เธอคือใคร...
สวัสดีค่ะ เพื่อนๆชาวพันทิป เรื่องที่เราจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราเมื่อประมาณปี 57 ค่ะ อาจจะไม่ค่อยหลอนเท่าไหร่ แต่เป็นเรื่องที่ทำให้เราจดจำ และติดตาเรา จนเราหวาดหวั่นไปเป็นเวลา 2-3 เดือนเลยค่ะ เพราะว่าเราไม่เคยเจอประสบการณ์แบบนี้มาก่อนเลยในชีวิตค่ะ
เมื่อปี 56 เราได้ย้ายไปอยู่กับแฟนที่บุรีรัมย์ และทำงานที่บริษัทขายรถแห่งหนึ่ง เราทำอยู่ที่นั่นได้ประมาณ 9-10 เดือน ประมาณนี้ล่ะค่ะ ก็ได้ลาออก ไปทำที่บิ๊กซี ซึ่งเป็นบริษัทประกันที่ไปจับมือกับบิ๊กซี เพื่อทำเป็นประกันของบิ๊กซีขึ้นมา ในตอนนั้นเราอยู่ตัวแทนประกันรถยนต์ของโบลกเกอร์ๆหนึ่ง ชีวิตก็ดำเนินมาเรื่อยๆ เราก็ทำได้ประมาณ 11 เดือน ไม่ถึงปี อีกตามเคย ก็เลยมีปัญหา เราจึงตัดสินใจลาออก แล้วย้ายเข้าตัวแทนประกันอุบัติเหตุค่ะ
ซึ่งจุดเริ่มต้นของเรื่องก็เกิดจากตอนนี้ เราย้ายข้าเป็นตัวแทนประกันอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นตัวแทนโซนอีสาน ประกัน อุบัติเหตุ จะแตกต่างจากประกันรถยนต์ที่เราเคยทำอยู่คือ จะต้องมีการเดินสายออกอีเวนท์ ตามจังหวัดต่างๆไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนนั้นหลังจากที่เราเริ่มเข้าทำงานที่นั่น เรากับพี่อีกคนที่ทำงานด้วยกันก็ต้องเข้ามาอบรมที่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพ เป็นเวลา 5วัน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ทำการอบรมที่กรุงเทพ พวกเราทุกๆคนในรุ่นนั้น ก็มีแต่เสียงหัวเราะและความสนุกสนานร่าเริงตลอด แต่ว่าเราจะมีปัญหาตรงที่ว่าเราเป็นคนที่นอนยาก หากแปลกที่เราจะนอนไม่ค่อยหลับเลย ตลอดระยะเวลา 5 วันที่นี่ในการเข้ารับการอบรม เรารู้สึกว่าเราเหนื่อยมากๆ ไหนจะต้องรับเอาข้อมูลเยอะๆที่อัดเข้าสมอง ไหนจะร่างกายที่พักผ่อนไม่เพียงพออีก แต่ละวันเราปวดหัว ทั้งเหนื่อย ทั้งเพลียมากๆ จนในที่สุดก็ถึงวันสุดท้าย เราดีใจมากที่จะได้กลับบ้านซะที
และระหว่างที่เราเดินทางกลับบ้านในวันนั้น ยังไม่ถึงบ้านด้วยซ้ำ เราก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่ lead หัวหน้าทีมว่า ให้เราไปอีเวนท์ที่อุบล หลังจากวันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้ โดยไปรอที่สาขาสุรินทร์ก่อนในตอนเช้า โดยพี่หัวหน้าจะไปรับที่สุรินทร์และเดินทางต่อไปที่อุบลเลย เรากับพี่ที่ทำงานด้วยกันมองหน้ากันทันที หลังจากวางสายจากพี่หัวหน้า ก่อนที่เราจะพากันบ่นว่าเฮ้ย!นี่ เราเพิ่งกลับมา ต้องไปต่ออีกแล้วเหรอเนี่ย เราสองคนต่างถอนหายใจทันที ( ขอโทษที่ต้องเล่ารายละเอียดยาวๆ เพราะว่าเราอยากให้ทุกคนได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดกับตัวเรามันเป็นยังไงค่ะ )
จะด้วยเหตุอะไรก็ไม่ทราบได้ หลังจากถึงบ้านผ่านวันเสาร์ วันอาทิตย์ไป เรายังคงนอนไม่ค่อยหลับหลังจากกลับจากกรุงเทพ แล้วเช้าวันจันทร์ เราก็ต้องเดินทางแต่เช้าเพื่อไปสุรินทร์ต่อทันที เราไปถึงที่นั่นประมาณ 10 โมงกว่าๆ ก็เข้าเคาเตอร์ทำงานต่อทันที โดยน้องคนหนึ่งที่อยู่สาขานั้นก็ได้ทักเราทันที
น้อง : เฮ้ยย! พี่...ไปทำอะไรมา ทำไมหน้าตาดูโทรมขนาดนี้
เรา : เปล่าหรอก.... พอดีพี่นอนไม่ค่อยหลับเลย นี่ตั้งแต่ไปกรุงเทพ กลับมา จนป่านนี้ล่ะ
น้อง : โหพี่ ปะๆไปหากาแฟกินกันดีกว่า ไหวปะเนี่ย
เรา : อืมๆ ไปก็ดีเหมือนกัน
จากนั้นเราจึงไปเดินหาซื้อกาแฟ แล้วกลับมานั่งที่เคาเตอร์ตามเคย เรายอมรับเลยว่าช่วงนั้นเราเหนื่อยและเพลียสุดๆ จนประมาณ 11 โมงกว่าๆ พี่หัวหน้าเราก็มา แล้วตอนเที่ยงพวกเราก็ไปกินข้าวที่ร้านใกล้ๆที่ทำงานกัน รวมๆ แล้ว 6 คนด้วยกัน อาหารก็เป็นพวก ส้มตำไก่ย่างที่เราชอบกินกันประจำ ก็ทุกคนต่างกินต่างคุยหัวเราะ เมาท์มอยด์กันไปตามประสา มีแต่เราคนเดียวที่นิ่งเงียบ จนพี่หัวหน้าทักเราว่า “เฮ้ย....กินบ้างก็ได้ อย่าเมาท์เยอะ” แกก็แซวเรา เราก็เลยยิ้ม ๆ แล้วก็ตอบพี่แกไปว่า “พี่....พอดีหนูเหนื่อยๆน่ะพี่ นอนไม่ค่อยหลับ ไม่รู้เป็นอะไร หนูขอเป็นผู้ฟังที่ดีก็แล้วกัน” ก็เลยตอบพี่แกไปแบบนั้น
สรุปเรากินข้าวเสร็จก็กลับมาที่เคาเตอร์ทำงานกันตามเดิม จนเวลาล่วงเลยไปถึงตอนบ่ายสามกว่าๆ เราจึงตกลงออกเดินทางไปอุบลกันโดยมีพี่หัวหน้าและพี่ที่ทำงานด้วยกันอีกคน เดินทางกันไป 3 คน เราไปถึงที่อุบลกันประมารทุ่มกว่าๆ แล้วพี่หัวหน้าก็ให้เราโทรหาพี่หัวหน้าอีกคนที่เป็นหัวหน้าทีมของทีมอุบล เพื่อถามว่า เค้าจองที่พักที่ไหนไว้ให้เรา
เมื่อเราโทรหาพี่แกเสร็จก็ได้รู้ว่า แกไม่ได้จองโรงแรมไว้ให้พวกเรา แต่แค่บอกว่าให้ขอใบกำกับภาษีเป็นชื่อบริษัทเท่านั้น ส่วนจะไปพักที่ไหนก็ตามใจ พวกเราก็แบบ อ้าว! นี่ทุ่มกว่าแล้ว จะไปหาโรงแรมกันที่ไหนล่ะ หิวข้าวด้วย เรานี่เหนื่อยล้าแบบสุดๆ ตาจะปิดแล้ว คือแบบเหนื่อยมากเหลือกเกิน เราจึงขับรถแวะกินก๋วยจั๊บยวนกันข้างถนน แล้วขับรถหาโรงแรมกันต่อทันที พวกเราขับไปเรื่อยๆ ก็เข้าไปถามกันประมาณ 2-3 ที่ แต่ก็เต็มหมด จนในสุดพี่หัวหน้าก็พาเราไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่พี่แกบอกว่าเคยมาพักก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าจะมีห้องว่างรึเปล่า ซึ่งโรงแรมที่ว่านี้ ก็อยู่ที่ด้านหลังโลตัสของเมืองอุบล พี่แกก็ขับเข้าไป ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาสองทุ่มกว่าๆแล้ว เราสังเกตว่าถนนที่เข้าไปนั้นจะเป็นถนนเล็กๆแคบๆ แต่ก็มีรถขับสวนออกมาบ้างเป็นครั้งคราว จากต้นซอยแรกๆก็มีบ้านเรือนผู้คนอยู่ พอขับเข้าไปลึกๆเริ่มเห็นว่า บ้านของผู้คนเริ่มห่างกันขึ้น บ้างก็อยู่โดดๆ เดี่ยวๆ ห่างกัน สามสี่ร้อยเมตรในแต่ละหลัง แต่ก็มีแสงไฟที่หน้าบ้านเปิดสว่างไว้อยู่ และบางครั้งก็จะมีมอไซค์ของวัยรุ่นขับสวนกันมาบ้าง ในตอนนี้เราก็ขับเข้ามาประมาณเกือบกิโลแล้วจากปากซอย สังเกตุว่าข้างทางจะมีแต่ป่าบ้านคนก็จะอยู่แบบห่างๆ และไฟตรงถนนก็ไม่เปิด ซึ่งมันหน้าจะเสียมากกว่า
พี่อีกคนที่มาด้วยกันแกนั่งด้านหน้า พี่หัวหน้าเป็นคนขับ เรานั่งหลังคนเดียว แกก็พูดขึ้นมาว่า “พี่ๆทางมันเปลี่ยวมากเลยนะ...ไฟก็ไม่ค่อยมี บ้านคนก็ไม่ค่อยมี ”
“ อืม..เมื่อก่อนแถวนี้มันเป็นป่า ป่ารกมาก เขาน่าจะเพิ่งเริ่มมาสะสางมันประมาณ 2-3 ปีนี้ล่ะ โรงแรมที่พี่ว่าก็น่าจะเปิดได้ประมาณปีกว่าๆเอง” พี่แกพูดทั้งๆที่สายตาก็ยังจับจ้องไปข้างหน้าเหมือนเดิม
(เดี๋ยวมาต่อค่ะ)
เธอคือใคร?.....
สวัสดีค่ะ เพื่อนๆชาวพันทิป เรื่องที่เราจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเราเมื่อประมาณปี 57 ค่ะ อาจจะไม่ค่อยหลอนเท่าไหร่ แต่เป็นเรื่องที่ทำให้เราจดจำ และติดตาเรา จนเราหวาดหวั่นไปเป็นเวลา 2-3 เดือนเลยค่ะ เพราะว่าเราไม่เคยเจอประสบการณ์แบบนี้มาก่อนเลยในชีวิตค่ะ
เมื่อปี 56 เราได้ย้ายไปอยู่กับแฟนที่บุรีรัมย์ และทำงานที่บริษัทขายรถแห่งหนึ่ง เราทำอยู่ที่นั่นได้ประมาณ 9-10 เดือน ประมาณนี้ล่ะค่ะ ก็ได้ลาออก ไปทำที่บิ๊กซี ซึ่งเป็นบริษัทประกันที่ไปจับมือกับบิ๊กซี เพื่อทำเป็นประกันของบิ๊กซีขึ้นมา ในตอนนั้นเราอยู่ตัวแทนประกันรถยนต์ของโบลกเกอร์ๆหนึ่ง ชีวิตก็ดำเนินมาเรื่อยๆ เราก็ทำได้ประมาณ 11 เดือน ไม่ถึงปี อีกตามเคย ก็เลยมีปัญหา เราจึงตัดสินใจลาออก แล้วย้ายเข้าตัวแทนประกันอุบัติเหตุค่ะ
ซึ่งจุดเริ่มต้นของเรื่องก็เกิดจากตอนนี้ เราย้ายข้าเป็นตัวแทนประกันอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นตัวแทนโซนอีสาน ประกัน อุบัติเหตุ จะแตกต่างจากประกันรถยนต์ที่เราเคยทำอยู่คือ จะต้องมีการเดินสายออกอีเวนท์ ตามจังหวัดต่างๆไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนนั้นหลังจากที่เราเริ่มเข้าทำงานที่นั่น เรากับพี่อีกคนที่ทำงานด้วยกันก็ต้องเข้ามาอบรมที่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพ เป็นเวลา 5วัน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ทำการอบรมที่กรุงเทพ พวกเราทุกๆคนในรุ่นนั้น ก็มีแต่เสียงหัวเราะและความสนุกสนานร่าเริงตลอด แต่ว่าเราจะมีปัญหาตรงที่ว่าเราเป็นคนที่นอนยาก หากแปลกที่เราจะนอนไม่ค่อยหลับเลย ตลอดระยะเวลา 5 วันที่นี่ในการเข้ารับการอบรม เรารู้สึกว่าเราเหนื่อยมากๆ ไหนจะต้องรับเอาข้อมูลเยอะๆที่อัดเข้าสมอง ไหนจะร่างกายที่พักผ่อนไม่เพียงพออีก แต่ละวันเราปวดหัว ทั้งเหนื่อย ทั้งเพลียมากๆ จนในที่สุดก็ถึงวันสุดท้าย เราดีใจมากที่จะได้กลับบ้านซะที
และระหว่างที่เราเดินทางกลับบ้านในวันนั้น ยังไม่ถึงบ้านด้วยซ้ำ เราก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่ lead หัวหน้าทีมว่า ให้เราไปอีเวนท์ที่อุบล หลังจากวันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้ โดยไปรอที่สาขาสุรินทร์ก่อนในตอนเช้า โดยพี่หัวหน้าจะไปรับที่สุรินทร์และเดินทางต่อไปที่อุบลเลย เรากับพี่ที่ทำงานด้วยกันมองหน้ากันทันที หลังจากวางสายจากพี่หัวหน้า ก่อนที่เราจะพากันบ่นว่าเฮ้ย!นี่ เราเพิ่งกลับมา ต้องไปต่ออีกแล้วเหรอเนี่ย เราสองคนต่างถอนหายใจทันที ( ขอโทษที่ต้องเล่ารายละเอียดยาวๆ เพราะว่าเราอยากให้ทุกคนได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดกับตัวเรามันเป็นยังไงค่ะ )
จะด้วยเหตุอะไรก็ไม่ทราบได้ หลังจากถึงบ้านผ่านวันเสาร์ วันอาทิตย์ไป เรายังคงนอนไม่ค่อยหลับหลังจากกลับจากกรุงเทพ แล้วเช้าวันจันทร์ เราก็ต้องเดินทางแต่เช้าเพื่อไปสุรินทร์ต่อทันที เราไปถึงที่นั่นประมาณ 10 โมงกว่าๆ ก็เข้าเคาเตอร์ทำงานต่อทันที โดยน้องคนหนึ่งที่อยู่สาขานั้นก็ได้ทักเราทันที
น้อง : เฮ้ยย! พี่...ไปทำอะไรมา ทำไมหน้าตาดูโทรมขนาดนี้
เรา : เปล่าหรอก.... พอดีพี่นอนไม่ค่อยหลับเลย นี่ตั้งแต่ไปกรุงเทพ กลับมา จนป่านนี้ล่ะ
น้อง : โหพี่ ปะๆไปหากาแฟกินกันดีกว่า ไหวปะเนี่ย
เรา : อืมๆ ไปก็ดีเหมือนกัน
จากนั้นเราจึงไปเดินหาซื้อกาแฟ แล้วกลับมานั่งที่เคาเตอร์ตามเคย เรายอมรับเลยว่าช่วงนั้นเราเหนื่อยและเพลียสุดๆ จนประมาณ 11 โมงกว่าๆ พี่หัวหน้าเราก็มา แล้วตอนเที่ยงพวกเราก็ไปกินข้าวที่ร้านใกล้ๆที่ทำงานกัน รวมๆ แล้ว 6 คนด้วยกัน อาหารก็เป็นพวก ส้มตำไก่ย่างที่เราชอบกินกันประจำ ก็ทุกคนต่างกินต่างคุยหัวเราะ เมาท์มอยด์กันไปตามประสา มีแต่เราคนเดียวที่นิ่งเงียบ จนพี่หัวหน้าทักเราว่า “เฮ้ย....กินบ้างก็ได้ อย่าเมาท์เยอะ” แกก็แซวเรา เราก็เลยยิ้ม ๆ แล้วก็ตอบพี่แกไปว่า “พี่....พอดีหนูเหนื่อยๆน่ะพี่ นอนไม่ค่อยหลับ ไม่รู้เป็นอะไร หนูขอเป็นผู้ฟังที่ดีก็แล้วกัน” ก็เลยตอบพี่แกไปแบบนั้น
สรุปเรากินข้าวเสร็จก็กลับมาที่เคาเตอร์ทำงานกันตามเดิม จนเวลาล่วงเลยไปถึงตอนบ่ายสามกว่าๆ เราจึงตกลงออกเดินทางไปอุบลกันโดยมีพี่หัวหน้าและพี่ที่ทำงานด้วยกันอีกคน เดินทางกันไป 3 คน เราไปถึงที่อุบลกันประมารทุ่มกว่าๆ แล้วพี่หัวหน้าก็ให้เราโทรหาพี่หัวหน้าอีกคนที่เป็นหัวหน้าทีมของทีมอุบล เพื่อถามว่า เค้าจองที่พักที่ไหนไว้ให้เรา
เมื่อเราโทรหาพี่แกเสร็จก็ได้รู้ว่า แกไม่ได้จองโรงแรมไว้ให้พวกเรา แต่แค่บอกว่าให้ขอใบกำกับภาษีเป็นชื่อบริษัทเท่านั้น ส่วนจะไปพักที่ไหนก็ตามใจ พวกเราก็แบบ อ้าว! นี่ทุ่มกว่าแล้ว จะไปหาโรงแรมกันที่ไหนล่ะ หิวข้าวด้วย เรานี่เหนื่อยล้าแบบสุดๆ ตาจะปิดแล้ว คือแบบเหนื่อยมากเหลือกเกิน เราจึงขับรถแวะกินก๋วยจั๊บยวนกันข้างถนน แล้วขับรถหาโรงแรมกันต่อทันที พวกเราขับไปเรื่อยๆ ก็เข้าไปถามกันประมาณ 2-3 ที่ แต่ก็เต็มหมด จนในสุดพี่หัวหน้าก็พาเราไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่พี่แกบอกว่าเคยมาพักก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าจะมีห้องว่างรึเปล่า ซึ่งโรงแรมที่ว่านี้ ก็อยู่ที่ด้านหลังโลตัสของเมืองอุบล พี่แกก็ขับเข้าไป ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาสองทุ่มกว่าๆแล้ว เราสังเกตว่าถนนที่เข้าไปนั้นจะเป็นถนนเล็กๆแคบๆ แต่ก็มีรถขับสวนออกมาบ้างเป็นครั้งคราว จากต้นซอยแรกๆก็มีบ้านเรือนผู้คนอยู่ พอขับเข้าไปลึกๆเริ่มเห็นว่า บ้านของผู้คนเริ่มห่างกันขึ้น บ้างก็อยู่โดดๆ เดี่ยวๆ ห่างกัน สามสี่ร้อยเมตรในแต่ละหลัง แต่ก็มีแสงไฟที่หน้าบ้านเปิดสว่างไว้อยู่ และบางครั้งก็จะมีมอไซค์ของวัยรุ่นขับสวนกันมาบ้าง ในตอนนี้เราก็ขับเข้ามาประมาณเกือบกิโลแล้วจากปากซอย สังเกตุว่าข้างทางจะมีแต่ป่าบ้านคนก็จะอยู่แบบห่างๆ และไฟตรงถนนก็ไม่เปิด ซึ่งมันหน้าจะเสียมากกว่า
พี่อีกคนที่มาด้วยกันแกนั่งด้านหน้า พี่หัวหน้าเป็นคนขับ เรานั่งหลังคนเดียว แกก็พูดขึ้นมาว่า “พี่ๆทางมันเปลี่ยวมากเลยนะ...ไฟก็ไม่ค่อยมี บ้านคนก็ไม่ค่อยมี ”
“ อืม..เมื่อก่อนแถวนี้มันเป็นป่า ป่ารกมาก เขาน่าจะเพิ่งเริ่มมาสะสางมันประมาณ 2-3 ปีนี้ล่ะ โรงแรมที่พี่ว่าก็น่าจะเปิดได้ประมาณปีกว่าๆเอง” พี่แกพูดทั้งๆที่สายตาก็ยังจับจ้องไปข้างหน้าเหมือนเดิม
(เดี๋ยวมาต่อค่ะ)