[รีวิวทริป] บันทึกการท่องเที่ยวจีนครั้งแรกในเมืองปักกิ่ง กับครอบครัวคุณคู่หมั้น

นี่เป็นกระทู้แรกที่เราลองเขียนรีวิวทริปที่ไปมานะคะ ถ้ามีข้อผิดพลาด หรือคำติชมยังไง ช่วยแนะนำด้วย ยิ้ม

ต้องบอกก่อนเลยนี่เป็นทริปเยือนจีนครั้งแรกของเรา... จริงๆไปมาตั้งแต่ช่วงเมษาที่ผ่านมาละ แต่เพิ่งได้มีโอกาสเขียนรีวิวในนี้ ทริปนี้เกิดจากทางบ้านของแฟนเรา (เป็นคู่หมั้นแต่ของเรียนแฟนละกันนะสะดวกดี) เค้ามีธุรกิจค้าขายกับบริษัทที่จีน คุณพ่อคุณแม่ก็อยากพาลูกๆ (ลูกชาย 4 รวมแฟนเรา) ไปดูที่ดูทางและติดต่องานไปในตัว แต่ทริปนี้เน้นเที่ยวไม่เน้นงาน เค้าก็เลยชวนเราไปด้วย เรากับแฟนเราเดินทางจากอังกฤษไปเจอพวกเค้าที่ปักกิ่ง พวกเค้าเดินทางมาจากกรุงเทพมาเจอกัน เราอยู่แค่สามวันละกลับไทย เพราะคิดตอนแรกว่า ชั้นอยู่ไม่ไหวแน่ 1 อาทิตย์ เพราะพวกเค้าไปกัน 1 อาทิตย์ ถือว่าคิดถูกมากๆ ที่กลับก่อน 555 คือเรารู้ว่ามันต้องเดินเยอะมากๆ และเราไม่ใช่สายเดินเลย >< เลยแบบขอไปดูลู่ทางการเที่ยวสัก 3 วันเก่อน (คราวก่อนไปอิตาลีกับคุณพ่อคุณแม่แฟน พวกท่านเดินเก่งมากกกกกกก)

ถึงแม้จะอยู่แค่ 3 วัน แต่เราว่าเราเก็บที่ที่เราอยากไปค่อนข้างครบ ขอเล่าเป็นวันๆ ไปละกันนะคะ เริ่มที่ที่พักก่อน เราอยู่ Air Bnb ที่ทางแฟนเราก็เตือนแล้วว่าอาจจะไม่มีลิฟต์ และอยู่ชั้น 6 แฟนเราเค้าให้พ่อฝากคนที่ช่วยติดต่อธุรกิจที่จีนให้เช็คแล้วเช็คอีกว่ามีลิฟต์มั้ย เค้าบอกมี พวกเราเลยโอเค...สรุป ไม่มีจ้า! มีคนเคยบอกเราว่า สมัยก่อนจีนมีกฎว่าห้ามสร้างลิฟต์ในตึกที่สูงไม่เกิน 6 ชั้น ไม่รู้จริงป่าว ตึกนี้เป็นตึกเก่าเลยไม่มีลิฟต์... ใครรู้ในจุดนี้ฝากมาไขข้อข้องใจด้วยน้า วันแรกเรามาถึงตีห้าครึ่ง และปีนขึ้นไปหกชั้นอาบน้ำเตรียมตัวเที่ยววันแรก

วันแรก: เดินชิลๆชม วัดลามะ กินติ่มซำ และไปดูโชว์กายกรรม

เราเริ่มวันแรกด้วยการกินข้าวที่ร้านชื่อ Jin Ding Xuan เป็นร้านติ่มซำที่ค่อนข้างใหญ่ที่เดียว แถวๆ วัดลามะ พอลงสถานีมาจะเห็นตึกจีนแดงๆ นั่นคือร้านเลย

อาหารและราคาใช้ได้ แต่เราว่าอาหารทุกจานที่มาเสิร์ฟ มันแบบไม่ร้อนลวกปากสะใจเหมือนที่เราเคยกินที่อื่น อาจจะเป็น style ของเค้าก็ได้ที่ไม่สิร์ฟในอุณหภูมิร้อนจี๋ เราไม่คิดว่ามันไม่ร้อนเพราะเหลือค้าง เพราะคนเยอะเหลือเกินร้านนี้ ... ถ้าใครไป เค้าจะมีแจกบัตรคิวหน้าร้าน แล้วเรียกให้เข้าไปเข้าแถวเอาโต๊ะอีกที่ อย่าลืมดูว่าตอนไปเค้ามีให้ไปเอาบัตรคิวก่อนป่าวนะคะ พนักงานที่นี่บางคนพูดอังกฤษได้ แต่เค้าก็ไม่ค่อยอยากจะพูดกับเราเท่าไหร่นัก เพราะงั้นกว่าจะสั่งอาหารได้ก็นานอยู่ ถ้ามีคนพูดจีนได้บ้างไปด้วยจะดีมาก (พ่อแฟนเราพูดจีนพอได้ โชคดีมากๆ)

ทางเสร็จมาเดินดูวัดลามะและบริเวณรอบๆ


หลังจากเดินเล่นแถวๆวัดลามะ และบริเวณใกล้เคียงเราก็ไปดูกายกรรมที่ โรงละครเฉาหยาง ต่อ เราจองตั๋วไปก่อน เลยได้นั่งตรงกลางที่ VIP ในราคาตั๋วปกติหน้างาน คริคริ เราชอบโชว์มากๆ ส่วนตัวไม่เคยดูกายกรรมมาก่อน นั่งดู 1 ชั่วโมงเต็มไม่เบื่อเลย (เค้าห้ามถ่ายรูป และวิดิโอข้างในนะคะ เราเลยไม่ได้ถ่ายมา)


พอเสร็จมาถึงมื้อเย็น...มาปักกิ่ง ก็ต้องไปกินเป็ดปักกิ่ง 555 เราไปกันที่ร้าน Quanjude Wangfujing Roast Duck Restaurant คือร้านใหญ่อลังมาก มีหลายชั้นสุดๆ เราไม่ชอบรสชาติของเป็ดที่นี่ เพราะมันมันมาก และมันไม่ใช่รสที่เราเคยกินที่ไทย แบบจืดกว่า แต่ถึงเราไม่ชอบก็อยากแนะนำให้มาลอง เพราะที่นี่เค้ามีประหวัดยาวนานเรื่องเสริฟเป็ด และคุณอาจจะชอบก็ได้



ก่อนไปเราอ่านรีวิวไปกันว่า ร้านนี้ชอบยัดขาย set menu ซึ่งแพง และอาหารบางอย่างอะไรก็ไม่รู้ เราเลยเลือกกินแต่เป็ดกัน จัดมา 2 ตัว และข้าวผัดเป็ด 1 ที่ สำหรับกิน 7 คน ขอบอกเลี่ยนมากๆ T_T
ปักกิ่งวันแรก ขนาดเดินชิล ฟาดไปเกือบ 9 กิโลเห็นจะได้ ปวดขามากๆ

วันที่สอง: กำแพงเมืองจีน และสุสานหมิง
คืนวันแรกเราได้ขอให้ host Air Bnb เราช่วยจองรถตู้พร้อมคนขับ (ที่ไม่สามารถพูดอังกฤษแม้แต่นิดเดียวให้ T_T) ออกจากที่พักแต่เช้าตรู่มาเข้าแถวขึ้นกระเช้าขึ้นกำแพง เราว่าเราออกจากที่พัก 6 โมง คือเร็วแล้ว พอไปถึงที่ขายบัตรยังไม่เปิด แต่ทัวร์เข้าแถวกันพรึบ


พอได้ขึ้นกระเช้าไปถึงข้างบน เราก็จะเห็นเหล่าคนจีนจากที่ต่างๆมาขมกำแพง พร้อมอาหารที่เตรียมมาปิกนิคบนนั้นด้วย ข้างบนก็มีน้ำและอาหารขาย แต่ราคาก็แพงขึ้นตามความสูง 555 บนกำแพงลมแรงมาก แต่ก็วิวดีมาเช่นกัน ทุกอย่างคือดี (ห้องน้ำก็ดีมากกว่าที่กลัว และคิดไว้) ...


ดีหมด...ยกเว้น คนจีนที่ชอบผลัก และชอบถ่มน้ำลายลงพื้น แบบไม่ดูคน คือมีจุดนึงที่มันแคบ เค้าก็เดินไปผลักไปเราแบบสะบัดแขนละบอกว่า โอ๊ยยยอย่าจับ!! เป็นภาษาไทย 5555 คือแบบ ไม่ไหวแล้วโว้ยยย
พอลงมาจากกำแพงก็หาไรกินง่ายๆ ละไปกันต่อที่สุสานหมิง พื้นที่เต็มๆ มันใหญ่มาก แต่เราเลือกไปแค่จุดเดียวตรงที่มีสุสานอยู่ข้างล่าง บรรยากาศดี ร่มรื่น สวนสวย...


พอดูข้างในเสร็จ เราก็ออกมานั่งรับลงข้างนอก นั่งๆไป ไมเหม็นจัง ยังกะส้วมแตก มองซ้ายมองขวา ชัด.... พ่อแม่คู่หนึ่งพยามช่วยยกตูดลูกให้ขรี้อยู่ตรงสวนหน้าทางเข้าสุสาน...ทั้งๆที่ห้องน้ำอยู่ไม่เกิน 100 เมตรไม่มีคำบรรยาย ทุกคนมองหน้ากัน แล้วพยักหน้า เป็นที่รู้กันว่า ขึ้นรถเถอะ
ตอนเย็นเรามากินอะไรง่ายๆ เป็นร้านชาบูที่มีสาชาทั่วไป ชื่อ Hai Di Lao ราคาไม่แพง อาหารและบริการถือว่าดี เพื่อนเราบอกว่าร้านนี้มีที่สิงคโปร์ด้วย
สรุปวันนี้เดินไป 10 กิโล.... ปวดขามาก แบะดีใจมากที่เค้าตัดสินใจเช่ารถตู้กัน ไม่งั้นหนักกว่านี้แน่ ถ้าขึ้นรถบัส

วันที่สาม: พระราชวังต้องห้าม และมื้ออาหารที่รอคอย
วันนี้คือมหากาพย์แห่งการเดิน....คือมันกว้างมากกกก และคนเยอะมากกก โชคดีที่เราจองตั๋วไปก่อนและไปแค่เอาตั๋ว เราได้ยินกันมาว่าเค้าจำกัดให้คนเข้าแค่วันละ 80,000 คน กลัวไปได้เข้าเลยหาทางจองไปก่อน แหะๆ พอไปรับตั๋วแล้วเค้าก็เข้าช่องสำหรับทัวร์ได้เลย ไม่ต้องต่อแถวเข้าช่องธรรมดาด้วย สะดวกมากๆ
มี audio ข้อมูลให้ฟังตามจุดที่เดินไปด้วย





เราอยู่ที่นี่กันตั้งแต่เช้าแปดเก้าโมง ยันห้าโมงเย็น เพราะแฟนเราได้จองร้านอาหารชื่อ Black Sesame Kitchen ตอนทุ่มนึง ร้านนี้ไม่มีเมนูให้เลือก ทั้งร้านจุได้ 24 คน คิดหัวละ 300 หยวน คือถือว่าค่อนข้างแพง อาจจะเรียกว่าเป็น fine dining ได้หน่อยๆ แต่เป็นแนว traditional Chinese food บวกกับ chef table ผสมกัน ราคานี่คือรวมน้ำ รวมไวน์ด้วย (ไวน์คือคนละ 2-3แก้วประมาณนี้) คือเราก็ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เพราะแบตหมด เรื่องรสชาติ อาหารบางจานอร่อย บางจานเฉยๆ แต่ขนมอร่อยมากๆๆๆๆๆ แต่ที่ดีที่สุดคือประสบการณ์ เราได้พูดคุยกับคนในโต๊ะที่มีจากหลายๆมุมโลก เมกาบ้าง ยุโรปบ้าง เพราะนั่งทางข้าวโต๊ะใหญ่โต๊ะเดียวกัน ทานกันเสร็จประมาณ สามทุ่มครึ่ง ก็แยกย้าย
จากความใหญ่ของพระราชวังต้องห้าม วันนี้เดินไป 12 กิโล....เท้าพองไปรัวๆ

สรุปคือ ชอบแต่เหนื่อยมาก เดินเยอะ มลภาวะทางอากศมีจริง ไม่รู้ฝุ่นหรือเกสร หรืออะไร มันปลิวๆลอยๆในอากาศตลอด เราใช้หน้ากากกันฝุ่นค่อยข้างบ่อย ใช้ในรถใต้ดินด้วย เพราะแออัดและเหม็น ไปปักกิ่งอะไรที่หาข้อมูลไปได้ควรหาไว้ก่อน อะไรที่คิดว่าจองก่อนได้ก็ควรจองไปเลย ถ้ามีวีแชทไว้เป็นสื่อจ่ายเงินจะยิ่งดีมากๆ เพราะแฟนเราเล่าให้ฟังว่าหลังจากเรากลับ เค้าไปตลาดกัน ซื้อขนมนิ้งหน่องๆ แม้ค้าบอกไม่มีเงินสดทอน ต้องจ่ายผ่านวีแชท ไม่ก็ซื้อให้พอดีตามเงินที่เรามี....อิ้งไปเลย เราว่าบ้านเมืองเค้าดูค่อนข้างเจริญนะ แต่ห้องน้ำในบางห้างแบบ...ขี้เลอะระเบิด และบางห้างไม่มีทิชชู่ให้ ทิชชู่เปียกสำคัญมากใครไปปักกิ่งอย่าลืมพก และคนชอบเดินชน กับถ่มน้ำลาย อันนี้เรารับไม่ได้สุด ถามว่าให้กลับไปอีกมั้ย...ไปปักกิ่งอาจจะไม่ ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน แต่อยากไปเมืองอื่นๆในจีนอีกแน่นอน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่