:::ผีปอบ::: จากกระทู้เก่าที่กลายเป็นฟอสซิลไปแล้ว

หลังจากที่อ่านเรื่องผีปอบ (กระทู้ ธี่...หยด ในตำนาน) แล้วในกระทู้มียูสแปะ link เรื่องผีปอบอีกเรื่อง
แต่ลิ้งที่แปะมาให้ดันมีแค่ตอนจบซะงั้น เราเองก็เป็นคนชอบอ่านเรื่องผีน่ากลัวๆ อยู่แล้ว
ก็ไม่รอที่จะ "ขุด" หาขึ้นมาอ่านให้หลอนจิตเล่น พอหาเจอจะอ่านคนเดียวมันก็จะยังไงๆ อยู่
เลยมาแบ่งกันหลอนดีกว่า **อ่านเพื่อความบันเทิงกันนะแจ๊ะ**

Ps.เนื้อเรื่องตัดเอามาแต่เนื้อเรื่อง ไม่ค่อยมีน้ำ แต่ถ้าอยากอ่านเต็มอารมณ์จากต้นฉบับ กรุณาคลิก link ในสปอยนะแจ๊ะ

ชื่อเรื่อง :::ผีปอบ:::  (Cr. K.องุ่นเปรี้ยว [ 22 ต.ค. 50 11:54:59 A:203.156.64.6 X: ])
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

Part.1
    กระทู้นี้เป็นกระทู้เรท "น" บุคคลผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรมีผู้ใหญ่ให้คำแนะนำ แต่ไม่ควรลบหลู่เพราะยังไงจะบอกตอนท้ายเรื่อง

    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้ฟังจากบุคคลอีกท่านนึงที่ประสบเหตุการณ์นี้กับตัวเอง  ย้อนไปประมาณ 30 กว่าปี
ณ จังหวัดนึงในแถบภาคกลาง จังหวัดที่เป็นหน้าประวัติศาสตร์ในอดีต จังหวัดที่สภาพแวดล้อม
ยังสมบูรณ์อุดมไปด้วยป่าไม้ ขุนเขาและสายน้ำ

      ลึกเข้าไปในป่ามีครอบครัวใหญ่ครอบครัวนึงได้พบกับเรื่องประหลาดที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาเหล่านั้นตลอดไป
มีสามี-ภรรยาคู่นึงได้ใช้ชีวิตร่วมกันมีลูกชาย 3 คน และลูกผู้หญิงอีก 3 คน(ไม่แปลกครับเพราะคนสมัยก่อนมีลูกกันเยอะมาก)
พี่น้องทั้งหมดรักใคร่ปรองดองกันมาก อันนี้ยืนยันได้จากภาพที่เห็นในปัจจุบัน ครอบครัวนี้มีอาชีพทำไร่ทำสวน
ส่วนพ่อนั้นมาจากแผ่นดินใหญ่ ท่านขยันมากตามประสาคนมีเชื้อจีน ทุกๆวันจะเข้าไปในป่าลึกเพื่อที่จะถางป่าเพื่อนำมาเป็นกรรมสิทธิ์
ซึ่งในสมัยก่อนใครที่มองการณ์ไกลจะทำกันแบบนี้เพื่อจะได้มีที่ดินในครอบครองเยอะๆ เพราะใครขยันถางที่ดินก็จะเป็นของคนๆนั้น
โดยไม่ต้องเสียสตังค์ ตกเย็นกลับมา ท่านมักจะมีของประหลาดๆกลับมาฝากลูกๆเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นงูเผือกสีขาว
ก้อนหินทรงประหลาด หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เราไม่คิดว่าจะมีจริงอย่างมักลีผล!!
   ทั้งหมดใช้ชีวิตอยู่กันอย่างพอมีพอกิน แม้ไม่ร่ำรวยแต่ก็มีความสุข ลูกๆทุกคนเติบโตท่ามกลางความรักของพ่อ-แม่
อายุของพี่น้องทั้งหมดจะเฉลี่ยไม่ต่างกันมาก คนโตอายุราวๆ 20 (ณ ตอนนั้น) ส่วนคนที่เล่าเรื่องให้ฟังเป็นลูกคนที่3จากสุดท้อง
ขอเรียกท่านว่า "นี" ซึ่งขณะนั้นมีอายุประมาณ 14 ปี ซึ่งยังไม่รู้ประสีประสาอะไรมากในขณะนั้น ลูกผู้หญิงทั้ง 3 สนิทกันมาก
เดินไป รร.ในตัวอำเภอด้วยกันทุกวันประมาณเกือบ 5 กิโลทุกวัน น้องน้านีทั้ง 2 คนขอสมมุติว่าชื่อนาและเนตร
เรื่องของเรื่องได้เริ่มมาจากพี่น้องทั้ง3คนนี้เอง...

      เย็นวันนึง หลังจากเลิกเรียนทั้ง 3 เดินกลับบ้านเหมือนอย่างเคย แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือการได้พบกับคนคนนึง!!
ทั้ง 3 เดินลัดเลาะผ่านป่าใหญ่, ผ่านลำธาร เวลาช่วงนั้นแม้จะไม่เย็นมาก ราวๆ 4 โมงแต่มันก็มืดมากเพราะแสงแดดแทบลอดมาไม่ถึงพื้น
ทั้ง3เดินมาจนถึงทางสามแพร่ง และได้พบกับผู้หญิงวัยกลางคนยืนโซเซอยู่ตรงนั้น
หญิงคนนั้นมองมาทางพวกเด็กๆ นีกับนามองดูว่าใช่คนรู้จักรึเปล่า แม้จะไม่คุ้นหน้าแต่นียังคิดว่าเคยเห็นที่ไหน แต่เมื่อยิ่งมองดูดีๆ
กลับรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้มภายใต้หน้าซีดๆนั้น ไม่ได้บอกถึงมิตรภาพแต่บอกถึงอย่างอื่น
หญิงคนนั้นกวาดตามองทั้ง 3 คน ก่อนที่จะมาหยุดที่น้องสุดท้อง....เนตรนั้นเอง เธอเดินเข้ามาหาแต่ก็ต้องหยุด
เพราะมีคนผ่านมาแถวนั้นพอดี ทั้ง 3 เห็นดังนั้นก็รีบเดินตามคนที่เดินผ่านมาไปทันที แต่ใครจะรู้เรื่องร้ายๆมันเพิ่งจะเริ่มขึ้นนี่เอง...

     3 วันหลังจากเหตุการณ์วันนั้น ไม่มีใครจำเรื่องนี้ได้ เนตรเกิดอาการป่วยต้องนอนพักอยู่บ้านไม่ได้ไปโรงเรียนเลย
เช้าวันต่อมาอาการยังไม่ดีขึ้น พ่อของเนตรจึงจึงไปตามหมอแผนโบราณมาดูอาการ หมอตรวจดูอาการทั้งภายในภายนอกก็ไม่พบอะไร
ก็บอกให้พักผ่อนมากๆ 2-3วันคงหาย มีเพื่อนบ้านหลายคนมาดูด้วยความเป็นห่วง หมอท่านนั้นจึงขอตัวกลับแต่ก่อนที่จะพ้นประตูบ้าน
หมอก็มองเห็นใครคนนึงยืนอยู่หลังสุดของกลุ่มคนมองมาทางเนตรด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ผู้หญิงคนนั้นนั่นเอง!!
แต่พอเห็นว่าหมอมองอยู่คนคนนั้นจึงรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว หมอหน้าซีดขึ้นมาทันที
และเดินกลับเข้ามาหาที่พ่อของเนตรแล้วถามว่าเนตรเคยเจอกับผู้หญิงวัยกลางคนชอบนุ่งผ้าถุงสีแดงรึเปล่า
พ่อของเนตรก็ไม่รู้ก็ตอบไปว่าคงไม่เคยส่วนเนตรก็ไข้ขึ้นไม่ได้สติ  ท่านจึงขอตัวไปดูเนตร
ทิ้งให้หมอท่านนั้นมองมาด้วยทีท่าสงสัยมากๆ ตกเย็นนีกับนาก็กลับมาจากโรงเรียน
แต่พ่อก็ลืมที่จะถามว่าเคยเจอคนที่คุณหมอถามรึเปล่า อาการของเนตรยังไม่ดีขึ้น...

    เช้าวันรุ่งขึ้นคนในครอบครัวรู้สึกดีขึ้นเมื่อเนตรหายป่วยแล้ว สามารถลุกมาเดินมาวิ่งเหมือนคนที่ไม่ได้ป่วยหนักมาเมื่อวาน
นีกับนาก็ดีใจมากที่เนตรหายเป็นปกติแล้ว พ่อถามว่าค่อยยังชั่วแล้วไปโรงเรียนไหวมั้ย เนตรทำท่าทางเหมือนคนหมดแรงอีกครั้ง
บอกว่ายังเพลียๆขอพักสักวันสองวันก่อนแล้วขอตัวไปนอนต่อ นีกับนาจึงไปโรงเรียนกัน 2 คน
ส่วนพี่ชายกับพ่อและแม่ก็ไปทำไร่กันในสวนต่อทิ้งให้เนตรนอนพักอยู่คนเดียว
  ผ่านไปถึงช่วงบ่ายๆพี่ชายคนนึงของเนตร (สมมุติว่าชื่อ ทอง) กลับมาที่บ้านเพื่อมาเอาน้ำและข้าวไปให้พ่อกับแม่ ก็เดินเข้าไปดูน้องสาวด้วยความเป็นห่วง แต่กลับไม่พบ จึงเดินไปดูรอบบ้านก็ได้ยินเสียงดังมาจากในครัวเลยเดินเข้าไปดู ก็เห็นเนตรยืนหันหลังอยู่หน้าตู้กับข้าว จึงเรียก "เนตรๆ มายืนทำอะไรตรงนี้เนี่ย ค่อยยังชั่วแล้วเหรอ" หลังจากที่ได้ยินพี่ทองเรียก เนตรก็ขยุกขยิกทำอะไรอยู่สักพัก
แล้วหันกลับมา พี่ทองเห็นแล้วก็ตกใจ!! ตาเนตรดูขวางๆเหมือนกำลังโกรธ แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือรอยเลือดเป็นคราบเรอะรอบๆปาก
พี่ทองถาม "เป็นอะไรเลือดออกเนี่ย" "อ่อ กะ..เอ้ยเนตรหิวเลยมาหาอะไรกิน พอดีมันมีตับไก่ต้มอยู่เนตรเลยหยิบมากิน"
"อ้าว ข้าวต้มแม่ก็ต้มให้แล้วนิ แล้วหน้าไปเปื้อนเลือดที่ไหนมา" พี่ทองถามต่อ
"เผอิญก้มไปโดนเครื่องในไก่นะ ว่าแต่พี่ทองเถอะกลับมาทำอะไร"
"กลับมาเอาข้าวให้ป๊ากับม๊านะ เออกินอิ่มแล้วนอนเยอะๆนะ เดี๋ยวเย็นๆก็กลับ" ว่าแล้วพี่ทองก็เดินออกไป
ระหว่างเดินพี่ทองก็รู้สึกแปลกๆกับพฤติกรรมของน้องสาว ไม่ใช่สงสัยแค่ปกติเนตรไม่ชอบกินเครื่องในเท่านั้น
อีกอย่างคือเนตรไม่เคยเรียกพี่ๆว่าพี่เลยแต่จะเรียกว่าโก๊กับพี่ชายและเจ่กับพี่สาว(เชื้อจีนๆ) แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก..

      เย็นแล้ว นีกับนาก็กลับมาบ้านตามปกติ หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็เข้าไปดูเนตรแต่เห็นนอนคลุมโปงอยู่ จึงไม่ได้ทัก
ก็เดินเข้าไปในสวนเพื่อช่วยงานพ่อกับแม่ นีถามพ่อว่า "ป๊า เนตรยังไม่หายอีกเหรอ เห็นนอนคลุมโปงอยู่"
"เออ ไม่รู้มัน แต่เมื่อตอนบ่ายทองก็เข้าไปดูก็บอกว่าไม่เป็นไรนิ" แล้วก็เก็บข้าวของกัน กลับมาถึงบ้านก็ไม่เจอเนตรที่ห้อง
แต่ไปนั่งอยู่ตรงขอนไม้หน้ากอไผ่ (น้านีบอกไม่รู้ไปนั่งทำไม) นั่งจองกอไผ่ นีก็ถามว่ามานั่งทำอะไรตรงนี้ เนตรก็บอกไม่มีอะไรไม่ต้องยุ่ง
**ขอบอกเรื่องน้าเนตรนิดครับ น้านีเล่าว่าปกติน้าเนตรจะเป็นคนเรียบร้อยมากๆ ขยันช่วยงานพ่อแม่เสมอ แทบจะไม่เคยทะเลาะกับพี่น้องในบ้านเลย ซึ่งอีกสักพักก็จะมีอะไรให้คนในครอบครัวฉงนอีก**

   กับข้าวมื้อเย็นไม่เป็นที่ถูกใจเนตรเลยแม้แต่น้อย ยังบ่นว่าเบื่อผักเบื่อปลาจะแย่แล้ว และก็บอกให้แม่หาพวกเครื่องในมาทำบ้าง
เอาแบบสุกๆดิบๆ ทุกคนก็งงกัน เพราะปกติเนตรไม่ชอบกินเครื่องใน(อย่าเพิ่งบอกนะครับว่าคนในบ้านยังไม่รู้ตัวอีกเหรอเนี่ย เค้าคงยังไม่คิดว่ามันจะเกิดกับครอบครัวเค้าละครับ) เนตรกินข้าวนิดเดียวก็ขอตัวไปนอน
นาก็บ่นๆว่าทำไมไม่ยอมล้างจานหน้าที่ตัวเองแท้ๆ แม่ก็บอกน้องยังป่วยอยู่จะบ่นทำไม ถึงตรงนี้ยังไม่มีใครเอะใจสักนิดว่าเนตรเปลี่ยนไป?
  ช่วงกลางคืนนั้นเองประมาณ 2 ทุ่มก่อนที่นีจะเข้านอน ก็เข้าไปหาเนตรพร้อมกับพี่ทอง เนตรนอนห่มผ้าห่มอยู่ตัวสั่นๆ
นีเข้าไปจับหน้าผากก็ไม่เห็นมีไข้ เนตรรู้สึกตัวตื่นก็ถาม "อ้าวเจ่ มายื่นทำอะไรเนี่ย ทำไมเนตรปวดหัวจัง"
นีก็บอกว่าก็ไม่สบายยังไม่หายดีก็เงี่ยแหละ  "นั่นสิ เนตรรู้สึกวูบๆไงไม่รู้ เหมือนพึ่งตื่นน่ะ"
พี่ทองก็บอกว่าพักผ่อนเยอะๆนะ พรุ่งนี้จะได้ค่อยยังชั่วก่อนเอามือลูบหัวน้องสาวตัวเอง
ก่อนขอตัวออกมา เนตรก็ทัก "ขอบใจเจ่กับโก๊มากนะ ไว้หายดีจะทำกับข้าวอร่อยๆให้กินนะ"
วันต่อมา อาการเนตรก็เป็นเหมือนเดิมอีกช่วงเช้าจะดูแข็งแรงดี และคำพูดคำจาดูโผงผางพิกล ไม่ค่อยพูดจากับใคร
แต่ตกกลางคืนหลังจาก 2 ทุ่ม ก็จะกลับมาเรียบร้อยช่างคุย หยอกล้อกับพี่ๆอย่างสนุกสนาน แต่ที่แปลกคือช่วงกลางคืนจะไม่ค่อยมีแรง
และมีไข้อยู่เสมอๆ จนมาวันที่ 3 นี่เองที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป...

      วันนี้คาบเกี่ยวฤดูหนาวแล้ว อากาศช่วงเดือน 11 หนาวจับจิต อาจเป็นเพราะป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์เก็บกักความเย็นไว้นั่นเอง
วันนี้เป็นวันที่ 3 แล้วที่เนตรยังไม่หายดีพ่อกับแม่เห็นว่าอากาศเย็นมากจึงให้นีกับนามานอนเป็นเพื่อนเนตร ช่วงเช้าเนตรก็ยังเหมือนเดิม
คือไม่พูดจากับใครและไม่ยอมกินอะไร แต่ช่วงกลางคืนก็กลับมาเป็นเนตรที่คุ้นเคย คือเรียบร้อยพูดเก่งและหิว? วันนี้เนตรบอกว่าหิวมาก
เหมือนไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน นีกับนาก็ไปหาข้าวมาให้กิน ปรากฎว่ากินไปได้สักพัก เนตรก็อาเจียนออกมาหมด
และร้องว่าปวดท้องมากๆ กินอะไรไม่ได้เลย พ่อก็เข้ามาดู ก็บอกพรุ่งนี้เช้าจะพาไปหาหมอในอำเภอเพราะคืนนี้มันดึกแล้ว
(สมัยก่อนทุ่ม2ทุ่ม คงจะถือว่าดึกมากแล้ว)
สักพักเนตรก็หลับไปเพราะความเพลีย นีนั่งดูน้องๆสองคนสักพักก็หลับไปด้วย

     ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ นีก็สะดุ้งตื่นแต่เหมือนกับครึ่งหลับครึ่งตื่นประมาณผีอำ!! ตื่นเพราะได้ยินเสียงแปลกๆครวญมาแต่ไกล
เสียงที่เย็นยะเยือกจนขนลุก(คนพิมพ์ก็ขนลุกจริงๆขอบอกตอนที่น้านีเลียนเสียงแบบนั้น!!)
เป็นเสียงคนที่จนวันนี้น้านีก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร หมายความว่าอะไร
เสียงนั่นร้องว่า" ทิ่งหยด...ทิ่งหยด...ทิ่งหยด..ทิ่งหยด "แล้วนีก็วูบไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่