 2,000 เราเลือกเตียงริมหน้าต่างเพราะมันกว้างมีที่นั่งรอ ทั้งห้องมีคนไข้แค่2เตียง(รวมเรา) ก่อนถึงห้องเราได้พาลูกไปเจาะตรวจเลือดแทงเข็มน้ำเกลือและให้ยา พยาบาลที่นี่ให้เราอุ้มลูกล็อคลูกเอง หลังจากนั้นจึงพามาส่งห้อง ขณะนั้นลูกก็ยังตัวร้อน หายใจเร็วและแรง เราก็ปรึกษากันว่าจะเอายังไงจะนอนกันยังไง เพราะมีลูกเล็กอีกคน คนเล็กก็ห่วงคนโตก็ห่วงไม่อยากให้มาลำบากทั้ง2 เผื่อติดกันขึ้นมาอีกจะทำยังไง เราเลยบอกแม่อยู่ได้นะ พ่อพาพี่ไปนอน รร เถอะ เพราะสะดวกสบายกว่า ค่อยมาหาตอนเช้า แม่จะดูแลน้องเอง ขณะนั้น2ทุ่มบ้านเค้ายังสว่าง กว่าจะกลับจาก รพ กันก็4ทุ่ม ขับรถแค่10นาที แหม่ อะไรมันจะประจวบเหมาะปานนั้น พ่อกลับเอาของใช้จำเป็นมาให้แม่อีกรอบ หลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาของแม่และน้อง ลูกร้องทุกครั้งที่พยาบาลเข้ามาทำอะไร ไม่ว่าจะวัดไข้ เช็คอัตราการเต้นของหัวใจ ออกซิเจน อัตราการหายใจ คืนแรกลูกยังคงตัวร้อน แน่นอนพยาบาลเตรียมอุปกรณ์มาครบ อิแม่ทำเองค่ะ และอิแม่กดเรียกเอาชุดเอาผ้ามาเปลี่ยนทั้งคืน ไม่ได้หรอกลูกเราไข้ต้องลง พอถึงเช้าลูกไข้ลงจริงๆ

เข้าวันที่2 เริ่มมีอุปกรณ์ใหม่มาละ เครื่องพ่นจมูก พยาบาลจะเข้ามาทุก4ชม และแน่นอนให้อิแม่ทำเอง มันเป็นเครื่องพ่นแบบพกพา เสียบปลั๊ก พยาบาลมีหน้าที่แค่มาเติมยา วันนี้ทั้งหมอและพยาบาลก็ยังวนเวียนเข้ามาตลอดเวลาแทบจะไม่ได้หลับนอนกันเลย จะนอนทีก็ถึงเวลาพ่นยา กินยา นั่นนี่ แม่ยังคงสตรอง หมอและพยาบาลยังคงพูดเหมือนเดิม ยังไม่ดีนะ ต้องใช้เวลาต้องให้ยา ต้องพ่นยาไปก่อน เราเลยถามหมอจะกลับวันจันทร์ตามกำหนดเดิมได้มั๊ย เราเข้าวันศุกร์ เค้าก็บอกว่าไม่รู้ ส่ายหน้า ต้องดูอาการ ถ้าดีขึ้นก็ได้ เร็วสุดอาจเป็นอังคาร อืมมมมมม  โอเคเรารู้แล้วว่าไม่ได้กลับตามกำหนดเดิมแน่ๆ คนแรกที่เรารีบติดต่อเลย คือตัวแทนประกันของน้อง ซึ่งเป็นเพื่อนเรา เพื่อนถามเลยว่าได้ซื้อประกันการเดินทางมั๊ย เรารีบตอบว่า ซื้อ และใจหายวาบบบ เพราะตอนแรกจะไม่ซื้อ เท่านั้นแหล่ะเพื่อนไปจัดการติดต่อ และไลน์กลับมา ทั้งโทรและแชทว่า เด็กเท่าน้องคุ้มครอง2แสน โอ้ยค่อยยังชั่วหน่อย คือเพื่อนดีมาก คอยประสานงานหาข้อมูลต่างๆนาๆให้ ใครจะซื้อประกันจะซื้อกับใครก็ได้ แต่ต้องได้แบบตัวแทนของเรา และเราก็ให้ทางพี่สาวที่อยู่ไทยหาข้อมูลช่วยอีกทาง เรื่องตั๋วที่แคนเซิลขอกลับก็เคลมได้ แต่ได้ราคาเดิมที่ซื้อรอบแรก (ดีกว่าไม่ได้อะไรนะ) โอเคคืนที่2ผ่านไป ทุกอย่างก็ทำวนๆไป  

เข้าวันที่3 มีคนมารับพาไปX-rayปอดรอบที่2 หมอใหญ่เข้ามาตรวจ คำตอบคือยังไม่โอเค น้องยังหายใจเร็วแต่ดีนะที่ไม่มีไข้ ยังกลับไม่ได้หรอกมันอันตรายเวลาขึ้นเครื่องให้อยู่รักษาต่อก่อน เดี๋ยวรอดูว่าหลังจากรับยาไปแล้วจะมาX-ray อีกรอบก่อนกลับ หมอคิดว่าน่าจะกลับได้เร็วสุดพุธ ช้าสุดพฤหัส เราก็ขอบคุณหมอไป พอเข้าวันที่3ลูกเริ่มมีแรง เราพ่นยาเองคนเดียวไม่ได้แล้ว ลูกดิ้นมากมาย ทำให้ยาที่พ่นมันไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร เนื่องจากตอนนี้ทั้งห้องมีเราเตียงเดียว พ่อกับพี่จึงขนกันมาอยู่ด้วย และเป็นวันแรกที่เราได้อาบน้ำ ที่นี่มีห้องน้ำให้อาบอยู่ข้างนอกสะอาดเหมือน โรงแรม มีห้องครัวอุ่นอาหาร มีห้องดูทีวี  ในแต่ละวันลูกติดแม่หนึบมาก ร้องงองแงด้วย พยาบาลชอบถามทำไมร้องไม่มีน้ำตา เราก็บอกไม่รู้เหมือนกัน  เราสบายใจขึ้นมาหน่อยเพราะไลน์คุยกับหมอเด็ก ที่ดูแลลูกเราอยู่ หมอดีมากย้ายไปอยู่ภูเก็ตแต่ก็ยังไลน์ตอบทุกอาการที่เราสงสัย ได้คุยกับน้าที่เป็นพยาบาลเด็ก คอยแนะอาการให้สังเกตอะไรบ้างอะไรดีอะไรไม่ดี ซึ่งน้าบอกเรายังโอเคนะไม่ได้น่าห่วงมาก

เข้าวันที่4 ลูกร้องไห้แต่เช้า ไม่รู้เป็นอะไร แต่เราคิดว่าต้องหิวแน่ๆไม่ได้กินอะไรเลย กินไม่ได้เพราะหายใจเร็ว หมอพยาบาลห้ามกินอาหารและน้ำ พอพยาบาลมาบอกวันนี้กินได้นะ เรายังไม่แน่ใจเพราะพยาบาลพูดไม่เหมือนกันรอหมอดีกว่า พอดีหมอใหญ่มาบอกกินได้แล้วหายใจดีขึ้นมาก แต่ยังไม่ปกติ เราเลยโทรหาเพื่อนพี่สาวกับพี่สาว ซื้อข้าวต้มโจ๊กปูมาให้ พอลูกได้กินข้าวคำแรก โหหยุดร้องดีใจมาก กินไป3ถ้วยข้าวต้มเมืองไทย ถ้วยแบบร้านข้าวต้มที่กินกับกับต่างๆอะไรประมาณนั้น
ทุกอย่างก็ยังทำวนไปเหมือนเดิม พ่นยาให้ยาทางสายวัดออกซิเจน เราและแฟนต้องคอยดูตลอดค่าที่เครื่องขึ้นเท่าไหร่ ถ้าไม่โอเคให้เรียกพยาบาล วันนี้รู้สึกว่าลูกโอเคขึ้น แรงเยอะขึ้น และลูกคนโตก็ซนมากเช่นกัน วันนี้เริ่มมีคนไข้อื่นมาอยู่ เข้าปิดม่านมิดชิด เราไม่ปิดเพราะอึดอัด ปิดบ้างข้างเดียว

เข้าวันที่5 หมอพยาบาลมาบอกว่าพรุ่งนี้จะX-rayอีกรอบนะ แล้วก็จะสรุปว่ากลับได้รึเปล่า แต่หมอคิดว่าน่าจะได้ เราดีใจมาก น้ำเกลือก็ถอดออก เข็มยาก็ถอดออกแล้วลูกหน้าตาสดชื่นขึ้น  

เข้าวันที่6 พยาบาลมาพาไปX-rayแต่เช้ารอบนี้เค้าให้เราเดินไปเอง ไม่มีรถมาเข็น เพราะถอดออกซิเจนแล้ว คนที่นี่เค้าแปลกๆ คนไข้เดิมลากเสาน้ำเกลือไปกินสตาร์บัคส์นอก รพ ไปกินไก่KFC ก็ดูแปลกๆเหมือนกัน พอกลับมาเตียงได้สักพัก หมอก็มาหามาบอกโอเคนะทุกอย่างดีมาก แต่ปอดยังไม่ถึงกับเคลียร์ เราบอกหมอว่าเราจะต้องกลับไปเช็คทุกอย่างรักษาต่อที่กรุงเทพ ขอให้หมอเขียนใบรับรอง ขอผลแล็ปทุกอย่างด้วย หมอบอกได้ๆ เรารีบขอบคุณหมอ แทบจะร้องเย้ๆ ทั้งแต้งกิ้ว ขอบคุณค่ะ คัมซะมิดะ พรั่งพรูออกมา และพ่อกับพี่สาวก็ไปเคลียร์ค่าเสียหาย ทั้งหมดทั้ง สิ้น 3ล้านกว่าวอน เป็นเงินไทย 1แสนต้นๆ เพราะเจ้าช่วยกล้วยทอด ถ้า! ถ้าไม่ได้คลิกประกันการเดินทางมาละ แค่คนละ370 เกือบแล้วมั๊ย ต้องกลับมาทำงานใช้หนี้ตาเหลือก และแล้วเราก็กลับ โรงแรมเพื่อเก็บของกลับบ้านเรา ลืมบอกหมอมาสรุปว่าเราเป็นลูกเราเป็นปอดติดเชื้อเป็นแบคทีเรีย อะไรบลาๆฟังไม่ค่อยออก แค่ได้กลับก็ดีใจละ ถึงเมืองไทยค่อยว่ากัน

รวมทั้งสิ้น 5คืน 6วัน และแล้วเราก็เดินทางกลับไฟลท์ดึกคืนนั้นเลย พอมาถึงไทยตี4 เราก็กลับถึงบ้านเก็บของเตรียมตัวไป รพ ต่อ เราเป็นลูกค้านนทเวชเพราะใกล้บ้านสุด พอถึงเอาผลตรวจทุกอย่างให้หมอดู หมอบอกดีมากละเอียดมากตรวจครบทุกอย่าง ยาก็ตัวเดียวกันแต่มันงงๆ กินยาไทยดีกว่า เราตั้งใจมานอนเช็คเพื่อเบิกประกันได้ แต่หมอเราสรุปว่ายังไงก็ต้องนอนค่า ผลที่ออกคือ RSV คืออะไรไปเสิร์ซ พี่กูเกิ้ลกันเอานะคะ ซึ่งหมอที่เกาหลีเค้าก็บอกแหล่ะว่า RSไวรัส ก็คงใช่แหล่ะ  โอ้โห พอมาเมืองไทย ประหนึ่งว่าเราคือราชาค่ะ การบริการของหมอของพยาบาลคือดี การพ่นยาคือเครื่องมือดี ทำง่ายทำเร็ว มีกายภาพเคาะปอด ดูดน้ำมูก ที่นั่นไม่มีให้ มีฟูกที่เด็กนอนได้แบบไม่กลัวตก เพราะฟูกวางนอนกับพื้น นอนเช็คกันไป1 คืน ค่ะ ได้ยากลับมากินต่อที่บ้าน ค่าเสียหายไม่มากเพราะประกันคุ้มครอง  น้องก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ต้องให้ยายบินด่วนมาจาก ตจว. เพราะไม่สามารถนำมาออฟฟิศได้ หมอห้ามโดนฝุ่น และออฟฟิศกำลังต่อเติมฝุ่นเพียบ

***บทเรียนครั้งใหญ่ในชีวิต*** จากที่เคยเจอลูกคนโตชักตอน1ขวบจิ๊บไปเลย  ครั้งนี้มันใหญ่และหนักมาก คือโรคที่เป็น ก็อันตราย และเป็นต่างแดน เขียนยาวๆมาแล้ว
สรุปสั้นๆ คือ
1.ลูกป่วยอย่าเดินทาง ตปท เสี่ยงมาก ทุกอย่างยากหมด  แต่ถ้าป่วยระหว่างเดินทางเตรียมรับมือดีๆค่ะ
2. การซื้อประกันการเดินทางสำคัญมากกกกกกกกกก(ยาเตรียมให้พร้อม) เพราะมันอาจเกิดขึ้นกระทันหัน
3.อินเตอร์เนต ต้องมีจำเป็นต้องใช้ ใช้ในการติดต่อสื่อสาร คือจำเป็นมากๆย้ำๆๆๆๆ ไหนจะไว้แปลภาษา จะอันยองมาแค่ไหนก็แปลได้ ส่งให้พิมพ์เลย รู้เรื่อง
4.อันนี้สำคัญสุดค่ะ สติ และสามัคคี ห้ามโทษกันห้ามทะเลาะกันเด็ดขาดนะคะ ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดแล้วเราจะผ่านมันไปได้ด้วยดีค่ะ

***การซื้อประกันสำคัญมากนะคะ อย่าคิดว่ามันไม่เป็นอะไร ไม่เกิดอะไร ไม่ว่าจะประกันการเดินทาง หรือประกันชีวิต***
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่