ผมมักใช้ชีวิตเรื่อยๆ ไม่ใส่ใจรายละเอียด เผาเวลาไปวัน
ดีเป็นบางเรื่อง ไม่ดีซะหลายเรื่อง
จากการใช้ชีวิต ไปเรื่อยๆ ปัจจุบัน สักเริ่มสะดุด
ก่อนจะถึงปัจจุบัน ขอเล่าที่มาที่ไปก่อน
ปัจจุบัน ผมอายุ 41 ปี เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ผมได้รู้จักกับน้องคนหนึ่ง อายุน้อยกว่าผม 6 ปี
ขอเรียกว่า น้อง แล้วกัน ได้รู้จักกัน ผมก็จีบ น้อง โดยมากก็การ โทรศัพย์ หรือ MSN บ้าง
ซึ่งสมัยก่อน ไม่มี Line ค่าโทรศัพย์ ก็แพงกว่าสมัยนี้ ซึ่งน้อง อยู่ไกลจากผม 6-700 กิโลเมตร
โดยมากก็ใช้มือถือ ให้ติดต่อ นานๆจะเจอกันสักครั้ง ในรอบ 3-4 ปี ผมไปหา อยู่ 2 ครั้งได้
น้องมาหาผม อยู่สัก 10 ครั้งได้ เคยนอนค้างด้วยกัน อยู่ ครั้งเดียว แต่ไม่มีเพศสัมพันธ์ ใดๆ
แค่กอด กับจูบหน้าผาก น้องเขา เท่านั้น ซึ่งในช่วงเวลานี้ คุยกันบ่อยมาก
แต่ไม่เคยซื้ออะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน เลย
หลังจากนั้น ก็มีเหตุให้ขาดการติดต่อ ทั้ง โทรศัพย์หาย ย้ายที่อยู่ MSN ก็แทบไม่ได้เข้า
ออกจากงาน มาทำงานอิสระลุ่มๆดอนๆ ก็ได้รู้จักกับผู้หญิงอีกคน อายุน้อยกว่าผม 6 ปี
ผมเรียกว่า แฟน ล่ะกัน รู้จักกันเพียงปีกว่า ผมก็มีเพศสัมพันธ์ กันแล้ว ซึ่งเขาก็มักจะโกหกที่บ้าน
เพื่อมาหาผม หรือ มาค้างด้วย ซึ่งตอนหลักก็คบแบบเปิดเผย แต่ก็ไม่ได้บอกที่บ้านแฟน
ว่า เพศสัมพันธ์ กันแล้ว หรอกนะครับ แต่ก็มีมาค้างเสาร์-อาทิตย์ ถึงไม่ได้บอก
ที่บ้านแฟนก็คงทราบว่ามีอะไรกันแล้วอยู่ดี แม่แฟนก็ค่อยแต่ถาม แฟนผม ว่า ผมมันจะเอายังไง
เพราะเลี้ยงลูกมากไม่เคยไปนอนค้างอ้างแรมกับหนุ่มที่ไหน ก็แม่หัวโบราญนั้นแหล่ะครับ
แต่ผมว่าก็เป็นสิ่งที่ดี แล้ว แฟนผมก็เครียดบอกแม่กดดัน ก็เลยบอก จะแต่งงาน ไหมล่ะ
แต่งก็แต่ง ก็คือ รู้จักกันได้ 2 ปีกว่า ก็แต่งงานกัน ก็ไปยืมเงินป้า ไปแต่งงาน นั้นแหล่ะ
แต่ก็ยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน เสาร์-อาทิตย์ แฟนก็จะมาหา หรือ ผมเองก็จะไปหาบ้าง หรือ ไม่ก็ไปรับมาบ้าง
ชีวิตลุ่มๆดอนๆก็เริ่มดีขึ้นแล้ว
แต่งงานไม่ถึงปี มีวันหนึ่ง เข้า MSN น้อง ก็ออนไลน์เข้ามาพอดี ก็ได้คุยกัน แล้วก็ให้เบอร์ใหม่ไป
ขอเบอร์น้องกลับมาด้วย ชีวิตกลับไปวังวน เดิม กับคนเดิม คุยเหมือนเดิม
แต่ก่อนผมจีบน้องเขาไม่ได้ใช้คำหวานอะไร ก็คุยไปเรื่องเหมือนพี่ชายที่แสนดี
ผมไปหาอยู่ 1 ครั้ง คุยกัน กินข้าว แยกย้ายไม่มีเกินเลย น้องมาหาอยู่ ครั้งหรือ2ครั้ง ไม่แน่ใจ
แต่ไม่ได้เข้ามาบ้าน คุยกัน ดูหนัง กินข้าว แยกย้าย ไม่มีเกินเลยเช่นเดียวกัน
แต่สุดท้ายผมก็ไม่สามารถทนตัวเองได้ จึงได้บอกน้องเขาว่าผมแต่งงานแล้ว
ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิด ที่บอกทางโทรศัพย์ ซึ่งน้องเขาเงียบ
ถามคำตอบคำ น้องโกรธพี่ไหม? ตอบ ไม่
น้องเสียใจไหม? ตอบ บอกไม่ถูก และน้องก็บอกแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวค่อยคุย
แล้วก็วางสายไป โทร กลับไปก็ไม่รับ เป็นความเสียใจมาก ของผม
ผมก็โทร ทุกวัน วันละ 2-3 ครั้ง อยู่สัก 5-6 วัน น้องก็รับสาย
แต่ก็คุยกัน อย่างเย็นชา แต่สุดท้ายแล้วผมก็ยังคุยเหมือนเดิม
รูปแบบเดิมๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นความคิดที่ตื้นเขินมาก
ไม่ถึงปีต่อมา แฟนผมก็เริ่มท้อง แต่ยังไม่ได้มาอยู่ด้วยกัน
ผมก็ยังติดต่อน้องเขา อยู่ ด้วยการโทรศัพย์มือถือ
น้องเขา ก็มาเจอกับผมบ้าง เมื่อน้องเขามาอบรมใกล้ๆ
เจอกันช่วงเวลาครั้งละสั้นๆ ก็มีกอดกัน หอมแก้ม กันในรถเท่านั้น
น้องเขาก็ไม่ได้พูดอะไร มาก ผมก็ยังคงไม่รู้ตัว ว่า กำลังทำร้าย คน 2 คนอยู่
ก็ใช้ชีวิตเรื่อยๆ ไม่ชัดเจนต่อไป
พอ แฟน ผมท้องแก่ ใกล้คลอดก็มา อยู่ด้วยกัน วางแผนว่าพอคลอดแล้ว
จะมาอยู่ด้วยกันช่วงลาคลอด 3 เดือน ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้คุยกับน้องเขาแล้ว
จนแฟนคลอดลูกชาย แม่แฟนก็กล่อมให้กลับไปอยู่กับแม่แฟน จนได้
ผมเริ่มอิสระอีกครั้ง ก็คุยกับน้อง บ้างแต่ไม่บ่อยเหมือนเดิม ช่วงนี้ ก็มีไปหาแฟน
ไปดูลูก ที่บ้านแม่แฟน บ้าง มีน้อง มาหาอยู่ 1 ครั้ง ก็รูปแบบเดิม
แล้วก็เริ่มติดต่อกับน้องเขาน้อยลง นานๆคุยกันที
ช่วงนี้น้องเขา ก็เริ่มมีคบชายคนอื่น ซึ่งเป็นการเลือกคนที่ผิดพลาด ง่ายๆเป็นนิสัยไม่ดี
(ตอนหลังผมถามว่าเป็นเพราะพี่ หรือเปล่า เขาก็ตอบว่าไม่)
ผมคิดว่าผมมีส่วนอย่างมากที่ทำให้น้องเขาตัดสินใจ ได้ไม่ดี
ในช่วง 3 ปีล่าสุด แฟนผมและลูกชายมาอยู่ด้วยกันแล้ว ย้ายมาทำงานที่บริษัทเดียวกัน
แต่สมัยนี้ มี Line แล้ว ซึ่งสะดวกมากในการคุยกับน้องเขา ก็ยังติดต่อกันตลอด
น้องมาหาผมอยู่ 2-3 ครั้ง ก็คุยกันนิดหน่อยเท่านั้น ก็แยกย้าย
แต่ในช่วง เดือน สองเดือนที่ผ่านมา ผมต้องเดินทางไปทำงาน โดยมีจังหวัด
ที่น้องอยู่ เป็นทางผ่าน ก็จะรออะไรผมก็แวะหาสิครับ
การไปครั้งแรก ผมไปถึงวันอาทิตย์เกือบสองทุ่ม หลังจากไปหาอะไรกินกันตอนค่ำ
น้องเขาก็มาอยู่กับผมที่ห้องในโรงแรม ตั้งแต่ 4 ทุ่ม จนตี 1 ก็คลอเคลีย์กันนิดหน่อย
ไม่มีถอด ไม่มีปลด แค่กอดกันเฉยๆ ชวนค้างด้วยก็ไม่ค้าง เพราะเช้าต้องไปทำงานแต่เช้า
ครั้งที่สอง ผมไปถึงวันศุกร์ ครั้งนี้น้องมาค้างด้วย 2 คืน ครั้งนี้อาจจะยกระดับนิดหน่อย
แต่ก็อย่างมากก็แค่นอนกอดกัน กับสัมผัสกับหน้าอก เท่านั้น จริงๆก็พยามยามจะมากกว่านั้น
แต่น้องไม่ยอมด้วยเหตุผลด้านศีลธรรม ผมก็ไม่ได้บังคับอะไร
ครั้งที่สาม ล่าสุด สัปดาห์ก่อน น้องมาค้างกับผม คืนแรกก็เหมือนครั้งที่แล้ว
แต่คืนที่สอง ซึ่งก่อนหน้านี้ น้องบอกว่ามีอะไรจะบอกแต่ต้องบอกต่อหน้า
ผมจึงถามว่าจะบอกอะไร ในขณะที่นอนกอดน้องเขาอยู่
น้องพลิกตัวเอาผมออกแล้วบอกว่า ตอนนี้น้องมีคบดูใจกันอยู่กับอีกคนนะ
ผมก็อึ้งพูดไม่ออก ความเงียบเข้าปกคลุม น้องถามว่า โกรธน้องไหม
ผมก็บอกไปว่า ไม่โกรธพี่ไม่มีสิทธิอะไรที่จะโกรธน้อง
น้องยังบอกอีกว่า จะให้น้องยึดติดกับพี่คนเดียวพี่จะเห็นแก่ตัวไปไหม
และน้องก็ถามผมว่า พี่ยังจะเหมือนเดิมกับน้องไหม
ซึ่งแน่นอนผมก็ต้องตอบว่า เหมือนเดิม
ผมก็ได้แต่นอนกอดน้องเขา เหมือนคืนที่ผ่านๆมา แต่สมองคิดหลายเรื่อง
ถึงแม้ว่าผมจะเคยบอกน้องเขาไปว่า ถ้าจะมีใครก็บอกนะ อย่ามาติดอยู่กับพี่
แต่พอเวลาเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงๆแล้ว มันหนักหนาสาหัสกับจิตใจมากกว่าที่คิด
ตื่นมาอีกวัน นี่ไม่อยากกินอะไรเลย หดหู่ ห่อเหี่ยว โกรธแต่โกรธตัวเองนะ
ไม่มีความชัดเจนอะไรสักอย่าง ในเวลาที่ผ่านมา
วันนี้เป็นวันที่ผมว่าตระหนักว่า ผมได้ทำร้ายจิตใจน้องเขา มายาวนานถึง 13 ปี
แต่น้องเขาก็ยังบอกอีกว่า สมมุติว่าน้องตกลงปลงใจกับคนนี้พี่จะยังเหมือนเดิมอีกไหม
ถ้าพี่จะเปลี่ยนไปหรือไม่พอใจก็ให้บอกน้อง
วันนี้ผมก็ยังคุยกับน้องเขาอยู่ เป็นผมเองที่สภาพจิตใจไม่ค่อยเหมือนเดิม
กลับกลายเป็นน้องที่ปลอบใจ และบอกให้คิดถึงลูกเอาไว้
ทุกวันนี้ ผมก็ยังคงทำร้ายจิดใจ ใครบ้างคนต่อไป อีกถึงเมื่อไรก็ไม่รู้
ปัญหาแบบนี้ เรื่องคนอื่นนั้นชั่งดูเหมือนง่าย พอกับตัวเองนั้นแสนยาก
ผมไม่อาจจะตัดความสัมพันธ์กับน้องเขาแบบหักดิบได้
ผมไม่อยากทำร้ายจิตใจน้องเขารุนแรง ซึ่งมันทำร้ายจิตใจผมเองด้วย
เหตุการณ์นี้ทำให้ผมรู้ตัวเองว่ารักน้องเขามากกว่าที่คิด
เป็นเรื่องทางใจล้วนๆ ไม่มีเพศสัมพันธ์ หรือ เรื่องทรัพย์เงินทองมาเกี่ยวข้อง
น้องไม่เคยเรียกร้องอะไร จะพาไปกินอะไรก็บอกแพง ให้ไปแต่ถูกๆ
สุดท้ายผมมีคำถาม
1. มีใครที่มี 2 คน โดยไม่มีปัญหาอะไรไหม ยอมรับกับทุกฝ่าย เสมอภาค
ซึ่งเรื่องนี้ผมคิดมาก่อนเหตุการณ์นี้ แต่ใช้ชีวิตไปวันเลยไม่ได้ใส่ใจนัก
2. สถานะการณ์แบบนี้ ทำให้จิตใจหดหู่ ผมจะมีโอกาศเป็นโรคซึมเศร้า ไหมครับ
ปล.ใครจะตำหนิ ยังไงผมก็ไม่ว่าอะไรนะครับ โดยส่วนตัวทราบดีอยู่แล้ว
ถ้าจะต่อว่ากันก็ไม่ว่าอะไรนะครับ แต่อย่ารุนแรงมากนะครับ
ช่วงนี้ยังหดหู่อยู่ ที่ติดสินใจมาโพสครั้งนี้ เพราะทนเก็บไว้ไม่ไหว
ชีวิตที่ซับซ้อน จิตใจที่ฉ้อฉล ความรักที่ทับซ้อน ทำร้ายจิตใจ ใครหลายคน
ดีเป็นบางเรื่อง ไม่ดีซะหลายเรื่อง
จากการใช้ชีวิต ไปเรื่อยๆ ปัจจุบัน สักเริ่มสะดุด
ก่อนจะถึงปัจจุบัน ขอเล่าที่มาที่ไปก่อน
ปัจจุบัน ผมอายุ 41 ปี เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ผมได้รู้จักกับน้องคนหนึ่ง อายุน้อยกว่าผม 6 ปี
ขอเรียกว่า น้อง แล้วกัน ได้รู้จักกัน ผมก็จีบ น้อง โดยมากก็การ โทรศัพย์ หรือ MSN บ้าง
ซึ่งสมัยก่อน ไม่มี Line ค่าโทรศัพย์ ก็แพงกว่าสมัยนี้ ซึ่งน้อง อยู่ไกลจากผม 6-700 กิโลเมตร
โดยมากก็ใช้มือถือ ให้ติดต่อ นานๆจะเจอกันสักครั้ง ในรอบ 3-4 ปี ผมไปหา อยู่ 2 ครั้งได้
น้องมาหาผม อยู่สัก 10 ครั้งได้ เคยนอนค้างด้วยกัน อยู่ ครั้งเดียว แต่ไม่มีเพศสัมพันธ์ ใดๆ
แค่กอด กับจูบหน้าผาก น้องเขา เท่านั้น ซึ่งในช่วงเวลานี้ คุยกันบ่อยมาก
แต่ไม่เคยซื้ออะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน เลย
หลังจากนั้น ก็มีเหตุให้ขาดการติดต่อ ทั้ง โทรศัพย์หาย ย้ายที่อยู่ MSN ก็แทบไม่ได้เข้า
ออกจากงาน มาทำงานอิสระลุ่มๆดอนๆ ก็ได้รู้จักกับผู้หญิงอีกคน อายุน้อยกว่าผม 6 ปี
ผมเรียกว่า แฟน ล่ะกัน รู้จักกันเพียงปีกว่า ผมก็มีเพศสัมพันธ์ กันแล้ว ซึ่งเขาก็มักจะโกหกที่บ้าน
เพื่อมาหาผม หรือ มาค้างด้วย ซึ่งตอนหลักก็คบแบบเปิดเผย แต่ก็ไม่ได้บอกที่บ้านแฟน
ว่า เพศสัมพันธ์ กันแล้ว หรอกนะครับ แต่ก็มีมาค้างเสาร์-อาทิตย์ ถึงไม่ได้บอก
ที่บ้านแฟนก็คงทราบว่ามีอะไรกันแล้วอยู่ดี แม่แฟนก็ค่อยแต่ถาม แฟนผม ว่า ผมมันจะเอายังไง
เพราะเลี้ยงลูกมากไม่เคยไปนอนค้างอ้างแรมกับหนุ่มที่ไหน ก็แม่หัวโบราญนั้นแหล่ะครับ
แต่ผมว่าก็เป็นสิ่งที่ดี แล้ว แฟนผมก็เครียดบอกแม่กดดัน ก็เลยบอก จะแต่งงาน ไหมล่ะ
แต่งก็แต่ง ก็คือ รู้จักกันได้ 2 ปีกว่า ก็แต่งงานกัน ก็ไปยืมเงินป้า ไปแต่งงาน นั้นแหล่ะ
แต่ก็ยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน เสาร์-อาทิตย์ แฟนก็จะมาหา หรือ ผมเองก็จะไปหาบ้าง หรือ ไม่ก็ไปรับมาบ้าง
ชีวิตลุ่มๆดอนๆก็เริ่มดีขึ้นแล้ว
แต่งงานไม่ถึงปี มีวันหนึ่ง เข้า MSN น้อง ก็ออนไลน์เข้ามาพอดี ก็ได้คุยกัน แล้วก็ให้เบอร์ใหม่ไป
ขอเบอร์น้องกลับมาด้วย ชีวิตกลับไปวังวน เดิม กับคนเดิม คุยเหมือนเดิม
แต่ก่อนผมจีบน้องเขาไม่ได้ใช้คำหวานอะไร ก็คุยไปเรื่องเหมือนพี่ชายที่แสนดี
ผมไปหาอยู่ 1 ครั้ง คุยกัน กินข้าว แยกย้ายไม่มีเกินเลย น้องมาหาอยู่ ครั้งหรือ2ครั้ง ไม่แน่ใจ
แต่ไม่ได้เข้ามาบ้าน คุยกัน ดูหนัง กินข้าว แยกย้าย ไม่มีเกินเลยเช่นเดียวกัน
แต่สุดท้ายผมก็ไม่สามารถทนตัวเองได้ จึงได้บอกน้องเขาว่าผมแต่งงานแล้ว
ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิด ที่บอกทางโทรศัพย์ ซึ่งน้องเขาเงียบ
ถามคำตอบคำ น้องโกรธพี่ไหม? ตอบ ไม่
น้องเสียใจไหม? ตอบ บอกไม่ถูก และน้องก็บอกแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวค่อยคุย
แล้วก็วางสายไป โทร กลับไปก็ไม่รับ เป็นความเสียใจมาก ของผม
ผมก็โทร ทุกวัน วันละ 2-3 ครั้ง อยู่สัก 5-6 วัน น้องก็รับสาย
แต่ก็คุยกัน อย่างเย็นชา แต่สุดท้ายแล้วผมก็ยังคุยเหมือนเดิม
รูปแบบเดิมๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นความคิดที่ตื้นเขินมาก
ไม่ถึงปีต่อมา แฟนผมก็เริ่มท้อง แต่ยังไม่ได้มาอยู่ด้วยกัน
ผมก็ยังติดต่อน้องเขา อยู่ ด้วยการโทรศัพย์มือถือ
น้องเขา ก็มาเจอกับผมบ้าง เมื่อน้องเขามาอบรมใกล้ๆ
เจอกันช่วงเวลาครั้งละสั้นๆ ก็มีกอดกัน หอมแก้ม กันในรถเท่านั้น
น้องเขาก็ไม่ได้พูดอะไร มาก ผมก็ยังคงไม่รู้ตัว ว่า กำลังทำร้าย คน 2 คนอยู่
ก็ใช้ชีวิตเรื่อยๆ ไม่ชัดเจนต่อไป
พอ แฟน ผมท้องแก่ ใกล้คลอดก็มา อยู่ด้วยกัน วางแผนว่าพอคลอดแล้ว
จะมาอยู่ด้วยกันช่วงลาคลอด 3 เดือน ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้คุยกับน้องเขาแล้ว
จนแฟนคลอดลูกชาย แม่แฟนก็กล่อมให้กลับไปอยู่กับแม่แฟน จนได้
ผมเริ่มอิสระอีกครั้ง ก็คุยกับน้อง บ้างแต่ไม่บ่อยเหมือนเดิม ช่วงนี้ ก็มีไปหาแฟน
ไปดูลูก ที่บ้านแม่แฟน บ้าง มีน้อง มาหาอยู่ 1 ครั้ง ก็รูปแบบเดิม
แล้วก็เริ่มติดต่อกับน้องเขาน้อยลง นานๆคุยกันที
ช่วงนี้น้องเขา ก็เริ่มมีคบชายคนอื่น ซึ่งเป็นการเลือกคนที่ผิดพลาด ง่ายๆเป็นนิสัยไม่ดี
(ตอนหลังผมถามว่าเป็นเพราะพี่ หรือเปล่า เขาก็ตอบว่าไม่)
ผมคิดว่าผมมีส่วนอย่างมากที่ทำให้น้องเขาตัดสินใจ ได้ไม่ดี
ในช่วง 3 ปีล่าสุด แฟนผมและลูกชายมาอยู่ด้วยกันแล้ว ย้ายมาทำงานที่บริษัทเดียวกัน
แต่สมัยนี้ มี Line แล้ว ซึ่งสะดวกมากในการคุยกับน้องเขา ก็ยังติดต่อกันตลอด
น้องมาหาผมอยู่ 2-3 ครั้ง ก็คุยกันนิดหน่อยเท่านั้น ก็แยกย้าย
แต่ในช่วง เดือน สองเดือนที่ผ่านมา ผมต้องเดินทางไปทำงาน โดยมีจังหวัด
ที่น้องอยู่ เป็นทางผ่าน ก็จะรออะไรผมก็แวะหาสิครับ
การไปครั้งแรก ผมไปถึงวันอาทิตย์เกือบสองทุ่ม หลังจากไปหาอะไรกินกันตอนค่ำ
น้องเขาก็มาอยู่กับผมที่ห้องในโรงแรม ตั้งแต่ 4 ทุ่ม จนตี 1 ก็คลอเคลีย์กันนิดหน่อย
ไม่มีถอด ไม่มีปลด แค่กอดกันเฉยๆ ชวนค้างด้วยก็ไม่ค้าง เพราะเช้าต้องไปทำงานแต่เช้า
ครั้งที่สอง ผมไปถึงวันศุกร์ ครั้งนี้น้องมาค้างด้วย 2 คืน ครั้งนี้อาจจะยกระดับนิดหน่อย
แต่ก็อย่างมากก็แค่นอนกอดกัน กับสัมผัสกับหน้าอก เท่านั้น จริงๆก็พยามยามจะมากกว่านั้น
แต่น้องไม่ยอมด้วยเหตุผลด้านศีลธรรม ผมก็ไม่ได้บังคับอะไร
ครั้งที่สาม ล่าสุด สัปดาห์ก่อน น้องมาค้างกับผม คืนแรกก็เหมือนครั้งที่แล้ว
แต่คืนที่สอง ซึ่งก่อนหน้านี้ น้องบอกว่ามีอะไรจะบอกแต่ต้องบอกต่อหน้า
ผมจึงถามว่าจะบอกอะไร ในขณะที่นอนกอดน้องเขาอยู่
น้องพลิกตัวเอาผมออกแล้วบอกว่า ตอนนี้น้องมีคบดูใจกันอยู่กับอีกคนนะ
ผมก็อึ้งพูดไม่ออก ความเงียบเข้าปกคลุม น้องถามว่า โกรธน้องไหม
ผมก็บอกไปว่า ไม่โกรธพี่ไม่มีสิทธิอะไรที่จะโกรธน้อง
น้องยังบอกอีกว่า จะให้น้องยึดติดกับพี่คนเดียวพี่จะเห็นแก่ตัวไปไหม
และน้องก็ถามผมว่า พี่ยังจะเหมือนเดิมกับน้องไหม
ซึ่งแน่นอนผมก็ต้องตอบว่า เหมือนเดิม
ผมก็ได้แต่นอนกอดน้องเขา เหมือนคืนที่ผ่านๆมา แต่สมองคิดหลายเรื่อง
ถึงแม้ว่าผมจะเคยบอกน้องเขาไปว่า ถ้าจะมีใครก็บอกนะ อย่ามาติดอยู่กับพี่
แต่พอเวลาเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงๆแล้ว มันหนักหนาสาหัสกับจิตใจมากกว่าที่คิด
ตื่นมาอีกวัน นี่ไม่อยากกินอะไรเลย หดหู่ ห่อเหี่ยว โกรธแต่โกรธตัวเองนะ
ไม่มีความชัดเจนอะไรสักอย่าง ในเวลาที่ผ่านมา
วันนี้เป็นวันที่ผมว่าตระหนักว่า ผมได้ทำร้ายจิตใจน้องเขา มายาวนานถึง 13 ปี
แต่น้องเขาก็ยังบอกอีกว่า สมมุติว่าน้องตกลงปลงใจกับคนนี้พี่จะยังเหมือนเดิมอีกไหม
ถ้าพี่จะเปลี่ยนไปหรือไม่พอใจก็ให้บอกน้อง
วันนี้ผมก็ยังคุยกับน้องเขาอยู่ เป็นผมเองที่สภาพจิตใจไม่ค่อยเหมือนเดิม
กลับกลายเป็นน้องที่ปลอบใจ และบอกให้คิดถึงลูกเอาไว้
ทุกวันนี้ ผมก็ยังคงทำร้ายจิดใจ ใครบ้างคนต่อไป อีกถึงเมื่อไรก็ไม่รู้
ปัญหาแบบนี้ เรื่องคนอื่นนั้นชั่งดูเหมือนง่าย พอกับตัวเองนั้นแสนยาก
ผมไม่อาจจะตัดความสัมพันธ์กับน้องเขาแบบหักดิบได้
ผมไม่อยากทำร้ายจิตใจน้องเขารุนแรง ซึ่งมันทำร้ายจิตใจผมเองด้วย
เหตุการณ์นี้ทำให้ผมรู้ตัวเองว่ารักน้องเขามากกว่าที่คิด
เป็นเรื่องทางใจล้วนๆ ไม่มีเพศสัมพันธ์ หรือ เรื่องทรัพย์เงินทองมาเกี่ยวข้อง
น้องไม่เคยเรียกร้องอะไร จะพาไปกินอะไรก็บอกแพง ให้ไปแต่ถูกๆ
สุดท้ายผมมีคำถาม
1. มีใครที่มี 2 คน โดยไม่มีปัญหาอะไรไหม ยอมรับกับทุกฝ่าย เสมอภาค
ซึ่งเรื่องนี้ผมคิดมาก่อนเหตุการณ์นี้ แต่ใช้ชีวิตไปวันเลยไม่ได้ใส่ใจนัก
2. สถานะการณ์แบบนี้ ทำให้จิตใจหดหู่ ผมจะมีโอกาศเป็นโรคซึมเศร้า ไหมครับ
ปล.ใครจะตำหนิ ยังไงผมก็ไม่ว่าอะไรนะครับ โดยส่วนตัวทราบดีอยู่แล้ว
ถ้าจะต่อว่ากันก็ไม่ว่าอะไรนะครับ แต่อย่ารุนแรงมากนะครับ
ช่วงนี้ยังหดหู่อยู่ ที่ติดสินใจมาโพสครั้งนี้ เพราะทนเก็บไว้ไม่ไหว