นิรันดร์ ----(หัดแต่งนิยาย เรื่องสั้น(มาก) จบ)

กระทู้คำถาม
นิรันดร์


       “ก็จบลงไปแล้วนะครับสำหรับการแสดงเปิดงานในครั้งนี้สวยงามกันเลยทีเดียวครับ”
        “ค่ะ ก็ขอขอบคุณนักแสดงทุกท่านในครั้งนี้ด้วยค่ะ ลำดับต่อไปเป็นอะไรค่ะคุณนที”

        พิธีกรในชุดไทยสวยหล่อทั้งคู่ พูดเข้าขากันไม่ติดขัดสมกับเป็นมืออาชีพ บรรยากาศครื้นเครงด้วยเสียงเพลงไทยเดิม อีกด้านหนึ่งริมแม่น้ำแสงเทียนนับร้อยสว่างไสวพร้อมกับกลิ่นธูปลอยตามทิศทางลมเป็นระยะ ๆ กระทงหลายร้อยใบถูกลอยลงสู่แม่น้ำสายใหญ่เพื่อการบูชาและขอขมาพระแม่คงคา แต่ที่น่าเศร้าจุดประสงค์หลักนั้นถูกเลือนรางไปกับค่านิยมสมัยใหม่
        คืนที่พระจันทร์เต็มดวงเช่นนี้ ทำให้มองเห็นบรรยากาศในงานได้พอควร รวมถึงใบหน้าคมเข้มของมานพ ที่นั่งบนม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ห่างจากบริเวณงานไปไม่ไกล ข้าง ๆ ตัวเขามีกระทงใบงามวางอยู่ ในมือถือโทรศัพท์มือถือกำลังพิมพ์คุยกับใครสักคน ในโลกของโซเชี่ยวแบบนี้อะไร ๆ ก็ดูเหมือนจะติดต่อกันได้ง่ายขึ้น แต่แล้วเขาก็ต้องหัวเสียนิดหน่อยเมื่อโทรศัพท์ของเขาดับลงเพราะแบตเตอร์รี่หมด มานพจึงได้แต่นั่งเงียบ ๆ ตามลำพัง มองดูผู้คนที่เดินไปมา สลับกับดูนาฬิกาที่ข้อมือ

        เวลาช่างผ่านไปช้าเหลือเกินสำหรับเขา และแล้วเสียงเพลงก็เงียบลงเป็นสัญญาณบอกว่างานวันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ผู้คนเริ่มทยอยกลับ ใช้เวลาเก็บงานไม่นานมากทุกอย่างก็เงียบสงัด ไฟทุกดวงถูกดับลงเหลือเพียงแสงพระจันทร์ส่องสว่างท่ามกลางหมู่ดารา
“อ้าว!! พ่อหนุ่มมานั่งอะไรคนเดียวอยู่นี่ ไม่กลับบ้านกลับช่องนี้ก็ดึกมากแล้วนะ”
    เสียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดังขึ้น พร้อมกับส่องไฟฉายมายังมานพ เขาไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใดมีเพียงใบหน้ายิ้มเศร้า ๆ ตอบกลับไป เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้หมายจะคาดคั้นเอาคำตอบจากมานพ เพียงแค่บอกให้รีบกลับด้วยความเป็นห่วงตามหน้าที่ หลังจากเจ้าหน้าที่จากไปไม่นาน มานพจึงยกกระทงที่เตรียมไว้ขึ้นมามองแล้วถอนหายใจ มุ่งหน้าไปยังแม่น้ำเพียงลำพัง เขาจุดเทียนและธูป ยกกระทงขึ้นเหนือหัวขอขมาพระแม่คงคาพร้อมอธิฐานด้วยความน้อยใจ

    -ข้าแต่พระแม่คงคาหากคนรักของลูกไม่ได้ตั้งใจผิดนัดลูกในครั้งนี้โปรดดลบันดาลให้เธอผ่านพ้นอุปสรรค แต่ถ้าเขาตั้งใจจะผิดนัดลูกขอให้เขาชัดเจนว่ายังรักลูกหรือไม่ในไม่ช้าด้วยเทอญ-

สิ้นคำอธิฐานลมแรงพัดมาโดยไม่มีสาเหตุ เทียนทั้งหมดดับเหลือเพียงแสงธูปเล็ก ๆ ที่ยังติดอยู่
    “นพ”
    ทันทีที่เทียนดับเสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้น ทำให้มานพหันไปหาเสียงนั้นอย่างรวดเร็ว หญิงสาวในชุดพนักงานออฟฟิศสีอ่อน แสงจันทร์ทำให้มองเห็นรูปร่างสมสัดส่วนและใบหน้าคมเรียวได้อย่างถนัดตา พิมลดาแฟนสาวของเขายืนอยู่ตรงหน้า
    “พิมมาทันไหม”
    “ทันพอดี”
        “พอดีรถเสียกลางทางติดต่อนพก็ไม่ได้”
    พิมลดาเอ่ยอย่างหัวเสียงนิด ๆ ถึงสาเหตุของการมาช้าในครั้งนี้โดยที่มานพยังไม่ทันเอ่ยถาม มานพเข้าใจเธออย่างไม่มีข้อข้องใจ เทียนได้ถูกจุดใหม่อีกครั้งกระทงได้ลอยลงสู่แม่น้ำท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด โดยที่ไม่มีใครเอ่ยคำใด
    
        มานพขับรถไปอีกเส้นทางหนึ่ง ใช้เวลาน้อยกว่าเดิมก็มาถึงแมนชั่นของแฟนสาว หน้าแมนชั่นของพิมลดามีร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่ยังเปิดอยู่ ทุกครั้งที่พิมลดาแวะมาพักที่แมนชั่นจะต้องแวะมากินก๋วยเตี๋ยวร้านคุณลุงทุกครั้ง ซึ่งพิมลดาจะได้เยอะเป็นพิเศษและบ่อยครั้งพิมลดาก็มักจะมีของฝากติดไม้ติดมือมาฝากลุงเช่นกัน หลังจากสั่งก๋วยเตี๋ยวเสร็จมานพก็กลับมานั่งที่โต๊ะรอพิมลดา ไม่นานก๋วยเตี๋ยวที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟ มานพสังเกตเห็นว่าพิมลดานั่งเขี่ยก๋วยเตี๋ยวไปมา เธออ้างว่าไม่ค่อยหิว
        “นี้ครับค่าก๋วยเตี๋ยว”
        “ลุงฝากนี้ไปให้หนูพิมน้อยนะพ่อนพ” ลุงขายก๋วยเตี๋ยวฝากก๋วยเตี๋ยวให้พิมลดา มานพเข้าใจว่าลุงกลัวพิมลดาจะหิว เพราะเอาแต่นั่งเขี่ยก๋วยเตี๋ยวไม่ยอมกิน

    ........................................................................................

         ประตูหลังห้องถูกเปิดออก ผ้าม่านพลิ้วไสวตามแรงลม พิมลดาสวมกอดมานพจากข้างหลังอย่างละมุน ริมฝีปากสัมผัสร่างกายของมานพอย่างทะนุถนอม มานพแปลกใจเล็กน้อยที่พิมลดาทำแบบนี้
    “นพรักพิมไหม”
    “รักสิ”
    “พิมขอโทษนะ”
    “ไม่เป็นไรนพรอได้”
    
         เช้าวันใหม่มานพตื่นมาก็ไม่พบกับพิมลดาผู้เป็นที่รัก มีเพียงกระดาษโน้ตเล็ก ๆ วางอยู่ พร้อมกับชุดทำงานและอาหารเช้าที่เตรียมไว้ให้มานพอย่างที่เคยเตรียมเป็นประจำ
         
         ที่ทำงานมานพเดินตรงไปยังห้องประชุมทันที เป็นเรื่องปกติที่ทุก ๆ ต้นสัปดาห์จะมีการประชุมที่น่าเบื่อ การประชุมดำเนินไปอย่างต่อเนือง ผลงานหลายชิ้นถูกยกขึ้นมานำเสนอ ปัญหาหลายอย่างถูกนำมาหาทางแก้ไข การประชุมกินเวลาไปเกือบครึ่งวัน มานพเดินออกมาจากห้องประชุมด้วยอาการเบื่อหน่าย แต่ก็ยังหนีไม่พ้นกับเรื่องงานที่ตามมาขณะร่วมโต๊ะกินข้าวกับเพื่อนร่วมงาน จนทำให้ยืดเยื่อไปอีกหลายชั่วโมง

    -กรุณาติดต่อคุณมะลิกาด้วยค่ะ- ข้อความบนกระดาษโน้ตที่ติดอยู่หน้าจอคอมของมานพ มันทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าโทรศัพมือถือของเขาแบตหมดตั้งแต่เมื่อคืน
    “สวัสดีครับคุณแม่ ผมนพนะครับ” มานพใช้โทรศัพของบริษัทโทรหามะลิกาผู้เป็นแม่ของแฟนสาว
    “นพหรอ ทำใจดี ๆ นะ”
    “เกิดอะไรขึ้นครับ”
    หลังจากที่ทราบเรื่อง มานพก็นิ่งสงบไปนานราวกับโดนแช่แข็งที่ตอนนี้น้ำแข็งกำลังก่อตัวทิ่มแทงหัวใจของเขา เขากดตัดสายไปโดยไม่รู้ตัว ภาพต่าง ๆ วนเวียนภายในหัว เขาลำดับเหตุการณ์ทบทวนอย่างไม่เชื่อคำบอกกล่าว จิตใต้สำนึกกำลังต่อต้านและไม่ยอมเชื่อสิ่งที่ได้ยิน หัวใจของเขากำลังต่อสู้กับน้ำแข็งที่ทิ่มแทง สมองของเขากำลังปฏิเสธการรับรู้ ร่างกายของเขากำลังป้องกันตัวของมันเองจากสิ่งที่อยากรู้แต่ไม่อยากถาม
    
        พอคิดได้ว่าจะต้องทำอะไร มานพก็รีบขับรถออกทันทีเพื่อไปพบกับคำตอบ เพื่อไปเห็นกับตาของตัวเอง ขณะที่สมองก็เอาแต่ปฏิเสธ จิตใจก็ได้แต่ภาวนาให้ไม่เป็นความจริง นัยน์ตาเบิกกว้างเพื่อกั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา หัวใจเต้นแรงทุกทีที่ใกล้จะถึงจุดหมาย จังหวะการหายใจราวกับมีใครมาบีบไว้ทุกทีที่นึกถึงคำที่ได้ยิน กล้ามเนื้อสั่นเทาแทบจะขับรถไม่ไหว แต่มันตรงกันข้ามรถของเขาวิ่งด้วยความเร็วสูง

    ข้างทางมีป้ายบอกทิศทางเป็นระยะ ๆ ภายในลานกว้างมีรถหลายคันจอดอยู่ ห้องโถงขนาดใหญ่ถูกตกแต่งด้วยผ้าขาวสลับดำ ผู้คนมากหน้าหลายตาแต่งกายให้เกียรติสถานที่ มานพทรุดตัวนั่งลงทันทีที่เดินไปถึงหน้างาน น้ำตาของเขาไหลพรากโดยไม่อาจกั้นไว้ได้อีกต่อไป มันเป็นความเข้มแข็งที่จะแสดงความอ่อนแอออกมา ให้เธอได้รู้ว่าเขาอ่อนแอปานใด

    “ทำใจเถอะนพ พิมเขาไปดีแล้ว” พ่อของพิมลดาเขามาตบบ่ามานพเบา ๆ อย่างคนรับความจริงได้ แต่มานพยังสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้นในเมื่อ เมื่อคืนมานพอยู่กับพิมลดา เขานึกย้อนไปอ่านข้อความบนกระดาษโน๊ตที่พิมลดาฝากไว้เมื่อตอนเช้า
        -ดูแลตัวเองด้วยนะ รักนพตราบนิรันดร์-
     
    ……………………………………………………………………………………………………….

    “ฮัลโหล พ่อค่ะ อย่าเพิ่งทานข้าวนะคะ เดี๋ยวพิมแวะเข้าไปทานข้าวด้วย พ่อจะเอาอะไรไหม”
    “ไม่เอา ๆ นี้พ่อก็กำลังจะโทรชวนพอดีเลย”
    “โอเคค่ะ เดี๋ยวแวะไปลอยกระทงกับนพก่อน เดี๋ยวเข้าไ…..ว้ายยยยยยย”
    ยังไม่สิ้นประโยค เสียงร้องของพิมลดาแทรกผ่านเข้ามาตามสาย พ่อของเธอร้องเรียกชื่อพิมลดาซ้ำ ๆ อย่างคนเป็นห่วง พิมลดาหักพวงมาลัยหลบรถอีกคันที่สวนทางขึ้นมา จนเสียหลักพุ่งลงแม่น้ำ

    พิมลดารู้สึกตัวอีกครั้ง เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนมองไปรอบ ๆ เจอแต่บางสิ่งสีขาวแยกไม่ออกว่ามันคือหมอกหรือควันกันแน่  พิมลดาตัดสินใจเดินตรงไปทางใดทางหนึ่ง ในใจภาวนาให้เป็นแค่ความฝัน พร้อมกับทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่มันก็ว่างเปล่า พิมลดายังคงเดินต่อไปเหมือนกับว่ามันมีอะไรบางอย่างนำทาง แต่แล้วการเดินทางก็สะดุดเมื่อมีแสงสีทองปรากฏขึ้น พิมลดายกแขนขึ้นบังลำแสง หรี่ตาลงเพื่อมองให้ถนัด ชายรูปร่างสูงใหญ่ สวมใส่แค่โจงกระเบน นั่งบนแท่นศิลาสูงปรากฏขึ้น ข้างหลังมีลำแสงสีทองสาดส่องมาทางเขาทำให้มองไม่เห็นใบหน้าได้ถนัด มีบริวารสองคนซ้ายขวา คนหนึ่งถืออาวุธคล้ายหอก อีกคนถือแผ่นกระดานสีดำ  ไม่นานก็ปรากฏอีกร่าง เป็นหญิงสาวผมยาวในชุดไทย สวยสง่าราวกับมีแสงสว่างทั่วร่างกาย ท่าทางที่น่าเกรงขาม รวมถึงแววตาที่เป็นมิตร

    “ข้าพานางมาส่งให้เจ้าแล้ว ตามที่ได้ตกลงกันไว้ ก่อนตะวันรุ่งสางให้เจ้าพานางกลับมาที่เดิมนี้” เสียงทุ้มจากชายบนแท่นศิลาใหญ่ดังกังวานขึ้น นั้นหมายถึงว่าพิมลดาจะต้องไปกับหญิงสาวในชุดไทย
    
             หญิงสาวในชุดไทยพาพิมลดาเดินทางมาจนถึงม่านน้ำ และเดินทะลุเข้าไป กลายเป็นใต้น้ำที่มีปลาน้อยใหญ่ว่ายไปมา รวมถึงสัตว์น้ำหลากหลายสายพันธุ์ พิมลดาแปลกใจที่ยังหายใจได้ในน้ำเช่นนี้ หญิงสาวในชุดไทยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พิมลดาฟังระหว่างการเดินทาง พิมลดารับรู้เรื่องราวทั้งหมดและยอมรับข้อตกลง ทั้งคู่ผ่านม่านน้ำอีกสองสามแห่งก็มาถึงที่หมาย

            “คำอธิฐานช่างแรงกล้ายิ่งนัก ข้าไม่ได้เจอแบบนี้มานานนับร้อยปีแล้ว ข้าไม่อาจปฏิเสธคำขอนั้นได้  เจ้าจงไป แล้วถึงเวลาข้าจะไปรับเจ้าเอง”
สิ้นคำกล่าวของหญิงสาวในชุดไทย ลมก็พัดแรงนำเธอมาพบกับมานพที่กำลังยกกระทงขึ้นเหนือหัวท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ

            “นพ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่