ก่อนอื่นเลย ขอเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นเลยนะคะ..
เราได้รับการติดต่อจากบริษัทแห่งหนึ่ง จริงๆแล้วก็ไม่ใช่บริษัทใหญ่โตอะไรนัก
ชั้นล่างเป็นร้านผ้า แต่ชั้นบนจะเป็นเหมือนออฟฟิศเล็กๆ มีกองเอกสารเต็มไปหมด
ทางเจ้าของร้านโทรมาติดต่อให้เราเข้าไปสัมภาษณ์งานในตำแหน่งพนักงาน Part Time (เนื่องจากเราเคยสมัครไปทางเว็บหางานแล้ว)
วันต่อมา เราก็เข้าที่ไปร้านเขาค่ะ กรอกเอกสารต่างๆเรียบร้อย และสัมภาษณ์กันไม่นานเท่าไหร่
แล้วก็ตกลงกันเรื่องเงินค่าจ้าง โดยเขาจะจ้างเราอยู่ที่วันละ xxx บาทนะ
เราก็โอเค แล้วเขาก็ตกลงรับเราเข้าทำงานเลย
วันรุ่งขึ้นเราก็มาเริ่มงานกับเขาค่ะ
เขาก็สอนงานดีนะคะ รวมๆก็คือเหมือนให้เราทำหน้าที่ดูแลร้าน แคชเชียร์ อะไรพวกนี้ค่ะ
วันแรกก็ยังตะกุกตะกักบ้าง แต่เราก็เรียนรู้และเชื่อฟังเขาทุกอย่าง
วันที่สองของการทำงานก็เริ่มต้นด้วยดีค่ะ ไม่มีปัญหาอะไร
เรายังคิดในใจเลยว่าเราเริ่มชอบที่นี่แล้ว
แต่พอช่วงบ่าย ก็มีปัญหาบ้าง เราทำงานพลาด เขาก็ตำหนิ ซึ่งเราก็ไม่ได้เถียงนะคะ คือยอมรับผิดจริงๆ
พอหมดวันนั้น เราเริ่มทบทวนตัวเองอีกที
ก็เริ่มรู้สึกอึดอัด เราเริ่มรู้สึกเหมือนว่าเราไปสร้างปัญหาให้เขา
และรู้สึกเกร็งด้วยค่ะ คือทุกเย็นก่อนที่เราจะกลับ เขาจะบอกเสมอว่า
เขาจะทิ้งงานไว้ให้ทำในตอนเช้าช่วงที่รอเขาเข้าร้าน
แต่ทุกๆเช้าที่เรามาถึง ก็ไม่มีงานอะไรให้ทำเลย
เราก็ต้องนั่งๆเดินๆรอเขาเข้ามาสั่งงาน บอกตรงๆค่ะว่าเราอึดอัดนะ ไม่ได้ชอบเลยที่ได้อยู่เฉยๆ
พอเข้าวันที่สาม(วันเกิดเรื่อง)
เราก็มาทำงานตามปกติค่ะ เหมือนเช่นเคยคือนั่งๆเดินๆรอเขาเข้าร้าน
พอเขามาถึง เราก็ยกมือไหว้เขาเหมือนทุกวัน แต่วันนี้แปลกตรงที่เขาทำหน้าบึ้งตึงใส่
เราก็พยายามไม่คิดอะไรค่ะ
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง เขาก็ไม่ยอมบอกเราสักทีว่าเราต้องทำอะไร
เราก็เกร็งไปหมด แต่ก็ทำไรไม่ได้
ทีนี้เขาก็เริ่มพูดกับเพื่อนเขาค่ะ (เพื่อนคนนี้จะเข้ามาที่ร้านทุกวันหลังจากเขาแค่ 1-2 ชั่วโมง)
เขาพูดประมาณว่า ไม่อยากจะทนเลย, สั่งอย่างได้อย่าง
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เรารู้สึกว่าเขาหมายถึงเรานะคะ
แต่เราก็พยายามใจเย็น ไม่คิดอะไรมากเกินไป
จนมาถึงตอนเกิดเรื่องค่ะ
คือเขาหาสินค้าไม่เจอ แล้วเขาก็ถามเราว่าเราเห็นสินค้าชิ้นนั้นบ้างไหม
เราก็ตอบไปตามความจริงว่าไม่เห็น
ทีนี้เขาก็ให้เรานึกถึงลูกค้าที่เข้ามาซื้อของที่ร้านเมื่อวาน
ให้นึกว่าเราใส่ของเกินจำนวนให้ลูกค้าคนนั้นหรือเปล่า
เราเองก็ไม่แน่ใจ ก็เลยตอบไปว่า 'ก็ใส่ไปตามจำนวนที่เขาจัดไว้'
เขาก็กระวนกระวายหนักมากกกก จนในที่สุดเขาก็ตัดสินโทรไปหาลูกค้าคนนั้น
ผลปรากฏว่าเราใส่ของเกินจำนวนจริงๆ
วินาทีนั้นเราก็รู้สึกผิดแล้วค่ะ
แต่เราก็มั่นใจมากว่าเราใส่ไปตามจำนวนที่เขาจัดไว้ให้
เพราะเขาสอนเราตั้งแต่วันแรกว่า 'อย่าทำอะไรเกินคำสั่ง'
เราก็ไม่กล้าขัดขืนสิคะ เชื่อฟังเขาจริงๆ
พอเขาวางสายปุ๊บ เราก็ลุ้นจนใจสั่นว่าเขาจะตำหนิเราว่าอะไร(คือเราพร้อมรับคำตำหนิอยู่แล้ว)
เขาหันมาทางเรา แต่ไม่มองหน้าเรานะ แล้วพูดว่า
'เก็บของกลับบ้านไปได้เลย แล้วทิ้งเลขบัญชีไว้ จะโอนเงินตามไป แล้วก็ไม่ต้องมาอีกแล้ว ทำเป็นรู้ดีไปหมด อวดเก่ง'
เราจำได้ทุกคำพูด จำได้ขึ้นใจจริงๆค่ะ
วินาทีนั้นเรามือสั่นค่ะ คือมันทั้งงงและอาย
แต่เราก็ทำตามที่เขาบอกนะ
เราก็หยิบกระดาษและปากกา กำลังจะเขียนหมายเลขบัญชีให้เขา
เขาก็โพล่งออกมาอีกว่า 'ช้ามากเลย ส่งมาให้ทางไลน์แล้วกัน'
เราก็รีบออกจากร้านเขาเลยค่ะ คืออยู่ไม่ได้แล้ว
ทั้งเพื่อนเขาและแฟนเขาก็มองเรา
ช่วงเวลาที่เรานั่งรถกลับบ้าน เราก็พยายามทบทวนถึงความผิดพลาดของตัวเองนะ
คือเรารู้ว่าเรามีส่วนกับความผิดพลาดนั้น
แต่เขาน่าจะคิดให้เยอะหน่อย ว่าเราใช่คนทำพลาดหรือเปล่า
คืออยากจะร้องไห้นะคะ แต่ก็ไม่ได้เศร้าขนาดนั้น
มันแค่ทั้งมึนทั้งโกรธทั้งไม่เข้าใจ ปนกันไปหมด
ต่อไปเป็นเรื่องเงินค่ะ
ช่วงแรกเราปรึกษากับแม่ว่าควรรับเงินเขาไหม
แม่เราค่อนข้างอีโก้ค่ะ นางยืนกรานคำเดียวว่าอย่าไปรับ ถ้าเขาไม่เห็นใจเราขนาดนั้น
แต่เราก็ไม่เชื่อแม่ค่ะ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เราก็ตัดสินใจส่งหมายเลขบัญชีไปให้เขา
เพราะพอเรามาคิดๆดู เราก็เสียเวลานะ ค่าเดินทาง ค่ากิน ก็น่าจะได้ค่าตอบแทนสิ
เขาก็ตอบกลับมาทางไลน์แหละค่ะว่าเงินออกตามระบบนะ นั่นคือวันสิ้นเดือน
เราก็รอค่ะ จนป่านนี้เงินก็ยังไม่เข้ามาในบัญชีสักบาทเดียว
เราก็ไม่กล้าทวงบ่อย เพราะเงินก็ไม่ได้เยอะมาก กลัวเขาจะมองว่าหิวเงิน
แต่ในเมื่อเขาพูดออกมาแล้วว่าจะให้ เขาก็ควรทำตามคำพูด
เราเลยเล่าให้เพื่อนและรุ่นพี่บางคนฟัง
เกือบทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า 'เขามีสิทธิ์ที่จะไม่ให้เราแม้แต่บาทเดียว'
เราเลยเกิดความสงสัยค่ะ
ว่าตกลงแล้ว เราควรได้รับเงินค่าจ้างนั้นไหม?
โดนไล่ออกจากงาน ทวงเงินค่าจ้างได้ไหม
เราได้รับการติดต่อจากบริษัทแห่งหนึ่ง จริงๆแล้วก็ไม่ใช่บริษัทใหญ่โตอะไรนัก
ชั้นล่างเป็นร้านผ้า แต่ชั้นบนจะเป็นเหมือนออฟฟิศเล็กๆ มีกองเอกสารเต็มไปหมด
ทางเจ้าของร้านโทรมาติดต่อให้เราเข้าไปสัมภาษณ์งานในตำแหน่งพนักงาน Part Time (เนื่องจากเราเคยสมัครไปทางเว็บหางานแล้ว)
วันต่อมา เราก็เข้าที่ไปร้านเขาค่ะ กรอกเอกสารต่างๆเรียบร้อย และสัมภาษณ์กันไม่นานเท่าไหร่
แล้วก็ตกลงกันเรื่องเงินค่าจ้าง โดยเขาจะจ้างเราอยู่ที่วันละ xxx บาทนะ
เราก็โอเค แล้วเขาก็ตกลงรับเราเข้าทำงานเลย
วันรุ่งขึ้นเราก็มาเริ่มงานกับเขาค่ะ
เขาก็สอนงานดีนะคะ รวมๆก็คือเหมือนให้เราทำหน้าที่ดูแลร้าน แคชเชียร์ อะไรพวกนี้ค่ะ
วันแรกก็ยังตะกุกตะกักบ้าง แต่เราก็เรียนรู้และเชื่อฟังเขาทุกอย่าง
วันที่สองของการทำงานก็เริ่มต้นด้วยดีค่ะ ไม่มีปัญหาอะไร
เรายังคิดในใจเลยว่าเราเริ่มชอบที่นี่แล้ว
แต่พอช่วงบ่าย ก็มีปัญหาบ้าง เราทำงานพลาด เขาก็ตำหนิ ซึ่งเราก็ไม่ได้เถียงนะคะ คือยอมรับผิดจริงๆ
พอหมดวันนั้น เราเริ่มทบทวนตัวเองอีกที
ก็เริ่มรู้สึกอึดอัด เราเริ่มรู้สึกเหมือนว่าเราไปสร้างปัญหาให้เขา
และรู้สึกเกร็งด้วยค่ะ คือทุกเย็นก่อนที่เราจะกลับ เขาจะบอกเสมอว่า
เขาจะทิ้งงานไว้ให้ทำในตอนเช้าช่วงที่รอเขาเข้าร้าน
แต่ทุกๆเช้าที่เรามาถึง ก็ไม่มีงานอะไรให้ทำเลย
เราก็ต้องนั่งๆเดินๆรอเขาเข้ามาสั่งงาน บอกตรงๆค่ะว่าเราอึดอัดนะ ไม่ได้ชอบเลยที่ได้อยู่เฉยๆ
พอเข้าวันที่สาม(วันเกิดเรื่อง)
เราก็มาทำงานตามปกติค่ะ เหมือนเช่นเคยคือนั่งๆเดินๆรอเขาเข้าร้าน
พอเขามาถึง เราก็ยกมือไหว้เขาเหมือนทุกวัน แต่วันนี้แปลกตรงที่เขาทำหน้าบึ้งตึงใส่
เราก็พยายามไม่คิดอะไรค่ะ
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง เขาก็ไม่ยอมบอกเราสักทีว่าเราต้องทำอะไร
เราก็เกร็งไปหมด แต่ก็ทำไรไม่ได้
ทีนี้เขาก็เริ่มพูดกับเพื่อนเขาค่ะ (เพื่อนคนนี้จะเข้ามาที่ร้านทุกวันหลังจากเขาแค่ 1-2 ชั่วโมง)
เขาพูดประมาณว่า ไม่อยากจะทนเลย, สั่งอย่างได้อย่าง
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เรารู้สึกว่าเขาหมายถึงเรานะคะ
แต่เราก็พยายามใจเย็น ไม่คิดอะไรมากเกินไป
จนมาถึงตอนเกิดเรื่องค่ะ
คือเขาหาสินค้าไม่เจอ แล้วเขาก็ถามเราว่าเราเห็นสินค้าชิ้นนั้นบ้างไหม
เราก็ตอบไปตามความจริงว่าไม่เห็น
ทีนี้เขาก็ให้เรานึกถึงลูกค้าที่เข้ามาซื้อของที่ร้านเมื่อวาน
ให้นึกว่าเราใส่ของเกินจำนวนให้ลูกค้าคนนั้นหรือเปล่า
เราเองก็ไม่แน่ใจ ก็เลยตอบไปว่า 'ก็ใส่ไปตามจำนวนที่เขาจัดไว้'
เขาก็กระวนกระวายหนักมากกกก จนในที่สุดเขาก็ตัดสินโทรไปหาลูกค้าคนนั้น
ผลปรากฏว่าเราใส่ของเกินจำนวนจริงๆ
วินาทีนั้นเราก็รู้สึกผิดแล้วค่ะ
แต่เราก็มั่นใจมากว่าเราใส่ไปตามจำนวนที่เขาจัดไว้ให้
เพราะเขาสอนเราตั้งแต่วันแรกว่า 'อย่าทำอะไรเกินคำสั่ง'
เราก็ไม่กล้าขัดขืนสิคะ เชื่อฟังเขาจริงๆ
พอเขาวางสายปุ๊บ เราก็ลุ้นจนใจสั่นว่าเขาจะตำหนิเราว่าอะไร(คือเราพร้อมรับคำตำหนิอยู่แล้ว)
เขาหันมาทางเรา แต่ไม่มองหน้าเรานะ แล้วพูดว่า
'เก็บของกลับบ้านไปได้เลย แล้วทิ้งเลขบัญชีไว้ จะโอนเงินตามไป แล้วก็ไม่ต้องมาอีกแล้ว ทำเป็นรู้ดีไปหมด อวดเก่ง'
เราจำได้ทุกคำพูด จำได้ขึ้นใจจริงๆค่ะ
วินาทีนั้นเรามือสั่นค่ะ คือมันทั้งงงและอาย
แต่เราก็ทำตามที่เขาบอกนะ
เราก็หยิบกระดาษและปากกา กำลังจะเขียนหมายเลขบัญชีให้เขา
เขาก็โพล่งออกมาอีกว่า 'ช้ามากเลย ส่งมาให้ทางไลน์แล้วกัน'
เราก็รีบออกจากร้านเขาเลยค่ะ คืออยู่ไม่ได้แล้ว
ทั้งเพื่อนเขาและแฟนเขาก็มองเรา
ช่วงเวลาที่เรานั่งรถกลับบ้าน เราก็พยายามทบทวนถึงความผิดพลาดของตัวเองนะ
คือเรารู้ว่าเรามีส่วนกับความผิดพลาดนั้น
แต่เขาน่าจะคิดให้เยอะหน่อย ว่าเราใช่คนทำพลาดหรือเปล่า
คืออยากจะร้องไห้นะคะ แต่ก็ไม่ได้เศร้าขนาดนั้น
มันแค่ทั้งมึนทั้งโกรธทั้งไม่เข้าใจ ปนกันไปหมด
ต่อไปเป็นเรื่องเงินค่ะ
ช่วงแรกเราปรึกษากับแม่ว่าควรรับเงินเขาไหม
แม่เราค่อนข้างอีโก้ค่ะ นางยืนกรานคำเดียวว่าอย่าไปรับ ถ้าเขาไม่เห็นใจเราขนาดนั้น
แต่เราก็ไม่เชื่อแม่ค่ะ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เราก็ตัดสินใจส่งหมายเลขบัญชีไปให้เขา
เพราะพอเรามาคิดๆดู เราก็เสียเวลานะ ค่าเดินทาง ค่ากิน ก็น่าจะได้ค่าตอบแทนสิ
เขาก็ตอบกลับมาทางไลน์แหละค่ะว่าเงินออกตามระบบนะ นั่นคือวันสิ้นเดือน
เราก็รอค่ะ จนป่านนี้เงินก็ยังไม่เข้ามาในบัญชีสักบาทเดียว
เราก็ไม่กล้าทวงบ่อย เพราะเงินก็ไม่ได้เยอะมาก กลัวเขาจะมองว่าหิวเงิน
แต่ในเมื่อเขาพูดออกมาแล้วว่าจะให้ เขาก็ควรทำตามคำพูด
เราเลยเล่าให้เพื่อนและรุ่นพี่บางคนฟัง
เกือบทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า 'เขามีสิทธิ์ที่จะไม่ให้เราแม้แต่บาทเดียว'
เราเลยเกิดความสงสัยค่ะ
ว่าตกลงแล้ว เราควรได้รับเงินค่าจ้างนั้นไหม?