ตกหลุมรัก I dig, you dig, we dig. --it's not beautiful poem but it's very deep.

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ

วันนี้มาเล่าประสบการณ์ความรัก เรื่องการตกหลุมรักให้ฟังกันค่ะ

เราเป็นคนตกหลุมรักคนง่ายมาก แต่ตะกายจากหลุม
ยากเย็น แสนเข็ญ บางทีนอนตายอย่างสงบ ศพเป็น สีชมพู อยู่ก้นหลุมหลายปี

หลุมแรก

ตั้งแต่ ม.4 สมัยวัยรุ่นเลย เป็นเด็กเรียน ที่ต้องเรียนพิเศษที่โรงเรียน กลับบ้านประมาณหกโมงขึ้น ทุ่มหนึ่ง เรียกว่า ไม่เห็นไฟถนน กลับบ้านไม่เป็น

วินเป็นผู้ชายขาว หน้าตี๋ ๆ ครั้งแรกที่หลงรัก อาจเป็นเพราะความใกล้ชิด เราเรียนห้องเดียวกัน เดินไปขึ้นรถกลับบ้านพร้อมกัน ธรรมดาถ้าขึ้นรถตรงหน้าปากซอยโรงเรียนเลย มันจะอ้อมและต้องไปต่อรถ แต่หากเดินไปราว ๆ หนึ่งป้ายรถเมล์ นั่งสองแถวเข้าซอยลัดแล้วไปต่อรถเมล์ จะใกล้กว่า

เราเดินไปที่รถสองแถวด้วยกันทุกวัน กลับเพื่อนอีกขโยงใหญ่ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย มากพอที่จะขึ้นสองแถว แล้วทำให้ที่นั่งทั้งสองฝั่งเต็ม ที่นั่งท้ายสุดฝั่งขวามือ เราจอง...

วินไม่ค่อยได้นั่ง ลุกให้คนอื่นนั่งบ้าง ขี้เกียจนั่งเล่นกับเพื่อนบ้าง เขายืนเกาะท้ายรถฝั่งขวา ต่อจากที่เรานั่ง ประจำ.. สองแถวเข้าซอยลัดที่รถติด ต้องใช้เวลาประมาณ 20  นาที เรามีโอกาสไปคุย เล่น หลอกล้อกัน ตลอดทาง..

เป็นการตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกที สายตาก็คอยมองหา พยายามขยับเข้าไปใกล้ ๆ หาเรื่องคุยด้วย แต่ไม่อาจเป็นได้มากกว่าเพื่อน

เรื่องราวดำเนินไป เหมือนเรื่องสาวน้อยแอบรักหนุ่มรูปงาม นิสัยดีทั่วไป

รักนะ แต่ไม่แสดงออก..

จบม.5 แล้ว เราข้ามชั้นเข้ามหาวิทยาลัย (สมัยนั้นยังมีสอบเทียบเพื่อลัดชั้นเข้ามหาวิทยาลัยได้...55 แก่เชียว) เลยไม่มีโอกาสได้อยู่ใกล้ ๆ เขาอีก ตอนปีหนึ่ง เคยเล่าเรื่องวินให้เพื่อนสนิทที่มหาวิทยาลัยชื่อกุ้งฟัง

จนเราอยู่ปีสอง วินสอบได้ที่จุฬาฯ และกุ้งเอาเบอร์เพจเจอร์ของวินจากเรา ไปส่งข้อความไปหาเขา แล้วเขาสองคนก็คุยกันทางโทรศัพท์จนสนิทกัน กุ้งบอกความลับของเราให้วินรู้ว่า เราชอบวินมาก พูดถึงตลอด จนกุ้งอยากรู้จักวิน

ตอนนั้นเรารู้สึกอายมาก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เราไม่เคยบอกวิน ไม่เคยแสดงท่าทีอะไรให้เขารู้ แต่ก็ไม่อยากห่างจากเขา

เราตัดสินใจเขียนจดหมายหาวิน บอกเล่าเรื่องราวมากมายให้เขารู้ ที่ไม่โทรหา มีเหตุผลหลายอย่าง ไม่กล้า กลัวเขาไม่อยากคุยกับเรา หรืออยากมีเวลาได้เรียบเรียงความคิดก่อน คุยกันเลยกลัวจนประหม่า เขินจนไม่รู้จะพูดอะไร

อีกอย่าง คือ จดหมายมันมีเสน่ห์ในตัวมันเอง เพราะกว่าเราจะเลือกกระดาษ เลือกซอง บรรจงเขียน ไปส่งไปรษณีย์  และกว่าจดหมายจะถึงมือผู้รับ มันไม่ง่ายเหมือนยกหูคุยโทรศัพท์ กระบวนการมากมายนี้ สะท้อนว่ามันไม่ใช่แค่ข้อความในจดหมาย แต่ในระหว่างบรรทัดนั้น มีความพยายาม ความรัก และความคิดถึงซ่อนอยู่ ซึ่งเราสัมผัสมันได้จริง ๆ (ก็มือจับกระดาษอยู่นั่นไง)

คุณต้องเป็นคนสำคัญจริง ๆ เขาจึงจะเขียนจดหมายหา..

เหตุผลสุดท้ายคือ การส่งจดหมายถึงกัน ทำให้เราหลอกตัวเองได้ว่า ที่เรายังไม่ได้จดหมายตอบ เพราะเขาไม่ว่างซื้อแสตม์ป หรือ บางทีเขาไม่ว่างเขียน หรือบางที จดหมายตอบกำลังอยู่ระหว่างการเดินทาง หากเราอดทนรออีกนิด เราจะได้อ่านความคิดถึงของเขาที่มีต่อเราแน่นอน

เวลาเรารักหรือชอบใครสักคน เราก็อยากเป็นคนที่สมบูรณ์แบบในสายตาเขา อยากให้เขาเห็น แล้วรู้สึกรักหรือชอบเราตอบบ้าง แต่ความที่เรายังเด็ก เราไม่รู้ว่า ความคิดที่อยากเป็นคนสมบูรณ์นั้น กลับเป็นช่องว่างที่กว้างมากสำหรับเราสองคน เรากับวินราวกับยืนอยู่คนละขอบผา มีหลุมลึกแห่งความปวดร้าวประมาณมิได ขั้นกลาง

นาน ๆ เขาจะตอบจดหมายสักฉบับ ข้อความในจดหมายแค่ครึ่งหน้ากระดาษ เราอ่านซ้ำไปซ้ำมา ราวกับกำลังอ่านสารานุกรมให้ทะลุปรุโปร่ง คนที่ไม่ชอบเขียนจดหมาย (ตามที่เขาออกตัว) กลับแค่ตอบเราตั้งแปดบรรทัด สิบบรรทัด แค่นี้ก็ดีถมแล้ว พอให้ชื่นใจไปหลายวัน

เหตุการณ์มากมายที่สับสนเกิดขึ้นระหว่าง เรา วินและปลา จนเราอยู่ปีสาม เรื่องราวจบลงตรงที่ เรารอวินตอบจดหมาย แต่เขาไม่ตอบมา รอเขาโทรมาหา แต่เขาไม่โทรมาเรา ในใจมีข้อแก้ตัวให้เขาสารพัด

จนวันหนึ่ง เขาโทรหากุ้ง ขอพูดกับเรา เราอยู่หอ ห้องใกล้ ๆ กันกุ้งเดินมาตามเรา ให้ไปคุยโทรศัพท์กับวินที่ห้องกุ้ง (สมัยนั้นยังไม่มีมือถือ) วินถามว่ามีอะไรหรือเปล่า เราถึงอยากให้วินโทรหา เราตอบวินว่า "ไม่มีอะไร ขอบใจนะที่โทรมา" ส่งสายให้กุ้งคุยกับเขาต่อ แล้วกลับมาร้องไห้ที่ห้องคนเดียว

วินบอกว่า โทรหาเรา แต่สายไม่ว่าง เลยโทรไปห้องกุ้งแทน แต่ด้วยความน้อยใจ เสียใจ รู้สึกเป็นคนไร้ค่าที่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ และสารพัดความคิดในแง่ร้าย ทำให้เราไม่ได้ปรับความเข้าใจกับวินเลย

และตั้งแต่วันนั้น เราสัญญากับตัวเองว่า ฉันจะไม่ส่งจดหมายไปหาวินอีก ไม่ร้องขอให้เขาโทรหา ตอบจดหมาย หรือต้องทำอะไรให้เราอีก

ทุกครั้งที่ส่งจดหมายไป เราก็หวังให้เขาเขียนตอบ
หวัง...ผิดหวัง... แล้วก็หวังอีก วนเวียนอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่อยากหวังให้ตัวเองต้องผิดหวังอีกแล้ว

พอกันที -- ฉันเสียใจ..ที่ต้องเป็นคนที่พูดคำนี้ออกมา แม้เธอจะไม่ได้ยินก็ตาม..

หลังจากสัญญากับตัวเองแล้ว เรายังคงเขียนจดหมายอยู่อีกหลายเดือน แต่ทุกฉบับไม่เคยส่งไปให้วินอีกเลย
อยู่ในกล่องขนมปังเก่า ๆ จนถึงวันนี้

เรียนจบป.ตรี เราเลือกเรียนต่อป.โทที่จุฬาฯ นอกจากความรู้วิชาการทั่วไปแล้ว ในใจเราหวังอย่างลม ๆ แล้ง ๆ ว่าสักวัน เราสองคนคงได้พบกัน เพราะเราเข้ามหาลัยเร็วกว่าเขาปีหนึ่ง ถ้าเราเรียนต่อที่จุฬาฯ เขาอยู่ปี 4 พอดี แล้ววันนั้นก็มาถึงจริง ๆ เขาทักเรา ขณะที่เดินสวนกันโดยความบังเอิญ

ถ้าใครเคยฟังเพลง "คำถามโง่ๆ " ของพี่บอย โกสิยพงษ์ เขาร้องยังไง เหมือนอาการของเราตอนนั้น ไม่มีผิด เราเจอกันสองครั้ง ทักทายกันอย่างสั้นจนน่าใจหาย

สุดท้าย เรากับวิน จากกันอย่างไม่มีคำร่ำลา เราต่างเดินบนเส้นทางชีวิตของตัวเอง โดยเส้นทางนั้นไม่เวียนมาบรรจบกันอีกเลย

ใช้เวลาจำความสุข และลืมความทุกข์ทั้งสิ้น 9 ปีด้วยกัน
มโน 3 สับสน 3 เยียวยา 3

แต่ในบางครั้ง ยังคงคิดถึงเขา แล้วถามตัวเองในใจว่า

จะมีสักเสี้ยวเวลานาทีไหม ที่เขาจะคิดถึงฉัน คิดถึงอย่างเพื่อนพึงมีต่อกันก็พอ..

จบหลุมที่หนึ่ง..
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่