ในที่สุดจากคำพิพากษาของศาลฎีกา เมื่อวานนี้ ตัดสินให้นาย จตุพร พรหมพันธ์ุ ติดคุกโดยไม่รอลงอาญา
เป็นเวลา 1 ปี โดยกลับคำตัดสินจากศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ที่ยกฟ้องมา
ถ้าจำกันได้ จากกรณี การสลายการชุมนุม และมีการใช้กระสุนจริง จนทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายของประชาชน
จากรัฐบาลนายอภิสิทธิ ซึ่งตอนนั้นก็สร้างความโกรธแค้น ชิงชัง ให้กับญาติผู้ตายและประชาชน และคนฝากฝั่ง นปก
จนเป็นที่มาของวาทะกรรม นายกฟันน้ำนม มือเปื้อนเลือด จากการสั่งใช้กระสุนจริง มาจนบัดนี้
และก็ทำให้ นายอภิสิทธิ ต้องลุกขึ้นมา ต่อสู้ ปกป้องชื่อเสียง โดยอาศัย กฎหมายและ ศาลเป็นตัวตัดสิน
ซึ่งมันก็คือวิธการที่คนส่วนใหญ่ เค้าทำกัน แต่ผลอาจต่างกัน ก็ว่ากันไปตามรายละเอียดและความจริงนั้น และดุลยพินิจของศาล
เมื่อได้อ่านข่าวก็ทำให้ข้าพเจ้า กลับมาย้อนคิด ในกรณี โฟร์ซีซั่น ที่ คุณยิ่งลักษณ์ ฟ้อง สามพิธกร สายล่อฟ้า อันมี นายชวนนท์
นาย ศิริโชค และ นาย เทพไท ข้อหาหมิ่นประมาท เช่นกัน และสุดท้าย คดีไปจบที่ศาลอุทธรณ์ ว่าจำเลยทั้งสามผิดจริง
แต่ให้รอลงอาญา เป็นเวลา 2 ปี ตามข่าวเมื่อปี 58
ที่ว่ามันเหมือน มันก็เหมือนคือ ผู้นำที่เป็นบุคลสาธารณะ มักโจมตีและวิพากษ์ วิจารณ์ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อ การวิพากษ์วิจารณ์
ละเมิดสิทธิกันมากไป และเจตนา การวิพากษ์ ส่อไปในทางใส่ร้าย ป้ายสี ด่าทอ ตามหลักสิทธิ ส่วนบุคคล การฟ้องร้อง
ก็คือการรักษาชื่อเสียง และภาพลักษณ์ของตน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ในความคิด ของข้าพเจ้า ที่ว่าต่างกันคือ ในขณะ ที่นายจตุพร วิพากษ์มาจากเรื่องการเมือง โดยมีเหตุการณ์จริงเป็นมูลเหตุ
และสองศาล ก็เชื่อว่า การตายจาก กระสุนจริง ของประชาชน น่าจะเกิดจากคำสั่ง ของ จนท ฝ่ายรัฐบาล ที่ปฎิบัติงาน จึงทำให้ยกฟ้อง
แต่มาถูกกลับคำตัดสินในชั้นฎีกา ส่วนตัวของข้าพเจ้ามองว่า ในแง่มุม ของการเป็นบุคคลสาธารณะ ย่อมถูกกล่าวหา และสงสัยได้
หากผลกระทบ เกิดกับคนส่วนรวม
แค่คดีโฟรซซั่น สามพิธีกร วิพากษ์ เป็นกรณีเรื่องสวนตัว ที่หลายคนเชื่อว่าส่อเสียดไปในทางเสียหาย และการถูกพิพากษาตามข้อเท็จจริง
ข้าพเจ้าก็เห็นว่า เรื่องการโยงเรื่องส่วนตัว มาใช้ทำลายชื่อทางการเมือง ก็สมควรโดนประนามและ ลงโทษทางอาญา ตามคำสั่งศาล
และในสองกรณีนี้ก็ว่ากันไปตามหลักฐานทั้งพยานบุคคล และวัตถุ ที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
แต่การไม่รอลงอาญา นั่นก็คือความต่าง ในกรณี ที่เอามาเปรียบ กับคดีโฟร์ซีซั่น ทั้งๆที่ข้อหาหมิ่นประมาท ก็น่าจะเป็นบทบัญญัติ
หรือบรรทัดฐาน ใกล้เคียงกันแต่ไฉนวันนี้ กลับ ต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง ของแวดวงการเมืองไทย
ไหนๆกระแส เรื่องขึ้นโรง ขึ้นศาล ก็ต่อเนื่องมาแล้ว และวันนี้ อดีตนายก ยิ่งลักษณ์ ก็ขึ้นศาล ฎีกา ในคดี จำนำข้าว
เห็นหลายฝ่ายกังวล กันเรื่องกองเชียร์ ท่านนายกปูว่า จะเกิดแอพเฟค อะไรขึ้นไหม หากคำตัดสิน ไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง
และก็เห็นท่านนายก ลุงตู่ เอง ก็ออกมาให้ข่าวเรื่องนี้เหมือนกัน นั่นก็แปลว่า ท่านนายกลุงตู่ก็คงไม่สบายใจ และต้องคิดอะไรเผื่อไว้
หากมีอะไรเกิดขึ้น ในแง่ผู้นำ การรักษาความสงบสุข ของประเทศ ย่อมเป็นหน้าที่ของผู้นำที่ดี
ข้าพเจ้าก็ได้แต่มองดูภาพรวม ว่า ภายหน้านี้จะเป็นอย่างไรหนอ ? แม้ไม่อาจคาดเดา คำตัดสิน แต่ก็เชื่อว่า
หากเลือกตั้งเกิดขึ้นตาม โรดแมพ คำตัดสินคดีจำนำข้าว ก็คือตัวแปร ที่จะทำให้เลือกตั้งครั้งนี้จะดุเดือด และเข้มข้น
หรือ เป็นไปตามกลไกลเรื่อยๆ โดยไม่หวือหวา อย่างแน่นอน !!!
หมิ่นประมาท จาก โฟร์ซีซั่น และหันมา มองคดีสั่งฆ่าฯ...ความเหมือนที่แตกต่าง ...
เป็นเวลา 1 ปี โดยกลับคำตัดสินจากศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ที่ยกฟ้องมา
ถ้าจำกันได้ จากกรณี การสลายการชุมนุม และมีการใช้กระสุนจริง จนทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายของประชาชน
จากรัฐบาลนายอภิสิทธิ ซึ่งตอนนั้นก็สร้างความโกรธแค้น ชิงชัง ให้กับญาติผู้ตายและประชาชน และคนฝากฝั่ง นปก
จนเป็นที่มาของวาทะกรรม นายกฟันน้ำนม มือเปื้อนเลือด จากการสั่งใช้กระสุนจริง มาจนบัดนี้
และก็ทำให้ นายอภิสิทธิ ต้องลุกขึ้นมา ต่อสู้ ปกป้องชื่อเสียง โดยอาศัย กฎหมายและ ศาลเป็นตัวตัดสิน
ซึ่งมันก็คือวิธการที่คนส่วนใหญ่ เค้าทำกัน แต่ผลอาจต่างกัน ก็ว่ากันไปตามรายละเอียดและความจริงนั้น และดุลยพินิจของศาล
เมื่อได้อ่านข่าวก็ทำให้ข้าพเจ้า กลับมาย้อนคิด ในกรณี โฟร์ซีซั่น ที่ คุณยิ่งลักษณ์ ฟ้อง สามพิธกร สายล่อฟ้า อันมี นายชวนนท์
นาย ศิริโชค และ นาย เทพไท ข้อหาหมิ่นประมาท เช่นกัน และสุดท้าย คดีไปจบที่ศาลอุทธรณ์ ว่าจำเลยทั้งสามผิดจริง
แต่ให้รอลงอาญา เป็นเวลา 2 ปี ตามข่าวเมื่อปี 58
ที่ว่ามันเหมือน มันก็เหมือนคือ ผู้นำที่เป็นบุคลสาธารณะ มักโจมตีและวิพากษ์ วิจารณ์ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อ การวิพากษ์วิจารณ์
ละเมิดสิทธิกันมากไป และเจตนา การวิพากษ์ ส่อไปในทางใส่ร้าย ป้ายสี ด่าทอ ตามหลักสิทธิ ส่วนบุคคล การฟ้องร้อง
ก็คือการรักษาชื่อเสียง และภาพลักษณ์ของตน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ในความคิด ของข้าพเจ้า ที่ว่าต่างกันคือ ในขณะ ที่นายจตุพร วิพากษ์มาจากเรื่องการเมือง โดยมีเหตุการณ์จริงเป็นมูลเหตุ
และสองศาล ก็เชื่อว่า การตายจาก กระสุนจริง ของประชาชน น่าจะเกิดจากคำสั่ง ของ จนท ฝ่ายรัฐบาล ที่ปฎิบัติงาน จึงทำให้ยกฟ้อง
แต่มาถูกกลับคำตัดสินในชั้นฎีกา ส่วนตัวของข้าพเจ้ามองว่า ในแง่มุม ของการเป็นบุคคลสาธารณะ ย่อมถูกกล่าวหา และสงสัยได้
หากผลกระทบ เกิดกับคนส่วนรวม
แค่คดีโฟรซซั่น สามพิธีกร วิพากษ์ เป็นกรณีเรื่องสวนตัว ที่หลายคนเชื่อว่าส่อเสียดไปในทางเสียหาย และการถูกพิพากษาตามข้อเท็จจริง
ข้าพเจ้าก็เห็นว่า เรื่องการโยงเรื่องส่วนตัว มาใช้ทำลายชื่อทางการเมือง ก็สมควรโดนประนามและ ลงโทษทางอาญา ตามคำสั่งศาล
และในสองกรณีนี้ก็ว่ากันไปตามหลักฐานทั้งพยานบุคคล และวัตถุ ที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
แต่การไม่รอลงอาญา นั่นก็คือความต่าง ในกรณี ที่เอามาเปรียบ กับคดีโฟร์ซีซั่น ทั้งๆที่ข้อหาหมิ่นประมาท ก็น่าจะเป็นบทบัญญัติ
หรือบรรทัดฐาน ใกล้เคียงกันแต่ไฉนวันนี้ กลับ ต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง ของแวดวงการเมืองไทย
ไหนๆกระแส เรื่องขึ้นโรง ขึ้นศาล ก็ต่อเนื่องมาแล้ว และวันนี้ อดีตนายก ยิ่งลักษณ์ ก็ขึ้นศาล ฎีกา ในคดี จำนำข้าว
เห็นหลายฝ่ายกังวล กันเรื่องกองเชียร์ ท่านนายกปูว่า จะเกิดแอพเฟค อะไรขึ้นไหม หากคำตัดสิน ไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง
และก็เห็นท่านนายก ลุงตู่ เอง ก็ออกมาให้ข่าวเรื่องนี้เหมือนกัน นั่นก็แปลว่า ท่านนายกลุงตู่ก็คงไม่สบายใจ และต้องคิดอะไรเผื่อไว้
หากมีอะไรเกิดขึ้น ในแง่ผู้นำ การรักษาความสงบสุข ของประเทศ ย่อมเป็นหน้าที่ของผู้นำที่ดี
ข้าพเจ้าก็ได้แต่มองดูภาพรวม ว่า ภายหน้านี้จะเป็นอย่างไรหนอ ? แม้ไม่อาจคาดเดา คำตัดสิน แต่ก็เชื่อว่า
หากเลือกตั้งเกิดขึ้นตาม โรดแมพ คำตัดสินคดีจำนำข้าว ก็คือตัวแปร ที่จะทำให้เลือกตั้งครั้งนี้จะดุเดือด และเข้มข้น
หรือ เป็นไปตามกลไกลเรื่อยๆ โดยไม่หวือหวา อย่างแน่นอน !!!