เด็ก 8 ขวบกับชีวิตวัยเด็กที่เปลี่ยนไปตลอดกาล...
สวัสดีครับเพื่อนๆวันนี้ผมอยากจะมาเล่าเรื่องราวประสบการณ์วัยเด็กของผม ที่ทุกวันนี้ตัวผมเองยังรู้สึกภูมิใจไม่หาย อาจจะเล่าวนไปวนมาหน่อยนะ55555 ขออนุญาติใช้ไอดีเพื่อนในการเล่านะครับ พอดียังไม่ได้สมัคร เรื่องนี้เกิดขึ้นจากเมื่อที่บ้านต้องการจะสานฝันของคุณปู่ ที่อยากจะมีหลานไปเรียนต่างประเทศ พ่อผมจึงตัดสินใจส่งผมให้ไปอยู่กับอาที่ "ประเทศอียิปต์"
และในวันที่ 15 สิงหาคม 2004 ชีวิตวัยเด็กของผมก็เปลี่ยนไป เที่ยวบินนั้นเทคออฟจากไทยดึกครับประมาณตี1 แลนดิ่งที่เมืองไคโร 6-7โมงเช้ามั้งถ้าผมจำไม่ผิด โดยเราไปกันทั้งหมด5คน มีอาของผม แฟนอา(เป็นคนอียิปต์) ลูกพี่ลูกน้องผม และพ่อ(พ่อจะอยู่ที่อียิปต์แค่2อาทิตย์) อากาศตอนนั้นค่อนข้างร้อนมากๆครับ ภาพแรกที่ผมเห็นคือสนามบิน ที่บรรยากาศไม่เหมือนสนามบินเลย อยากให้เพื่อนๆนึกภาพโรงพยาบาลของรัฐเมื่อสมัยนั้น มึดๆ แอร์ร้อนๆ แบบนั้นเลย 55555 คนอียิปต์ไม่ค่อยมีระเบียบครับ แซงคิวบ้าง พูดกันเสียงดังมาก เหมือนผ่านขั้นตอนคนเข้าเมืองเรียบร้อย ก็มารอ น้องชายแฟนอา(เป็นคนอียิปต์) ขับรถมารับ สิ่งที่ทำให้ผมช็อคแบบสุดๆไปเลย คือเขามากับรถเก๋งเชฟโรเลตคันใหญ่ๆ แบบเมกา เก่าๆคาสสิกๆหน่อย แต่ที่ผมตกใจไม่ใช่เพราะรถของน้องชายแฟนอา แต่รถส่วนมาก ณ ตอนนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ เก่าๆ แถมยังมีรถลา พร้อมกับลุงแก่ๆวิ่งอยู่ริมถนน ในไคโรเลย 555555 เอาจริงๆตอนนั้นผมก็ตื่นเต้นมากนะ แบบว่าแปลกตาดีอะ หลังจากนั้นผมก็ไปถึงบ้าน ย่านเมืองอัล-นัสรฺ ไม่ไกลจากสนามบินมาก บ้านเป็นเหมือนคอนโด และสิ่งที่ผมลุ้นมากๆนั่นก็คือ อาหารมื้อแรกของผม เท่าที่จำได้มีแต่โรตี ชีส เนยแล้วก็ ฟูล(ถั่วบดเอาไปผัดกับเนย) ซึ่งตอนนั้นบอกเลยว่าไม่ชอบ อะไรก็ไม่รู้ จะอ้วก แต่มันคืออาหารท้องถิ่น ที่คนอียิปต์ทุกคนต้องกิน มื้อดึกนี้พีคกว่า นกยัดไส้ข้าวและเอาไปอบ อันนี้อร่อยชอบๆ กินคนเดียว 3 ตัว 555 คนอียิปต์ชอบเที่ยวกลางคืนครับ ผมเข้าใจว่ากลางวันคงร้อนแหละครับ
ผมได้เข้าไปเรียนโรงเรียน อัซฮัรบุอูซ(คล้ายเหมือนปรับภาษา) อาทิตย์แรก..แฟนอานั่งแท็กซี่ไปส่งครับ ซึ่งไกลพอสมควรนั่งรถประมาน15 -30นาที แต่ที่ผมรู้สึกภูมิใจ และรู้สึกว่าตัวเองโตมากๆ ก็อาทิตย์ต่อมานี้แหละ นั่งรถแท็กซี่ไปเรียนเอง!! ย้ำว่าตอนนั้น 8ขวบ และยังพูดภาษาอาหรับไม่ได้ อังกฤษยิ่งไม่ได้เลย ผมคิดว่าแฟนอาอยากจะฝึกผม แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น คือแท็กซี่ที่แวะรับผู้โดยสารระหว่างทาง เฮ้ย!!! ผมงงมาก พูดอะไรก็พูดไม่ได้ ก็ต้องทนนั่งต่อไป ตอนนั้น พูดเป็นอยู่ 2ประโยค คือ "อัซฮัรบุอูส" เป็นชื่อโรงเรียนที่ผมเรียน กับ "ร็อบอะห์" ชื่อถนนแถวบ้าน นั่งแท็กซี่ได้แค่ 2อาทิตย์เท่านั้นครับ ผมเลยหาวิธีที่จะประหยัดเงินค่ารถเอาไว้เที่ยวเอาไว้กิน เลยตัดสินใจขึ้นรถเมล์ไปเรียนเองซะเลย ใช่ครับตอนนั้นผม 8ขวบน่าตื่นเต้นเนอะ 555 ตอนแรกๆผมกลัว และไม่ชอบคนที่นี้เลย น่ากลัว ตัวเหม็น และค่อนข้างสกปรก ในความคิดตอนเด็กของผมนะครับ ผมเคยเห็นคนทำธุระส่วนตัวข้างทางด้วยแหละ อือหื้อทำไปได้ยังไง ชีวิตคนที่นี้จะเรียบง่ายก็บ้านๆเลยครับ แต่ถ้าจำพวกพิธีการอลังการ ก็ปังสุดๆเหมือนกัน บนท้องถนนค่อนข้างวุ่นวายมากๆครับ ขับรถไม่เป็นระเบียบ บีบแตรกันทั้งวันทั้งคืน มีไฟแดงก็ไม่ค่อยได้ใช้ จะได้ใช้จริงก็ในตัวเมืองไคโรเท่านั้นแหละครับ
เพื่อน กลุ่มแรกๆของผม ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ คือลูกคนดูแลตึก แต่ที่มันสำคัญก็คือ คนอียิปต์ส่วนมากชอบดูถูกคนดูแลตึกครับ ประมาณว่าคนรับใช้ซึ่งแน่นอน ฝั่งบ้านผมไม่ได้มีปัญหา แต่คนที่อยู่ร่วมตึกเดียวกันเนี่ย บางคนถึงขั้นมาเตือนแฟนอาผมเลย ซึ่งผมว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีที่ต้องมาดูถูกกันเพราะเค้าก็ทำอาชีพสุจริต คนส่วนมากที่ผมรู้จักก็คนธรรมดาๆ คนดูแลตึก ลุงร้านขายขนม เด็กส่งผ้าของร้านรีดผ้า(คนอียิปต์คงไม่ชอบรีดผ้ามั้ง ฮ่าๆ) วัฒนธรรมที่นี้ก็แปลกดีครับ บนโต๊ะอาหารเขาจะไม่กินของหนักก่อน จะเริ่มจากซุป สลัด และตามด้วยของหนัก ปิดท้ายด้วยของหวาน(อันหลังเหมือนบ้านเรา) และระหว่างกินข้าว ก็จะคุยธุระคุยงาน คุยกันเสียงดังมั่วไปหมด แน่นอนว่าแตกต่างจากบ้านเรา เวลากินข้าวอย่าคุยกัน และวัฒนธรรมการกินชา ที่เหมือนจะกินแทนน้ำเปล่าซะอีก อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ว่าคนอียิปต์ชอบเที่ยวกลางคืน ซึ่งกิจกรรมของเขาเท่าที่ผมซึมซับมา นั้นก็คือการนั่งร้านกาแฟในเวลากลางคืน ช็อปปิ้ง เดินเที่ยวห้าง ดูโชว์การเต้นระบำหน้าท้อง กินอาหารค่ำนอกบ้าน ผมก็เลยลองทำตามเขาดู อยากจะรู้ว่าการเที่ยวกลางคืนมันจะเป็นยังไง พอเราได้มาลองจริงๆ มันก็ไม่ต่างจากบ้านเรามากครับ แต่จะคึกคักกว่าบ้านเราหน่อยบ้านเมืองตอนกลางคืนสีสันค่อนข้างสวยครับ มันเป็นเสน่ห์ของคนที่นั่นซึ่งผมก็ไม่รู้จะเล่าอย่างไรให้พวกคุณเห็นภาพ บางอย่างเราคงต้องมาสัมผัสเอง นั่นคือบรรยากาศค่ำคืนอียิปต์ที่ไม่เคยหลับไหลเลยก็ว่าได้
และสิ่งที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปจากเด็ก 8 ขวบธรรมดาคนนึงให้กลายเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้น นั่นก็คือการทีผมได้เรียนหนังสือที่นี่ในช่วงประถม ด้วยกับการที่คนอียิปต์มักจะแปลกตากับคนต่างชาติ ทำให้ช่วงแรกๆผมได้รับความสนใจจากพวกเขา แต่พอผ่านไปหนึ่งเทอมผมก็แทบไม่ต่างกับเด็กหลังห้อง ที่ไม่ได้มีความสำคัญกับคนอื่นเท่าไหร่ อาจจะมาจากสาเหตุที่ว่า สำหรับความคิดของผมนะ ส่วนมากคนที่นี่เขาชอบที่จะคบกับคนที่ให้ผลประโยชน์กับเขามากกว่าเลือกคบคนที่นิสัยเสียอีก จึงทำให้ผมเองต้องพัฒนาตนเองเพื่อให้ผมได้พอมีจุดยืนบ้าง ผมเลยใช้พื้นฐานด้านภาษาอังกฤษที่ผมได้มาจากการพูดคุยกับแฟนของอา และนั่นก็มาจากการที่ผมพัฒนาตัวเองเหมือนกันครับ จากที่ไม่ได้ภาษาอังกฤษและอาหรับเลย ในช่วงนั้นก็คงจะเหมือนในละครล่ะครับที่คนอ่อนแอมักจะโดนกลั่นแกล้ง ที่ผมต้องมานั่งหลังห้อง โดนเพื่อนแกล้ง ไม่ให้เล่นบอลหรือไม่มีที่จะนั่งเรียน เพราะว่าไม่มีใครอยากนั่งกับผมไงครับ มันมาจากความอ่อนต่อโลกของผม แต่ผมก็รู้จุดด้อยของผมที่ อาจจะไม่ค่อยยิ้มด้วย เราเลยเอาจุดด้อยของเรามาทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น คือผมก็ยอมให้เค้าแกล้งครับแล้วผมก็มาลองคิดดูที่เค้าแกล้งเราจริงๆ คือเค้าเองก็อยากให้เราคุยด้วย ยิ้มด้วย ไม่ได้แกล้งเพื่อความสะใจ จากนั้นผมก็เริ่มอยู่เป็น มีความสุขมากขึ้นในการเรียนที่นี่ หลังจากที่ผมเรียนจบประถมที่นี่ มันทำให้เรารู้ว่าการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของประเทศนี้มันสำคัญจริงๆ คุณอาจจะคิดว่ามันก็ไม่เห็นจะหวือหวาอะไร แต่กับเด็กอายุไม่กี่ขวบ ผมมองว่ามันเป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่นะ
จุดพลิกผันชีวิตของผมอีกอย่างหนึ่งมาจากการต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผมต้องอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีใครอยู่ช่วยเหลือ เนื่องจากแฟนอา รวมถึงอาผมได้ย้ายกลับไปอยู่ที่ไทย ผมต้องอยู่กับตัวเองมากขึ้นในตอนนั้นผมอายุแค่ 11ขวบ ต้องไปทำงานที่ร้านอาหารไทย เพื่อแลกกับข้าว 2มื้อ ในช่วงปิดเทอมโดยที่ผมเองก็ไม่ได้มีเงินเดือน มีแต่เงินที่พ่อฝากส่งมาให้กับคนไทยที่ผมรู้จักเท่านั้น แต่ไม่ต้องตกใจไปครับ เพราะที่เจ้าของร้านไม่ได้ให้เงินผมก็เพราะว่าผมอายุยังไม่ถึงนั่นเอง งานก็ธรรมดาครับไม่มีอะไรมากมาย เสริฟบ้าง เก็บโต๊ะเช็ดโต๊ะ ล้างจาน(อันนี้บ่อยสุด) ส่วนลูกค้าที่ผมเจอ คงจะหนีไมพ้นคนอียิปต์บางคนที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ นั่นก็เป็นสิ่งทำให้ผมเป็นเด็กที่มีความอดทนเพิ่มมากยิ่งขึ้นครับ
หลังจากนั้นปลายปี 2008 ผมก็กลับมาประเทศไทย สาเหตุมาจากในปีสุดท้ายหลังจากที่ครอบครัวของอาได้ย้ายกลับมาก่อนหน้านี้และผมใช้ชีวิตคนเดียวจนอิ่มแล้วในช่วงวัยเด็กและคิดถึงครอบครัวด้วย ถือว่าโชคดีจริงๆครับที่ผมตัดสินใจกลับมาในตอนนั้น เพราะช่วงนั้นที่อียิปต์มีการปฏิวัติหลังจากที่ผมกลับมาได้ไม่นานนัก แน่นอนครับช่วงที่ผมอยู่ต่างประเทศมันเป็นเวลาที่นานพอสมควรถึงแม้ในช่วงเวลาที่ผมเรียนที่นู้นผมจะบินกลับมาหาครอบครัวบ้างในช่วงปิดเทอม แต่การที่ผมกลับมาอยู่ไทยก็ต้องปรับตัวเรื่องภาษาไทยพอสมควร เพราะผมมีพื้นฐานภาษาไทยเท่ากับเด็กป.3เอง กลับมาเรียนม.1 ที่ไทย ตอนแรกๆเข้ากับเพื่อนยากมากๆครับ แบบว่าตอนเราอยู่ที่อียิปต์ความคิด หรือสังคมของเด็กที่นู้นค่อนข้างแตกต่างจากของเรา พวกเขาดูโต และจะทำอะไรดูมีเหตุมีผล บ้านเราช่วงนั้นยังพับรถกระดาษ เล่นลูกแก้วผมกลับมาก็เล่น 5555 ผมต้องปรับตัวเยอะมากกว่าจะเข้ากับเพื่อนที่ไทยได้ ชีวิตที่นู้นดีมากๆครับ เราได้เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตเอง ไปไหนมาไหนเองกล้าพูดกล้าทำกล้าที่จะแสดงออก พอผมได้อยู่ได้สัมผัสชีวิตความเป็นอยู่จริงๆของคนที่นี้ ผมว่าการเดินทางของผมในใครนี้ถือว่าคุ้มมากๆเลยนะ บางครั้งอะไรที่มันเรียบง่ายหรือตรงไปตรงมา มันก็เข้าใจง่ายดีครับ สังคมคนไทยที่นู้นก็อบอุ่นเหมือนญาติพี่น้อง เพื่อนชาวอียิปต์ที่ผมรู้จักก็นิสัยดี และให้เกียรติผมมากๆ
สำหรับใครๆหลายคนถ้าพูดถึงอียิปต์ก็คงจะนึกถึงพีระมิดเป็นอย่างแรกๆ แต่สำหรับผมประเทศนี้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาลขอบคุณพ่อแม่ที่ตัดสินใจส่งผมไปที่นั้น มันเป็นชีวิตวัยเด็กที่มีค่าที่สุดสำหรับผม เด็ก 8 ขวบคนนั้น กับประเทศทีสวยงามผู้คนที่แปลกตาและวัฒนธรรมหลายๆอย่างที่ผมได้เรียนรู้มา ถึงตอนนี้ผมก็อายุ21แล้ว ถ้ามีโอกาสไม่ว่าจะอีกกี่ครั้ง จะอีกกี่สิบปี ถ้ามีโอกาสได้ไป ผมจะกลับไปเยี่ยมบ้านหลังนี้อีก....
*ภาพตอนที่ผมไปเรียนอยู่ที่อียิปต์นะครับ*
เด็ก 8 ขวบกับชีวิตวัยเด็กที่เปลี่ยนไปตลอดกาล
สวัสดีครับเพื่อนๆวันนี้ผมอยากจะมาเล่าเรื่องราวประสบการณ์วัยเด็กของผม ที่ทุกวันนี้ตัวผมเองยังรู้สึกภูมิใจไม่หาย อาจจะเล่าวนไปวนมาหน่อยนะ55555 ขออนุญาติใช้ไอดีเพื่อนในการเล่านะครับ พอดียังไม่ได้สมัคร เรื่องนี้เกิดขึ้นจากเมื่อที่บ้านต้องการจะสานฝันของคุณปู่ ที่อยากจะมีหลานไปเรียนต่างประเทศ พ่อผมจึงตัดสินใจส่งผมให้ไปอยู่กับอาที่ "ประเทศอียิปต์"
และในวันที่ 15 สิงหาคม 2004 ชีวิตวัยเด็กของผมก็เปลี่ยนไป เที่ยวบินนั้นเทคออฟจากไทยดึกครับประมาณตี1 แลนดิ่งที่เมืองไคโร 6-7โมงเช้ามั้งถ้าผมจำไม่ผิด โดยเราไปกันทั้งหมด5คน มีอาของผม แฟนอา(เป็นคนอียิปต์) ลูกพี่ลูกน้องผม และพ่อ(พ่อจะอยู่ที่อียิปต์แค่2อาทิตย์) อากาศตอนนั้นค่อนข้างร้อนมากๆครับ ภาพแรกที่ผมเห็นคือสนามบิน ที่บรรยากาศไม่เหมือนสนามบินเลย อยากให้เพื่อนๆนึกภาพโรงพยาบาลของรัฐเมื่อสมัยนั้น มึดๆ แอร์ร้อนๆ แบบนั้นเลย 55555 คนอียิปต์ไม่ค่อยมีระเบียบครับ แซงคิวบ้าง พูดกันเสียงดังมาก เหมือนผ่านขั้นตอนคนเข้าเมืองเรียบร้อย ก็มารอ น้องชายแฟนอา(เป็นคนอียิปต์) ขับรถมารับ สิ่งที่ทำให้ผมช็อคแบบสุดๆไปเลย คือเขามากับรถเก๋งเชฟโรเลตคันใหญ่ๆ แบบเมกา เก่าๆคาสสิกๆหน่อย แต่ที่ผมตกใจไม่ใช่เพราะรถของน้องชายแฟนอา แต่รถส่วนมาก ณ ตอนนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ เก่าๆ แถมยังมีรถลา พร้อมกับลุงแก่ๆวิ่งอยู่ริมถนน ในไคโรเลย 555555 เอาจริงๆตอนนั้นผมก็ตื่นเต้นมากนะ แบบว่าแปลกตาดีอะ หลังจากนั้นผมก็ไปถึงบ้าน ย่านเมืองอัล-นัสรฺ ไม่ไกลจากสนามบินมาก บ้านเป็นเหมือนคอนโด และสิ่งที่ผมลุ้นมากๆนั่นก็คือ อาหารมื้อแรกของผม เท่าที่จำได้มีแต่โรตี ชีส เนยแล้วก็ ฟูล(ถั่วบดเอาไปผัดกับเนย) ซึ่งตอนนั้นบอกเลยว่าไม่ชอบ อะไรก็ไม่รู้ จะอ้วก แต่มันคืออาหารท้องถิ่น ที่คนอียิปต์ทุกคนต้องกิน มื้อดึกนี้พีคกว่า นกยัดไส้ข้าวและเอาไปอบ อันนี้อร่อยชอบๆ กินคนเดียว 3 ตัว 555 คนอียิปต์ชอบเที่ยวกลางคืนครับ ผมเข้าใจว่ากลางวันคงร้อนแหละครับ
ผมได้เข้าไปเรียนโรงเรียน อัซฮัรบุอูซ(คล้ายเหมือนปรับภาษา) อาทิตย์แรก..แฟนอานั่งแท็กซี่ไปส่งครับ ซึ่งไกลพอสมควรนั่งรถประมาน15 -30นาที แต่ที่ผมรู้สึกภูมิใจ และรู้สึกว่าตัวเองโตมากๆ ก็อาทิตย์ต่อมานี้แหละ นั่งรถแท็กซี่ไปเรียนเอง!! ย้ำว่าตอนนั้น 8ขวบ และยังพูดภาษาอาหรับไม่ได้ อังกฤษยิ่งไม่ได้เลย ผมคิดว่าแฟนอาอยากจะฝึกผม แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น คือแท็กซี่ที่แวะรับผู้โดยสารระหว่างทาง เฮ้ย!!! ผมงงมาก พูดอะไรก็พูดไม่ได้ ก็ต้องทนนั่งต่อไป ตอนนั้น พูดเป็นอยู่ 2ประโยค คือ "อัซฮัรบุอูส" เป็นชื่อโรงเรียนที่ผมเรียน กับ "ร็อบอะห์" ชื่อถนนแถวบ้าน นั่งแท็กซี่ได้แค่ 2อาทิตย์เท่านั้นครับ ผมเลยหาวิธีที่จะประหยัดเงินค่ารถเอาไว้เที่ยวเอาไว้กิน เลยตัดสินใจขึ้นรถเมล์ไปเรียนเองซะเลย ใช่ครับตอนนั้นผม 8ขวบน่าตื่นเต้นเนอะ 555 ตอนแรกๆผมกลัว และไม่ชอบคนที่นี้เลย น่ากลัว ตัวเหม็น และค่อนข้างสกปรก ในความคิดตอนเด็กของผมนะครับ ผมเคยเห็นคนทำธุระส่วนตัวข้างทางด้วยแหละ อือหื้อทำไปได้ยังไง ชีวิตคนที่นี้จะเรียบง่ายก็บ้านๆเลยครับ แต่ถ้าจำพวกพิธีการอลังการ ก็ปังสุดๆเหมือนกัน บนท้องถนนค่อนข้างวุ่นวายมากๆครับ ขับรถไม่เป็นระเบียบ บีบแตรกันทั้งวันทั้งคืน มีไฟแดงก็ไม่ค่อยได้ใช้ จะได้ใช้จริงก็ในตัวเมืองไคโรเท่านั้นแหละครับ
เพื่อน กลุ่มแรกๆของผม ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ คือลูกคนดูแลตึก แต่ที่มันสำคัญก็คือ คนอียิปต์ส่วนมากชอบดูถูกคนดูแลตึกครับ ประมาณว่าคนรับใช้ซึ่งแน่นอน ฝั่งบ้านผมไม่ได้มีปัญหา แต่คนที่อยู่ร่วมตึกเดียวกันเนี่ย บางคนถึงขั้นมาเตือนแฟนอาผมเลย ซึ่งผมว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีที่ต้องมาดูถูกกันเพราะเค้าก็ทำอาชีพสุจริต คนส่วนมากที่ผมรู้จักก็คนธรรมดาๆ คนดูแลตึก ลุงร้านขายขนม เด็กส่งผ้าของร้านรีดผ้า(คนอียิปต์คงไม่ชอบรีดผ้ามั้ง ฮ่าๆ) วัฒนธรรมที่นี้ก็แปลกดีครับ บนโต๊ะอาหารเขาจะไม่กินของหนักก่อน จะเริ่มจากซุป สลัด และตามด้วยของหนัก ปิดท้ายด้วยของหวาน(อันหลังเหมือนบ้านเรา) และระหว่างกินข้าว ก็จะคุยธุระคุยงาน คุยกันเสียงดังมั่วไปหมด แน่นอนว่าแตกต่างจากบ้านเรา เวลากินข้าวอย่าคุยกัน และวัฒนธรรมการกินชา ที่เหมือนจะกินแทนน้ำเปล่าซะอีก อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ว่าคนอียิปต์ชอบเที่ยวกลางคืน ซึ่งกิจกรรมของเขาเท่าที่ผมซึมซับมา นั้นก็คือการนั่งร้านกาแฟในเวลากลางคืน ช็อปปิ้ง เดินเที่ยวห้าง ดูโชว์การเต้นระบำหน้าท้อง กินอาหารค่ำนอกบ้าน ผมก็เลยลองทำตามเขาดู อยากจะรู้ว่าการเที่ยวกลางคืนมันจะเป็นยังไง พอเราได้มาลองจริงๆ มันก็ไม่ต่างจากบ้านเรามากครับ แต่จะคึกคักกว่าบ้านเราหน่อยบ้านเมืองตอนกลางคืนสีสันค่อนข้างสวยครับ มันเป็นเสน่ห์ของคนที่นั่นซึ่งผมก็ไม่รู้จะเล่าอย่างไรให้พวกคุณเห็นภาพ บางอย่างเราคงต้องมาสัมผัสเอง นั่นคือบรรยากาศค่ำคืนอียิปต์ที่ไม่เคยหลับไหลเลยก็ว่าได้
และสิ่งที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปจากเด็ก 8 ขวบธรรมดาคนนึงให้กลายเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้น นั่นก็คือการทีผมได้เรียนหนังสือที่นี่ในช่วงประถม ด้วยกับการที่คนอียิปต์มักจะแปลกตากับคนต่างชาติ ทำให้ช่วงแรกๆผมได้รับความสนใจจากพวกเขา แต่พอผ่านไปหนึ่งเทอมผมก็แทบไม่ต่างกับเด็กหลังห้อง ที่ไม่ได้มีความสำคัญกับคนอื่นเท่าไหร่ อาจจะมาจากสาเหตุที่ว่า สำหรับความคิดของผมนะ ส่วนมากคนที่นี่เขาชอบที่จะคบกับคนที่ให้ผลประโยชน์กับเขามากกว่าเลือกคบคนที่นิสัยเสียอีก จึงทำให้ผมเองต้องพัฒนาตนเองเพื่อให้ผมได้พอมีจุดยืนบ้าง ผมเลยใช้พื้นฐานด้านภาษาอังกฤษที่ผมได้มาจากการพูดคุยกับแฟนของอา และนั่นก็มาจากการที่ผมพัฒนาตัวเองเหมือนกันครับ จากที่ไม่ได้ภาษาอังกฤษและอาหรับเลย ในช่วงนั้นก็คงจะเหมือนในละครล่ะครับที่คนอ่อนแอมักจะโดนกลั่นแกล้ง ที่ผมต้องมานั่งหลังห้อง โดนเพื่อนแกล้ง ไม่ให้เล่นบอลหรือไม่มีที่จะนั่งเรียน เพราะว่าไม่มีใครอยากนั่งกับผมไงครับ มันมาจากความอ่อนต่อโลกของผม แต่ผมก็รู้จุดด้อยของผมที่ อาจจะไม่ค่อยยิ้มด้วย เราเลยเอาจุดด้อยของเรามาทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น คือผมก็ยอมให้เค้าแกล้งครับแล้วผมก็มาลองคิดดูที่เค้าแกล้งเราจริงๆ คือเค้าเองก็อยากให้เราคุยด้วย ยิ้มด้วย ไม่ได้แกล้งเพื่อความสะใจ จากนั้นผมก็เริ่มอยู่เป็น มีความสุขมากขึ้นในการเรียนที่นี่ หลังจากที่ผมเรียนจบประถมที่นี่ มันทำให้เรารู้ว่าการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของประเทศนี้มันสำคัญจริงๆ คุณอาจจะคิดว่ามันก็ไม่เห็นจะหวือหวาอะไร แต่กับเด็กอายุไม่กี่ขวบ ผมมองว่ามันเป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่นะ
จุดพลิกผันชีวิตของผมอีกอย่างหนึ่งมาจากการต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผมต้องอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีใครอยู่ช่วยเหลือ เนื่องจากแฟนอา รวมถึงอาผมได้ย้ายกลับไปอยู่ที่ไทย ผมต้องอยู่กับตัวเองมากขึ้นในตอนนั้นผมอายุแค่ 11ขวบ ต้องไปทำงานที่ร้านอาหารไทย เพื่อแลกกับข้าว 2มื้อ ในช่วงปิดเทอมโดยที่ผมเองก็ไม่ได้มีเงินเดือน มีแต่เงินที่พ่อฝากส่งมาให้กับคนไทยที่ผมรู้จักเท่านั้น แต่ไม่ต้องตกใจไปครับ เพราะที่เจ้าของร้านไม่ได้ให้เงินผมก็เพราะว่าผมอายุยังไม่ถึงนั่นเอง งานก็ธรรมดาครับไม่มีอะไรมากมาย เสริฟบ้าง เก็บโต๊ะเช็ดโต๊ะ ล้างจาน(อันนี้บ่อยสุด) ส่วนลูกค้าที่ผมเจอ คงจะหนีไมพ้นคนอียิปต์บางคนที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ นั่นก็เป็นสิ่งทำให้ผมเป็นเด็กที่มีความอดทนเพิ่มมากยิ่งขึ้นครับ
หลังจากนั้นปลายปี 2008 ผมก็กลับมาประเทศไทย สาเหตุมาจากในปีสุดท้ายหลังจากที่ครอบครัวของอาได้ย้ายกลับมาก่อนหน้านี้และผมใช้ชีวิตคนเดียวจนอิ่มแล้วในช่วงวัยเด็กและคิดถึงครอบครัวด้วย ถือว่าโชคดีจริงๆครับที่ผมตัดสินใจกลับมาในตอนนั้น เพราะช่วงนั้นที่อียิปต์มีการปฏิวัติหลังจากที่ผมกลับมาได้ไม่นานนัก แน่นอนครับช่วงที่ผมอยู่ต่างประเทศมันเป็นเวลาที่นานพอสมควรถึงแม้ในช่วงเวลาที่ผมเรียนที่นู้นผมจะบินกลับมาหาครอบครัวบ้างในช่วงปิดเทอม แต่การที่ผมกลับมาอยู่ไทยก็ต้องปรับตัวเรื่องภาษาไทยพอสมควร เพราะผมมีพื้นฐานภาษาไทยเท่ากับเด็กป.3เอง กลับมาเรียนม.1 ที่ไทย ตอนแรกๆเข้ากับเพื่อนยากมากๆครับ แบบว่าตอนเราอยู่ที่อียิปต์ความคิด หรือสังคมของเด็กที่นู้นค่อนข้างแตกต่างจากของเรา พวกเขาดูโต และจะทำอะไรดูมีเหตุมีผล บ้านเราช่วงนั้นยังพับรถกระดาษ เล่นลูกแก้วผมกลับมาก็เล่น 5555 ผมต้องปรับตัวเยอะมากกว่าจะเข้ากับเพื่อนที่ไทยได้ ชีวิตที่นู้นดีมากๆครับ เราได้เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตเอง ไปไหนมาไหนเองกล้าพูดกล้าทำกล้าที่จะแสดงออก พอผมได้อยู่ได้สัมผัสชีวิตความเป็นอยู่จริงๆของคนที่นี้ ผมว่าการเดินทางของผมในใครนี้ถือว่าคุ้มมากๆเลยนะ บางครั้งอะไรที่มันเรียบง่ายหรือตรงไปตรงมา มันก็เข้าใจง่ายดีครับ สังคมคนไทยที่นู้นก็อบอุ่นเหมือนญาติพี่น้อง เพื่อนชาวอียิปต์ที่ผมรู้จักก็นิสัยดี และให้เกียรติผมมากๆ
สำหรับใครๆหลายคนถ้าพูดถึงอียิปต์ก็คงจะนึกถึงพีระมิดเป็นอย่างแรกๆ แต่สำหรับผมประเทศนี้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาลขอบคุณพ่อแม่ที่ตัดสินใจส่งผมไปที่นั้น มันเป็นชีวิตวัยเด็กที่มีค่าที่สุดสำหรับผม เด็ก 8 ขวบคนนั้น กับประเทศทีสวยงามผู้คนที่แปลกตาและวัฒนธรรมหลายๆอย่างที่ผมได้เรียนรู้มา ถึงตอนนี้ผมก็อายุ21แล้ว ถ้ามีโอกาสไม่ว่าจะอีกกี่ครั้ง จะอีกกี่สิบปี ถ้ามีโอกาสได้ไป ผมจะกลับไปเยี่ยมบ้านหลังนี้อีก....
*ภาพตอนที่ผมไปเรียนอยู่ที่อียิปต์นะครับ*