เรื่องเก่าเล่าใหม่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปลูกได้ไม่พอใช้ แต่ทำไมล้นตลาด?

ปัญหาราคาผลิตผลการเกษตรตกต่ำ เป็นปัญหาเรื้อรังในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน และเกิดขึ้นเป็นวงรอบประจำทุกๆปี ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะสามารถผลิตสินค้าเกษตรออกมาได้ปริมาณมาก แต่สินค้าเกษตรที่เป็นพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าวโพด อ้อย และน้ำตาล รวมถึงปาล์มน้ำมัน กลับประสบปัญหาราคาตกต่ำ มิวายที่ภาครัฐต้องเข้าไปอุดหนุนราคาเป็นประจำทุกปี ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มีการวางแผนการแก้ไขในระยะยาว ภาครัฐเองทำได้เพียงแก้ปัญหาโดยใช้แผนระยะสั้นเท่านั้น


ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปัญหาราคาดิ่งสุดคลาสสิก

            ในบรรดาปัญหาสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ถือเป็นหนึ่งในสินค้าเกษตรที่พบปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรทุกปี ปัจจุบันความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศไทยอยู่ที่ 8.1 ล้านตัน แต่เรามีผลผลิตข้าวโพดออกสู่ตลาดแค่เพียง 4.57 ล้านตัน ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยว่า ในเมื่ออุปสงค์ของตลาดมีมากและอุปทานมีน้อย เหตุใดราคาข้าวโพดจึงตกต่ำลง

            ที่ผ่านมาภาครัฐ มีแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยนำเข้าวัตถุดิบอื่น ทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมีมาตราการให้สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยรับซื้อจากเกษตรกรไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 8.00 บาท ที่ความชื้น 14.5% (ราคา ณ กรุงเทพฯและปริมณฑล) และเพิ่มช่องทางพิเศษให้สถาบันเกษตรกรนำผลผลิตมาจำหน่ายได้โดยตรง  รวมทั้งพยายามแก้ไขปัญหาปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ แต่ดูเหมือนการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนั้นยังบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรได้ไม่ทั่วถึง


นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยแนะปรับโครงสร้างการผลิตใหม่          

            นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล ให้ข้อคิดเห็นถึงตรรกะโครงสร้างการปลูกข้าวโพดของประเทศไทยที่ไม่สมดุลกับการผลิตอาหารสัตว์ไว้อย่างน่าสนใจ
            
       "อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ต้องการใช้ข้าวโพดในปริมาณที่สม่ำเสมอ เท่ากันทุกเดือน ส่วนการปลุฏข้าวโพดบ้านเรา มีผลผลิตออกมา 3 ฤดูกาล ให้ผลผลิตแบบกระจุกตัว ฤดูแรกเก็บเกี่ยวในช่วง สค.-พย. มีผลผลิตออมาสูงถึง 70% ของปริมาณผลผลิตทั้งปี  ฤดูที่สอง เก็บเกี่ยว ธ.ค.-ก.พ. ผลผลิตออกมา 25%...ฤดูที่สาม ข้าวโพดหลังนา เก็บเกี่ยว ม.ค.-พ.ค. มีผลผลิต 5%  จะเห็นว่าฤดูแรกมีปัญหามากที่สุด แค่ 4 เดือนมีข้าวโพดเข้าสู่ตลาด 70% ในขณะที่โรงอาหารสัตว์มีศักยภาพ รับข้าวโพดได้แค่เดือนละ 8-9% ตลอด 4 เดือนต้องการใช้ข้าวโพดแค่ครึ่งเดียวที่เหลือเลยล้นตลาด"

             ถ้าในภาวะปกติ ปัญหามีไม่มาก เพราะจะมีพ่อค้าพืชไร่ ผู้รวบรวมผลผลผลิตมาช่วยดูดซับ ซื้อข้าวโพดล้นตลาด ส่วนนี้ไปอบแห้ง ปรับปรุงคุณภาพ เก็บตุนไว้รอขายใน่วงข้าวโพดขาดตลาด แต่ด้วยนโยบายรัฐต้องการช่วยเกษตร ขอความร่วมือให้โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อข้าวโพด  ในราคาควบคุม กก.ละ 8 บาท พ่อค้าพืชไร่ที่เคยดูดซับไปกักตุน ไม่รู้จะซื้อไปทำไม ในเมื่อตุนไว้ก็ขายได้แค่ 8 บาท.แรงจูงใจไม่มี เลยส่งผลให้ข้าวโพดฤดูกาลแรกมีปัญหาล้นตลาดมากขึ้นไปอีก

             แค่นั้นไม่พอ ข้าวโพดฤดูแรกเก็บเกี่ยว ส.ค.-พ.ย. เป็นช่วงฤดูฝนจะมีความชื้นสูง 30-40% ในขณะที่โรงงานต้องการข้าวโพดความชื้น 14% ถ้าเป็นเมื่อก่อน ถ้าเป็นเมื่อก่อน เกษตรกรจะใช้วิธีเดินหักฝักใส่กระสอบ นำกลับไปแขวนผึ่งลมให้แห้งในยุ้งฉาง แล้วกะเทาะเมล็ดด้วยเครื่องสีขนาดเล็ก ก่อนจะนำไปขาย แต่ทุกวันนี้แรงงานหายาก มีการนำรถเกี่ยวข้าวดัดแปลงมาเก็บเกี่ยวข้าวโพด สีออกมาเป็นเมล็ดได้ในขั้นตอนเดียว"


               นายพรศิลป์ กล่าวว่านี่คือปัญหาใหญ่ เพราะข้าวโพดความชื้นสูง เมล็ดไม่แกร่ง สีด้วยรถเกี่ยวข้าวเมล็ดจะแตกมากถึง 20-30% โรงงานซื้อมาเก็บภายใน 2-3 วัน ข้าวโพดจะขึ้นรา และอีกไม่กี่วันถัดมาเชื้อราจะปลดปล่อยสารพิษสารก่อมะเร็ง “อะฟลาทอกซิน”กรมปศุสัตว์ห้ามนำไปทำเป็นอาหารสัตว์เด็ดขาด เพราะสัตว์กินไปแล้วป่วยตายได้

เสนอทางเลือกเกษตรกรหันมาปลูกข้าวโพดหลังนาในสัดส่วนที่มากขึ้น

               ดังนั้นข้าวโพดส่วนนี้ไม่มีใครต้องการ...ขายไม่ได้ เลยล้นตลาด ถ้าจะแก้ปัญหาให้จบเด็ดขาด ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตใหม่ ให้เกษตรกรที่เก็บเกี่ยวข้าวโพดในช่วงฤดูฝนหันมาปลูกข้าวโพดหลังนา ในสัดส่วนที่มากขึ้น นอกจากจะสอดคล้องกับความต้องการใช้แล้ว ยังแก้ปัญหาปนเปื้อนอะฟลาทอกซินได้ด้วย  เพราะเก็บเกี่ยวหน้าร้อน เมล็ดแกร่ง รถเก็บเกี่ยวสีเป็นเมล็ดแล้วไม่แตก

ระงับการนำเข้าข้าวสาลี เพื่อพยุงราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทำได้หรือ?

               นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าภายใน ชี้แจงว่ากรณีที่มีการเรียกร้องให้กระทรวงพาณิชย์ระงับการนำเข้าข้าวสาลีนั้น ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะจะผิดข้อผูกพันที่ไทยทำไว้กับองค์การการค้าโลก (WTO) ที่กำหนดให้สมาชิกต้องเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามที่ได้ผูกพัน รวมถึงข้าวสาลี ไม่งั้นจะถูกแบนทั้งประเทศ ซึ่งทางภาครัฐ มีข้อกำหนดไว้อยู่แล้วว่าห้ามนำเข้าข้าวสาลีตั้งแต่เดือนกันยายน ถึงเดือนมกราคม อยู่แล้วเพื่อสอดรับกับผลผลิตข้าวโพดที่จะออกมาสู่ตลาด

                ทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้อคิดเห็นจากผู้ที่คลุกคลีอยู่ในห่วงโซ่อุปทานข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของบ้านเรา ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาราคาข้าวโพดตกต่ำแบบยั่งยืน จะต้องอาศัยความร่วมมือ และการวางแผนทั้งห่วงโซ่อุปทานไม่ว่าจะเป็นกระทรวงเกษตรฯ พ่อค้าคนกลาง หัวสี โรงงานอาหารสัตว์ และตัวเกษตรเอง จึงจะเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาว เพื่อให้เกษตรกรสามารถขายผลผลิตได้ในราคาที่เป็นธรรม.

เรียบเรียงข้อมูลจาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่