เบื้องหลัง (ความโกลาหลของ) กองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง "นางสาวสุวรรณ" ภาพยนตร์เรื่องแรกของไทย



            ปี 1922 (พ.ศ. 2465) นาย Henry MacRae ผู้กำกับภาพยนตร์ จากบริษัทยูนิเวอร์ซัล อยากจะลองทำอะไรใหม่ๆดูบ้างหลังจากทำงานเป็นผู้กำกับฯมาประมาณ 10 กว่าปี โครงการต่อไปที่เขาเล็งไว้คือการมาทำสารคดียังประเทศสยาม ช่วงนั้นชาวต่างชาติยังไม่รู้จักประเทศสยามมากนัก หูเจ้ากรรมของนายแมกเร ได้ยินมาว่า ประเทศสยามยังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน เต็มไปด้วยป่าดงพงไพร ชาวบ้านประกอบอาชีพเก็บของป่าล่าสัตว์ แมกเรจึงสนใจจะมาทำหนังสารคดีที่ประเทศสยาม เขาคิดว่าประเทศสยามคงเต็มไปด้วยป่า ไม่ต่างจากแอฟริกา



นาย Henry MacRae



ตอนเตรียมอุปกรณ์การถ่ายทำขึ้นเครื่องบินมา แมกเรได้นำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขึ้นเครื่องบินมาด้วย จนผู้ช่วยของเขาต้องถามว่าจะเอาเครื่องกำเนิดไฟฟ้ามาทำไม แมกเรตอบอย่างคิดว่าตัวเองเป็นคนรอบคอบว่า บ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างนั้นคงไม่มีไฟฟ้าใช้หรอก ถ้าไม่เอาเครื่องกำเนิดไฟฟ้ามาด้วย เราจะถ่ายทำหนังเรื่องนี้ได้อย่างไร ตอนอยู่บนเครื่องบิน เขาเองก็คิดพลอตหนังสารคดีของตัวเองคร่าวๆไว้ด้วย คิดว่าคงต้องมีช้าง มีชาวป่า อืม จะถ่ายยังไงดีล่ะ สารคดีกลางป่านี่น่าจะถ่ายยากจริงๆ แต่ก็คงได้บรรยากาศต่างจากป่าแอฟริกาเป็นแน่แท้ เขากับทีมงานดูท่าจะตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้ผจญภัยในป่า

แต่พอแมกเรมาถึงบางกอก เขาได้สัมผัสกับความงดงามของบางกอกและชาวสยาม เขาจึงรู้ว่าบางกอกและสยามไม่ได้ป่าเถื่อนอย่างที่เขาคิด เขาเองประทับใจทั้งทัศนียภาพที่งดงามแปลกตาในหลายๆที่ของบางกอก รวมทั้งเมืองที่อยู่ไกลออกไปด้วย เช่น หัวหิน แล้วยังประทับใจการไหว้ของชาวสยาม พอประทับใจในภาพจริงที่เห็น สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เปลี่ยนคือความต้องการสร้างภาพยนตร์ในประเทศสยาม แต่คงไม่ใช่ถ่ายหนังสารคดีอย่างที่เคยวางแผนไว้แต่แรก แมกเรเห็นว่าบรรยากาศในบางกอกนั้นเหมาะที่จะสร้างหนังรัก เขาจึงทุ่มเทในการเขียนบทภาพยนตร์ โดยสร้างพลอตให้เป็นหนังรัก แล้วใช้ชื่อนางเอกเป็นชื่อหนัง จนไปลงตัวที่ชื่อ “นางสาวสุวรรณ”


ภาพตัวอย่างของความงามที่แมกเรได้เห็น




หลังจากร่างโครงการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “นางสาวสุวรรณ” เสร็จเรียบร้อยแล้ว นายแมกเรเองได้ทำเรื่องขอพระบรมราชานุญาตถ่ายภาพยนตร์เรื่อง นางสาวสุวรรณ ในประเทศสยาม  พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชานุญาตและโปรดเกล้าฯให้กรมรถไฟหลวงอำนวยความสะดวกในการหาสถานที่ถ่ายทำ การเดินทางและการล้างฟิล์มภาพยนตร์ และโปรดเกล้าฯให้กรมมหรสพประสานงานในการจัดหาผู้แสดง เมื่อเรื่องราวต่างๆกำลังดำเนินไปด้วยดีและชาวบางกอกเริ่มรับรู้ว่ากำลังจะมีหนังที่ผู้แสดงเป็นชาวสยามทั้งหมด ทำให้ชาวบางกอกตื่นเต้นเป็นยิ่งนักที่เรากำลังจะมีหนังของชาวสยามเอาไว้ดูกัน



จากการประสานงานของกรมมหรสพทำให้ได้ผู้แสดงที่จะมารับบทเป็น “นางสาวสุวรรณ” ซึ่งก็คือนางสาวเสงี่ยม นาวีเสถียร นางรำในกรมมหรสพหลวง เรามารู้จักนักแสดงหญิงคนแรกของไทยกันสักเล็กน้อยนะครับ นางสาวเสงี่ยม นาวีเสถียร หลังจากได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง “นางสาวสุวรรณ” แล้ว ปี พ.ศ. 2467 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนนางสาวเสงี่ยมเป็นที่นางพระกำนัล  ได้พระราชทานนามใหม่จาก เสงี่ยม เป็น อนินทิตา ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นจุลจอมเกล้า  หลังการสวรรคตของรัชกาลที่ 6 นางสาวอนินทิตาได้เป็นหนึ่งในพระพี่เลี้ยงที่ทำหน้าที่บริบาลสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี พระราชธิดาของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ตลอดมาจนกระทั่งออกจากวังเพื่อทำการสมรสกับ พลตำรวจตรี เนื่อง อาขุบุตร เมื่อ พ.ศ. 2474 เมื่อสมรสแล้วจึงนามว่า คุณหญิงอนินทิตา อาขุบุตร


นางสาวเสงี่ยม นาวีเสถียร นางรำในกรมมหรสพหลวง




นางสาวเสงี่ยม นาวีเสถียร ในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่องนางสาวสุวรรณ




นางสาวอนินทิตา หนึ่งในพระพี่เลี้ยงที่ทำหน้าที่บริบาลสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี


ส่วนพระเอกก็เป็นข้าราชการในกรมมหรสพ ชื่อ ขุนรามภรตศาสตร์ (ยม มงคลนัฏ) เป็นนักแสดงโขนหลวงของกรมมหรสพ รับบทเป็น “กล้าหาญ” พระเอกของเรื่อง ส่วนผู้ร้ายนั้นยังหาไม่ได้ แต่นายแมกเรดันไปถูกอกถูกใจ คุณหลวงภรตกรรมโกศล (มงคล สุมนนัฏ) ซึ่งก็เป็นข้าราชการอยู่ที่กรมมหรสพ ทำหน้าที่เป็นสมุห์บัญชี ที่ได้มาเป็นผู้ร้ายก็เพราะมายืนมุงดูเขาถ่ายทำหนังเรื่องนี้ แมกเรเห็นแล้วโดน ก็เลยดึงมาเป็นผู้ร้ายในทันที โดยมีคนตั้งชื่อผู้ร้ายซะโหดเหี้ยมว่า “นายก่องแก้ว”





พอได้ทีมนักแสดงเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงการวางแผนถ่ายทำอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ทางทีมงานของแมกเรและทีมงานของการรถไฟหลวงเห็นพ้องต้องกันว่าอยากจะโชว์ทิวทัศน์และทัศนียภาพของบางกอกและประเทศสยาม จึงได้วางแผนกันไว้ว่าจะถ่ายทำกันที่พระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดอรุณราชวราราม วัดพระเชตุพน และต่างจังหวัดที่หัวหิน บางปะอิน และเชียงใหม่  ส่วนบทก็มีการปรับเพื่อให้เหมาะกับการถ่ายทำในแต่ละพื้นที่ด้วย





เนื้อเรื่องของนางสาวสุวรรณมีอยู่ว่าพระเอกเป็นข้าราชการยากจน รับราชการอยู่ในหอพระสมุดประจำพระนคร ชื่อว่ากล้าหาญ เขาอยู่กับ พ่อเย็นและแม่มะลิ วันหนึ่งแจวเรือกันมาในคลองบางหลวง เห็นนางเอกตกน้ำ กล้าหาญ ก็กระโดดลงไปช่วย เหตุการณ์นี้ทำให้พ่อนางเอกคือ “คุณวณิช” ไม่พอใจ ที่เห็นพระเอกกอดลูกสาวตัวเองไว้แนบอก  หลังจากนั้นพระเอกก็หลงรักนางเอก แบบหัวปักหัวปำ  วันหนึ่งได้พบนางเอกอีกครั้งในวัดพระแก้ว (ฉากอลังการมาก) แต่พระเอกก็ถูกผู้ร้ายกีดกัน และเขาผู้นั้นคือผู้ร้ายที่มีมาดเหี้ยมโหดนามว่า “นายก่องแก้ว”  นายก่องแก้วเองเป็นลูกคนมีฐานะและก็มีใจรักนางเอกเช่นกัน เขาจึงกันท่าพระเอกทุกครั้งเท่าที่เขาจะทำได้




ฝ่ายนางเอกก็ถูกกรอกหูอยู่ตลอดเวลาว่า พระเอกยากจน ถ้าไปอยู่กับพระเอกก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา  แต่นางเอกก็หลงรักพระเอกเข้าไปจนหมดหัวใจแล้วเพราะเขาทั้งหน้าตาหล่อและนิสัยดี  แต่นายก่องแก้วก็ยังมาตามราวีอยู่ตลอดและดุแคลนพระเอกของเราเรื่อยมา ทำให้ พ่อเย็น กับแม่มะลิ จำต้องเปิดเผยความจริงว่า ที่จริงแล้วพระเอกเป็นคนมีตระกูลทางภาคเหนือ พ่อแม่พามาเที่ยวบางกอก แต่พ่อกับแม่ของกล้าหาญดันมาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตที่บางกอก พ่อเย็นกับแม่มะลิจึงได้เลี้ยงดูเด็กชายกล้าหาญจนเติบใหญ่





นายก่องแก้วรู้เรื่องราว เกรงจะเสียเปรียบจึงได้วางแผนฆ่าโดยหลอกพระเอกกับพ่อเย็นไปทำงานที่เชียงใหม่ แต่ดันพลาด ฆาตกรดันไปฆ่าผิดตัว แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือพระเอกโดนซัดทอดว่าเป็นคนที่ฆ่าเหยื่อคนนั้นตาย เขาจึงถูกจับ นางเอกกำลังพักร้อนอยู่ที่หัวหิน เมื่อทราบข่าวจากพ่อเย็น จึงรีบบินไปเชียงใหม่พร้อมกับหลักฐานที่แสดงว่าพระเอกเป็นคนมีชาติตระกูล คหบดีที่เชียงใหม่ พอเห็นหลักฐาน (เสมาทองคำ) ก็รู้ทันทีว่าพระเอกเป็นหลานชายของตัว ทำให้พระเอกพ้นผิด ขณะเดียวกันตัวฆาตกรก็ยอมรับสารภาพทำให้ผู้จ้างวานถูกจับกุม พ่อของนางเอกตามขึ้นมาที่เชียงใหม่ พอรู้ว่าพระเอกเป็นคนมีชาติตระกูล จึงยอมยกนางเอกให้แต่งงานกับพระเอก ฝ่ายพระเอกก็มอบสินสอดทองหมั้นอย่างสมน้ำสมเนื้อ




ตลอดการถ่ายทำก็ไม่ค่อยโกลาหลสักเท่าไหร่ เพียงแต่ช่วงที่พระเอกถูกจับและเกือบโดนประหารชีวิตด้วยวิธีการตัดคอ ทางกองถ่ายของแมกเรได้ถ่ายทำฉากที่มีนักโทษโดนตัดคอด้วย ซึ่งเมื่อทางการทราบเรื่องจึงดำเนินการขอให้ตัดฉากนี้ออก พร้อมกับตรวจสอบฉากอื่นไปด้วยโดยมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้นมาโดยเฉพาะ (และกรรมการลักษณะนี้ถูกพัฒนาเป็นกรรมการเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ในเวลาต่อมา ทำให้เราทราบว่าการเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ได้เกิดขึ้นตั้งแต่มีการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแรกในเมืองไทยกันเลยทีเดียว) ความโกลาหลก็ยังไม่จบเพียงเท่านั้นเพราะเมื่อฉายได้ไม่กี่วัน ฟิล์มต้นฉบับก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย หาเท่าใดก็หาไม่พบ






หลังจากนั้น คุณหญิงอนินทิตา อาขุบุตร ก็มีผลงานการแสดงบ้างตามความเหมาะสม





ปิดท้ายกับภาพสวยๆของ คุณหญิงอนินทิตา อาขุบุตร ขณะรับบทเป็น "นางสาวสุวรรณ"

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่