สอบยังไงให้ได้เต็ม! รวมแกรมมาร์ที่เจอบ่อยในข้อสอบ (TOEIC, GAT, CU-TEP etc.) (Part 3)

How's life?!

วันนี้มาต่อกับ Part 3 ในเรื่องแกรมมาร์ที่เรามักจะเจอให้ข้อสอบ Gat, CU-TEP, Toeic, Toefl และอื่น ๆ อีกมากมาย
ก็สำหรับคนที่ติดตามมาตั้งแต่ 2 พาร์ทก่อนหน้า คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากแล้ว
สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่าน แนะนำให้ไปอ่านพาร์ทก่อนหน้าก็ได้นะครับ แต่จริง ๆ อ่านอันไหนก่อนก็ได้
เพราะผมเองก็ไม่ได้เรียงอะไรทั้งสิ้น คิดไปเขียนไป 5555
ส่วนคนที่อ่านแล้ว ก็ลองแวะไปทวนคร่าว ๆ ก่อนขึ้นพาร์ท 3 นี่ก่อนก็ได้นะ
Part 1: https://pantip.com/topic/36603080
Part 2: https://pantip.com/topic/36616643

มาต่อกับ Part 3 เลย!

1. Accused of หรือ for / arrested of หรือ for
ข้อสอบจะมาแนว She’s been accused ____ murdering her husband. แล้วให้เราเลือกระหว่าง of หรือ for หรือ about อะไรพวกนี้

ที่ถูกต้องคือ accused of (ถูกกล่าวหาในเรื่อง / ถูกกล่าวว่าทำความผิดดังกล่าว)
เราสามารถใช้ verb ตัวนี้ทั้งในแบบ active (ประธานเป็นคนกล่าวหา) และ passive (ประธานเป็นผู้ถูกกล่าวหา)
ที่สำคัญต้องตามด้วย v-ing (หรือที่เราเรียกว่า gerund) ด้วย
เช่น
She is accused of stealing the picture. (เธอถูกกล่าวหาว่าขโมยรูป)
The man is accusing her of stealing the picture. (ชายคนนั้นกล่าวหาว่าเธอเป็นคนขโมยรูป)

แต่ arrested (จับ หรือถูกจับ) เราต้องใช้กับ for เช่น
She was arrested for stealing the picture. (เธอถูกจับเพราะขโมยรูป)
The police arrested her for stealing the picture. (ตำรวจจับเธอข้อหาขโมยรูป)

2. It’s หรือ There’s
เราพูดว่า It was windy yesterday.
แต่เราบอกว่า There was a strong wind yesterday.
ใช้ it’s (หรือ it was ถ้าเป็นอดีต) เมื่อคำที่ตามมาเป็น adjective
เมื่อพูดถึงระยะทาง สภาพอากาศ อะไรพวกนี้
เช่น
It’s far from the city.
It’s nice.
It’s very hot out here.

และใช้ there’s (หรือ there are / there was / there were) เมื่อคำที่ตามมาเป็น noun
ซึ่งคำว่า there is หรือ there are เนี่ย ก็จะแปลว่า ‘มี’ แค่นั้นเองครับ ไม่เกี่ยวกับคำว่า ที่นั่น เลย
เช่น
There is a strong wind today. มีลมแรงวันนี้
There are many clouds in the sky. I think it’s going to rain. มีเมฆหนามากบนท้องฟ้า ฉันว่าฝนต้องตกแน่เลย

3. If only I was/were ….
เราเรียนกันมาว่า verb to be ในรูปอดีตของ I คือ was (เพราะ I เป็นเอกพจน์)
แต่ในประโยคสมมุติ (If clause แบบที่ 2: If + s + v2 + o, s + would + v1 + o)
แม้ประธานจะเป็น I (หรือใครก็ตาม) ให้ใช้ ‘were’ เสมอ

แม้มันจะผิดหลักแกรมมาร์ที่เรียนมา แต่นี่ถือเป็นข้อยกเว้นครับ
ตัวอย่างเช่น
If I were rich, I would help every child in need. (ไม่ใช่ if I was rich)
If he were a little nicer, he would get the job.
If I were you, I would never treat her like that.
If she were me, she would understand the reason I left.

สังเกตว่าทุกประโยคที่ผมยกตัวอย่างมาเป็นการ ‘สมมุติ’ ทั้งนั้นเลย ไม่มีประโยคในที่เป็นความจริง ดังนั้นไม่ว่าประธานจะเป็นใครก็ให้ใช้ were นะครับ
แต่ในภาษาพูด ฝรั่งเขาก็นิยมใช้ was แบบผิด ๆ แกรมมาร์กันนั่นแหละครับ แต่ว่าเวลาเขียนหรือทำข้อสอบก็ให้ใช้ were นะ ต้องถูกหลักแกรมมาร์หน่อย

4. Despite of หรือ Despite / in spite of หรือ in spite
เราใช้แค่ despite และ in spite of เท่านั้นครับ นอกนั้นเป็นตัวหลอกทั้งสิ้น

ที่จริง despite ก็มาจาก in despite of เหมือนกันกับ in spite of นั่นแหละครับ แต่นานเข้าก็ลดรูปเหลือแค่ despite

วิธีจำก็คือ มี in ต้องมี of (เลยได้ in spite of) แต่ไม่มี in ก็ห้ามมี of (เลยมีแค่ despite) ดังนั้นจะไม่มีคำว่า in spite หรือ despite of แน่นอน
สองคำนี้หมายความว่า ‘แม้, แม้ว่า’ และจะตามหลังด้วยคำนาม เวลาแปลเราเลยมักเพิ่มคำว่า ‘จะมี’ เข้าไปด้วย
เช่น
He got the job in spite of his prison record. เขาได้งานแม้จะมีประวัติติดคุก

แต่ถ้าตามด้วย gerund (v-ing ที่ทำหน้าที่เป็นคำนาม) ก็ไม่ต้องมีคำว่า จะมี ก็ได้
John came to work late despite leaving his house early. จอห์นมาสายแม้ว่าจะออกจากบ้านเร็ว

ที่สำคัญคือ มี in ต้องมี of (in spite of) แต่ถ้าไม่มี In ก็ห้ามมี of (despite) จะไม่มาแค่อย่างใดอย่างหนึ่งต้องมาคู่
ตัวอย่างเพิ่มเติม
Despite / in spite of being much older than the others, he won the race.
Despite / in spite of the rain, I enjoyed the holiday.
Despite / in spite of their money, they're still not happy.

5. Have something done แต่ have someone do
เราเรียกประโยคแบบนี้ว่า Causative คือการให้ใครสั่งคนทำบางอย่างให้เรา
เช่น
I had my brother do my homework for me. ฉันให้น้องชายทำการบ้านให้
I will have the mechanics come to check this machine tomorrow. เดี๋ยวฉันจะให้ช่างมาเชคเครื่องพรุ่งนี้

แต่บางทีเราก็ไม่ได้บอกว่าให้ใครมาทำ แต่บอกว่าอะไรที่มันถูกทำไป
เช่น
I had my hair cut yesterday. ฉันไปตัดผมมาเมื่อวาน (ไม่ได้บอกว่าใครตัด)
The window is broken. I will have it fixed tomorrow. หน้าตามันพัง ฉันจะให้คนมาซ่อมมันพรุ่งนี้ (แม้ในประโยคภาษาอังกฤษไม่ได้มีคำว่า คน แต่เวลาเราแปลไทยจะเพิ่มไปก็ได้ครับ)

ประโยคสองแบบนี้จำง่าย ๆ เลยคือ ถ้าคำที่ตามหลัง have เป็น คน ให้ใช้ v.1
แต่ถ้าคำที่ตามหลัง have เป็น สิ่งของ เวิร์บที่ตามมาต้องเป็น v.3
เปรียบเทียบง่าย ๆ จากสองประโยคนี้
I will have someone wash my car.
I will have my car washed.
แปลเหมือนกันเลยคือ ฉันจะให้คนมาล้างรถ เพียงแค่โครงสร้างต่างกัน เลยใช้ verb คนละช่องแค่นั้นเองครับ

6. Why, thank you. แปลว่าอะไร มีด้วยเหรอ
อาจจะเป็นประโยคที่ฟังดูงง ๆ นะครับ แต่ประโยคแบบนี้เขาใช้กันจริง ๆ
มันเป็นการแสดงถึงความประหลาดใจเล็กน้อย (mild surprise) ส่วนมากเวลาที่มีคนมาชมเรา

ลองดูบริบทที่ผมยกมา
เราเดิน ๆ อยู่บนถนน ทำหนังสือตก มีคนเดินมาเก็บให้ เราก็ตอบ Thank you ปกติไป เพราะไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ แค่คนใจดี
แต่อีกสถานการณ์เราใส่ชุดนอนเน่า ๆ ของเราไปเซเว่น แล้วก็มีคนมาชมว่าเราแต่งตัวแนวมาก ๆ (You outfit looks terrific!) เราก็อาจจะตอบว่า Why, thank you! ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่า ทำไม ขอบคุณ หรอกนะครับ มันก็แปลว่าขอบคุณเฉย ๆ นี่แหละเพียงแต่ผู้ฟังจะสัมผัสได้ถึงความเซอร์ไพรส์ของเราจากคำว่า Why

ทีนี้เวลาไปเจอก็ไม่ต้องงงกันแล้วนะ

7. Connection to หรือ with
จริง ๆ เขาก็ใช้กันทั้งสองแบบครับ แต่ก็ยังคงเป็นที่เถียงกันอยู่ว่าอันไหนกันแน่ที่เหมาะสมที่สุด

แต่ส่วนมากจะสรุปการใช้ได้ดังนั้น
Connect to จะใช้กับสิ่งที่เชื่อมต่อกันทางกายภาพ (physically joined/connected) จริง ๆ เช่นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
The printer isn’t connected to the computer

แต่ connect with จะใช้กับสิ่งที่มันไม่ได้ติดกันจริง ๆ แต่อาจจะมีความสัมพันธ์ต่อกัน ส่วนมากก็จะใช้กับคน
I feel connected with her.
แต่ยังไงก็ดีจะบอกว่า I feel connected to her ก็ไม่ผิดอะไร แต่ถ้าเอาตัวอย่างข้างบน (the printer) มาใช้แบบ with ก็จะผิดครับ

8. Increasingly popular: Adverb + adjective
ตรงนี้คงต้องอาศัยความเคยชินเข้ามาช่วยหน่อย แต่มีกฎให้จำง่าย ๆ คือเราต้องใช้ adverb ขยาย adjective นะครับ
อย่างในข้อสอบเราอาจจะเจอว่า Martial arts have become _________ popular. แล้วมีให้เลือกระหว่าง increasing กับ increasingly เราก็ต้องรู้ก่อนว่า popular มันคือ adjective ดังนั้นถ้าจะขยายมันก็ต้องใช้ adverb ซึ่ง adverb ส่วนมากก็ลงท้ายด้วย –ly นั่นเองครับ ก็เลยตอบได้ว่า increasingly popular นั่นเอง

ตัวอย่างเพิ่มเติม
Absolutely brilliant (ยอดเยี่ยมสุด ๆ)
Completely mad (บ้าสุด ๆ)
Amazingly fun (สนุกอย่างไม่น่าเชื่อ)
Extremely cold (หนาวสุด ๆ)

สรุปหน้าที่ของ adverb ได้ดังนี้คือ
1. ขยาย verb (เช่น He walked slowly.)
2. ขยาย adjective (The movie was absolutely brilliant.)
3. ขยาย adverb ด้วยกันเอง ส่วนมากจะเป็นคำว่า very, too หรือ quite (I know him very well.)

9. Confident หรือ confidential
สองตัวนี้ก็วนมาให้เจอบ่อย ๆ เหมือนกัน ง่าย ๆ
ทำหน้าเป็น adjective (ขยายคำนาม) ทั้งคู่ แต่แม้หน้าตาคล้ายกันแต่คนละความหมายเลย
Confident แปลว่า มั่นใจ (You must be confident in yourself.)
แต่ Confidential แปลว่า เป็นความลับ (A person's medical records are confidential.)

แถมให้อีกคำ Confidant เป็นคำนาม แปลว่า คนที่เราไว้ใจให้รู้/เก็บความลับ

10. I work hardly หรือ I work hard
จากข้อ 9 เราได้เรียนว่าเราจะ adverb เพื่อขยาย verb ใช่มั้ย
ดังนั้นเราควรพูดว่า I work hardly ใช่มั้ย เพราะคำว่า hard เป็น adjective พอเป็น adverb ก็เติม –ly เข้าไป
แต่ผิด! เพราะมันมี adverb กลุ่มที่ไม่ต้องเติม –ly

พูดง่าย ๆ คือหน้าตาเหมือนกันทั้ง adverb และ adjective
คำพวกนี้ได้แก่ fast, hard, far, late, bright เป็นต้น
He runs very fast. (ไม่ต้อง fastly)
Sorry for coming late. (ไม่ต้อง come lately)
The stars shine so bright. (ต้อง brightly)
แม้เราจะคุ้นเคยว่า adverb ส่วนมากจะลงท้ายด้วย –ly แต่ก็ระวังพวกนี้ไว้ด้วย คนทำข้อสอบเขาชอบเอามาหลอกเราา 5555

จบแล้วคร้าบสำหรับ part 3 พาร์ทนี้อาจจะดูง่าย ๆ หน่อย (หรือปล่าว?)
แต่ยังไงก็ถ้าลืมไปหาอ่านเพิ่มด้วยนะครับ

เจอกัน Part 4 (https://pantip.com/topic/38202652)

ไม่จำเป็นต้องรู้หมดทุกอย่างในวันนี้ รู้มากกว่าเมื่อวานนี้ก็พอ
รู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นทุกวันที่: www.facebook.com/MyFathersAnEnglishMan/ (Page: พ่อผมเป็นคนอังกฤษ)
Stay tuned.
JGC
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่