สวัสดีค่ะ เราโฟสกระทู้นี้ครั้งแรก โดยการยืมลอกอินของเพื่อนมาโพสนะคะ
ผิดพลาดอย่างไร ขออภัยด้วยค่ะ ก่อนที่เราจะเริ่มเรื่อง เราขอให้ผู้อ่านทำใจก่อนเป็นอันดับแรกค่ะ ว่ามันมีเนื้อหารุนแรง
เรื่องที่เราจะเล่านี้เป็นเรื่องท้าทายระบบศีลธรรมไทย และเราอยากตั้งคำถามกับสังคมผ่านการแชร์เรื่องนี้ ขอให้ผู้อ่าน ละวางคุณค่าเชิงศีลธรรมไว้ก่อน
เรื่องนี้ถูกเล่าโดยเหยื่อ ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างแต่ฝ่ายเดียว และมีความไม่แฟร์กับผู้ถูกกล่าวถึงอยู่ในประเด็นที่ พวกเขาเหล่านั้น ไม่มีโอกาสมาแก้ตัวหรือพูดในมุมของตัวเอง เราตัดสินใจเล่าเรื่องนี้เพราะเราคิดว่า เราโตพอที่จะไล่เรียงเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยให้ข้อเท็จจริงมากที่สุด และมีความโกรธแค้นน้อยที่สุด
ปัจจุบันเราอายุ 30 ปี เคยเป็นนักการตลาดองค์กรเอกชนแห่งหนึ่ง ลาออกมาทำอาชีพอิสระด้านการรับจ้างโฆษณา ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีรายได้มากพอที่จะลงทุนในประกันชีวิต กองทุน รวมถึงหุ้นบางส่วน ที่จะแก่ตาย และมีเงินใช้อย่างไม่ลำบาก เยี่ยงสาวโสดในวัยเกษียณ โดยไม่ต้องหวังพึ่งพาลูกหลานให้มารับภาระยามบั้นปลาย
เราเกิดในกรุงเทพฯ ยุคชาติเจริญ แต่พ่อแม่เราเป็นคนต่างจังหวัดที่เข้ามาแสวงโชคในเมืองกรุง แล้วบังเอิญโชคดี ที่ประสบความสำเร็จค่ะ ช่วงเด็ก ๆเราเป็นเอเลี่ยนในสังคมที่เราเติบโตมานะคะ คือบ้านเรามาจากภาคอีสาน แต่เราไม่ได้พูดภาษาลาวค่ะ เราพูดภาษาถิ่นอื่น เราเรียนในกรุงเทพฯ โตในกรุงเทพฯ และคิดแบบคนกรุงเทพฯ ในครอบครัวผู้อพยพที่มีวัฒนธรรมแปลกไป คือไปบ้านนอกเขาก็ว่าเป็นคนเมือง อยู่ในเมืองเขาก็ว่าเป็นบ้านนอก แม้แต่อยู่ในกลุ่มลูกหลานคนบ้านนอกด้วยกันเอง เราก็ดันไม่ใช่ลาวอย่างเขาอีก พอจะมองเห็นปัญหาความสับสนในวัยเด็กของเรามั้ยคะ ข้อดีคือมันทำให้เราเป็นเด็ก สามภาษาค่ะ แม้ว่ามันจะไม่อินเตอร์ แต่เราต้องพูดภาษาของบ้านเรากับพ่อแม่ ภาษาไทยที่โรงเรียน และเว้าลาวกับลูกน้องของพ่อแม่ค่ะ ปัจจุบันเราคล่องภาษาอังกฤษด้วยเนืองจากเราต้องการหลีกหนีจากความโหดร้ายในบ้าน ทำให้เราใช้เวลาไปกับการดูหนังเช่าไปมากในช่วงเวลาหนึ่ง
แม่เราจะพูดไทยกับเรา แต่พ่อเราจะไม่พูดภาษาไทยกับเราเลย เป็นเทคนิคให้เราคล่องทั้ง 2 ภาษาค่ะ ทีนี้ปัญหามันเกิดที่ เรื่องเล็ก ๆน้อยๆ คือเมื่อพ่อไม่พูดภาษาไทยเราก็ห้ามพูดภาษาไทยกับพ่อค่ะ พ่อจะไม่พอใจ เพราะพ่อกำลังฝึกเรา และเมื่อเรากลับบ้านนอกกับพ่อแม่เรา เราถูกห้ามไม่ให้พูดภาษาไทยนะคะ เพื่อเป็นจะได่เป็นที่ชื่นชมของญาติ ๆ ค่ะว่าไม่ลืมเชื้อลืมแถว เราไม่ได้พูดเกินจริงนะคะ คือพ่อเราต้องการให้เราเป็นแค่สิ่งที่ใช้อวดผู้อื่นได้จริงๆ ทีนี้เราก็จะโดนล้อค่ะ เพราะเราไม่รู้คำศัพท์ที่คนกลุ่มเราเขาพูดกัน เราจะแทนคำไทยไปเลย เช่นครั้งหนึ่งเรากำลังสนุกสนานกับการเล่นวงดนตรี แล้วเราก็เอาถังน้ำมาตีกลอง ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเดินมาถามว่าเล่นอะไรกัน เราก็บอกว่ากำลังเล่นกลองอยู่ เราโดนผู้ใหญ่ท่านนั้นบริภาษด่าทอ ถือดีเล่นหัวผู้หลักผู้ใหญ่ค่ะ เราก็จะโดนล้อจากเด็ก ๆ ที่เราไปเล่นด้วย นอกจากนั้นเรายังถูกพ่อตีเพราะเรื่องแค่นี้อีก คือกลอมันแปลว่าขี้ค่ะ ชั้นจะไปรู้หรอ ชั้นเกิดและโตมาในกรุงเทพฯ เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้วนะคะ เราจำฝังใจเพราะว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เรารู้สึกไม่ยุติธรรม
บ้านเราจะมีวัฒนธรรมที่แปลกประหลาด คือแปลกจริง ๆ ที่บ้านจะไม่เข้าข้างลูกเลยและเสริมแรงทางลบอยู่ตลอดเวลา คือคนไทยเลี้ยงลูกโอ๋จนเสียคนไงคะ แต่บ้านเราก็เลี้ยงลูกด่าจนเสียสติค่ะ เรามีพี่สาวที่เป็นโรคซึมเศร้าเพราะเก็บกดอดทนกับการถูกใช้อย่างทาสมาเนิ่นนานและแตกหักกับทางบ้านเมื่อพี่สาวเรามีสามี เมื่อตอนที่เรายังเด็กเราคิดว่าเป็นเรื่องปกตินะคะ และเป็นเรื่องที่ดีที่เราจะช่วยพ่อแม่ทำงาน แต่เมือเราโตขี้นเรามีมุมมองเปลี่ยนไปค่ะ แล้วเราก็รู้สึกว่าทั้งแราและพี่สาว ไม่ผิดอะไรเลยที่จะขี้เกียจและอยากอู้งานบ้าง คือเราถูกด่าให้รู้สึกผิดและไร้ค่าตลอดเวลาค่ะ พี่สาวเราทำงานอย่างทาส โดยที่เราไม่เคยนึกสงสารนางเลย จนเราโตนี่แหละค่ะ คือเราเห็นว่ามันเป็นปกติจริง ๆ นางต้องตื่นมาเปืดประตูร้าน หุงข้าว เปิดร้าน หาข้าวให้หมา ซื้อของจากตลาดมาเตรียมไว้ เพื่อทำกับข้าว 3 มื้อเลี้ยงคน 10 คน นางไม่ได้ทำนะคะซื้อของมาไว้เฉยๆ แล้วเตรียมมื้อเช้าสำหรับเราและของนางเองก่อนไปโรงเรียน
ตกเย็นมาพี่สาวเราต้องรีบกลับมาล้างจากที่ทุกคนกินทิ้งไว้ตั้งแต่เช้ากลางวัน จากนั้นต้องกวาดถูบ้านซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นจากการทำงานของคนในร้าน วันเสาร์อาทิตย์ต้องซักผ้าให้พ่อแม่ และเรา พี่เราต้องรีดผ้าให้พ่อแม่ด้วยนะคะ แล้วคือมันเยอะมาก แม้แต่เสื้อยืดใส่นอนก็ต้องรีด จนเราอายุ 10 ขวบ เราถึงได้ซักผ้าเอง และดูแลเฉพาะเรื่องของตัวเอง โดยที่เราไม่เคยถามและไม่เคยทำงานในส่วนอื่นเลยค่ะ เพราะพ่อแม่ไม่ได้ให้เราทำ แล้วเราก็ดื้อมากค่ะตอนเด็ก
นอกจากนี้งานของแรงงานในบ้านพี่สาวเราต้องทำด้วยค่ะ แล้วนางก็เหนื่อย และนางไม่ถูกกับเราตอนเด็ก ๆ เพราะเราไม่ช่วยอะไรนางเลย คือเราขี้เกียจและจะว่าเห็นแก่ตัวก็ได้นะคะ แต่เราอยากมีชีวิตแบบเด็ก ๆ นี่คะ เราอยากออกไปวิ่งเล่น เราอยากออกไปซนกับเพื่อน โลกนี้มันตลกนะคะ สิ่งที่ผู้ใหญ่บอกว่าเป็นเด็กต้องเชื่อฟังพ่อแม่ แบ่งเบาภาระพ่อแม่ ขยันทำงานหนักโตมาแล้วจะร่ำรวย เจริญก้าวหน้า กลับกลายเป็นคำโกหกเพื่อหลอกเด็กให้ทำงานฟรีค่ะ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่สาวที่ซื่อสัตย์และกตัญญูของเราคือ ความผิดหวังและล้มเหลวในชีวิตค่ะ พี่สาวเรามีผลการเรียนตกต่ำ เพราะทำงานช่วยพ่อแม่มากเกินไป
ทั้ง ๆ ที่พี่สาวเราเป็นคนมีความรับผิดชอบ ทำการบ้าน ลายมือสวย แต่ต้องไปง่วงและเรียนไม่เต็มที่ ในโรงเรียน ในที่สุดพี่สาวเรามีพัฒนาการช้า ไม่ทันเทคโนโลยี สุดท้ายสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ พี่สาวเราโดนด่า โดนต่อว่า โดนแซะ ชนิดที่ว่าทำความผิดราวกับฆ่าคนตาย เหมือนเป็นสิ่งที่ครอบครัวผิดหวังมาก ตั้งแต่นั้นมา เราก็คุยกับพี่สาวเรามากขึ้น เพราะนางไม่มีที่ระบาย นางเริ่มน้อยเนื้อต่ำใจว่าต้องดีแค่ไหนถึงจะเป็นลูกที่ไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังได้
ในขณะที่เราเป็นคนนอกคอกอยู่แล้วค่ะ เราเป็นเด็กเกเรในสายตาผู้ใหญ่ ชอบเถียงผู้ใหญ่ โดนตีประจำ และจะไม่ยอมอดทนกับอะไรที่เราไม่ชอบ ความรุนแรงในครอบครัวส่งผลให้เรากลายเป็นหัวโจกที่โรงเรียนด้วยค่ะ มาดูสิ่งที่พ่อแม่ทำกับเรานะคะ เมื่อรู้ว่าไม้เรียวทำอะไรเราไม่ได้ เราใช้วิธีดื้อแพ่ง ไม่ร้องไม่โอดโอย ยั่วโมโหด้วยการอยู่นิ่งๆให้ตีเวลาทำผิด และเราก็ทำผิดซ้ำอีกทีเพื่อความสะใจที่ได้ชนะ พ่อแม่เราเลือกกักบริเวณเราโดยให้อดอาหารค่ะ
เพื่อให้เรารับรู้ว่า เรามีบ้านอยู่เพราะใคร เรามีข้าวกินเพราะใคร ผลลัพท์มันตรงข้ามเลยค่ะ เรากลายเป็นคนคิดอีกแบบ งั้นเราไม่กินข้าวที่บ้านก็ได้ พ่อแม่จะได้ไม่ทวงบุญคุณกับเรา นี่คือวิธีคิดของเด็กอายุ 15 กำลังแตกเนื้อสาววัยรุ่นนะคะ เราไปสิงสถิตที่บ้านเพื่อนค่ะ แล้วไปกินข้าวบ้านเขา มันไม่ถูกต้องนะที่ไปรบกวนเขา แต่เพื่อนเราคนนี้ เป็นคุณหนูบ้านรวย และเป็นสาวขี้แพ้ค่ะ นางจะโดนไถเงิน หรือโดนแกล้งประจำ ซึ่งการที่เราเป็นเพื่อนกับนาง ทำให้บารมีเราคุ้มครองนางค่ะ แล้วแม่ของเพื่อนก็ดีใจ ที่เพื่อนเรา มีเพื่อนจริง ๆกับเขาเสียที แถมยังไม่เห็นลูกโดนแกล้งด้วย เราเลยไม่เคยโดนว่าจากบ้านนี้เลย
แต่พ่อแม่ที่ไหนจะชอบให้ลูกตัวเองไปขลุกอยู่บ้านคนอื่นละคะ เราถูกสอบสวนและถูกตีอย่างรุนแรง ถูกด่าทอว่าร่าน ไม่รู้จักอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน มันเต็มไปด้วยโทสะ ความรุนแรง และค่อยๆทำลายสายใยครอบครัวลงช้า ๆ จนเราเริ่มคิดฆ่าตัวตายตอนเด็ก ๆ แต่ความรักมาช่วยเราไว้ เรามีความรักค่ะ
เราเพิ่งสังเกตุเมื่อเราเริ่มเป็นวัยรุ่นว่า พ่อแม่เราเป็นง่อย เวลาพวกเราอยู่บ้าน พ่อแม่ทำงานนะคะ แต่เป็นการบังคับบัญชาลูกน้อง สไตล์เถ้าแก่ที่ไม่ลงแรงเลย มีวันหนึ่งพี่สาวเราทานข้าวเสร็จด้วยความรีบขึ้นไปทำงานต่อ พ่อแม่เรากินข้าวเสร็จแล้ว ให้เราไปเรียกพี่เราลงมาเก็บคะ ตอนนั้นเราโง่นะคะเราคิดไม่ได้ เราคิดว่าแม่สั่งอะไรก็ทำ เราโดนพี่ด่าด้วยความโมโห ว่าพวกเป็นง่อยกันหมดหรือไง ไม่มีมือกันหรือไง ถึงกับขึ้นมาตามกูลงไปเก็บเนี่ย เอาจริงๆ เราไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า พี่สาวเรามันเหนื่อยแค่ไหน ใช่ค่ะแค่เก็บมันไม่ตายหรอก แต่คิดในมุมพี่สาวเรา นางถูกปฏิบัติอย่างทาสจริง ๆมันแย่ตรงที่พวกเราถูกทำให้เป็น 1 ในแรงงานของพ่อแม่ค่ะ ตอนนั้นเราถูกบังคับให้อยุ่บ้านและให้ทำงานแบบลูกน้องทุกอย่าง แล้วเราทำช้าไงคะ ค่าจ้างก็ไม่ได้ โดนด่าอีกว่าซื้อบื้อ แค่นี้ทำไม่ได้แล้วจะทำอะไรกิน ดีแต่ไปแรดไปร่าน จากนั้นเราเริ่มมีศัตรูค่ะ พ่อแม่ให้ลูกน้องคนหนึ่งคอยดูเราไว้และรายงานพฤติกรรม แล้วเราถูกแกล้งโดยลูกน้องค่ะ คืองานมันเป็นแรงงานแบบสมองไม่ต้องใช้ค่ะ เป็นการแพ็คของเข้าซองให้สวยงาม แล้วเราทำเท่าไหร่ก็ไม่สวย คือเรามีปัญหากับเรืองแบบนี้จริง ๆ ค่ะ เราไม่สามารถทำให้โต๊ะทำงานเราไม่รกได้ เราไม่สามารถตัดกระดาษตามรอยปรุได้ เราไม่สามารถตัดผ้าให้ตรงได้ และเราไม่สามารถตีเส้นบรรทัดให้ตรงได้ เราถูกลูกน้องหลอกด่าด้วยภาษาลู
โคตรทรมานค่ะ คือเรารู้บางคำ เขานินทาเราต่อหน้าคนอื่น โดยที่เราก็อยู่ตรงนั้น พูดแล้วหัวเราะกันสองคน เช่นเมื่อวานเราโดนแม่ด่าเรื่องงาน หรือเราทาลิปมันเปลี่ยนสีมาทำงานแพ็คของเพื่ออะไร ทำไมแรดแบบนี้ ต่อหน้าเราแล้วก็หัวเรากันคิกคัก เวลาเราเล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง กลับถูกมองว่าไม่อดทน แล้วเขาก็มองว่าไม่มีใครตายเพราะโดนด่าหรอก ใคร ๆ ก็ถูกนินทากันทั้งนั้น ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ คือมันทำให้เราไม่สบายใจไงคะ ทำไมไม่มีใครเข้าใจเรา
เหตุการณ์มันเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆค่ะ คือหลังเราอายุ 15 ที่บ้านเราไม่ตีแล้ว ความรุนแรงทางร่างกายไม่มีแล้วค่ะ คงเป็นเกณฑ์ของพวกได้ดีเพราะไม้เรียวมั้งคะว่าโตแล้วอย่าไปตี หรือไม่ก็กลัวกฎหมายทำร้ายร่างกายผู้เยาว์ที่ไม่ใช่การสั่งสอนเด็ก ๆ แล้ว แต่ความรุนแรงด้านอื่นๆ มันทวีคูณเพิ่มขึ้นค่ะ
เรื่องความเชื่อใจ เราถูกตรวจสอบทุกเรื่อง เช่นเมื่อโรงเรียนมีกิจกรรมเรียกเก็บเงิน เราจะต้องแจ้งแต่เนิ่น ๆ และรอ โดยที่หนังสือเรียกเก็บเงินจะต้องชัดเจน แล้วข้างบ้านเราต้องได้สิ่งนั้นด้วยนะคะเพื่อประกันว่าเราไม่ได้โกหก การจะเอางเงินปุบปับเลย ทำให้เราโดนด่าอย่างรุนแรงค่ะ ว่าไม่รู้จักวางแผน มีสมองไม่รู้จักใช้ คิดจะมาปล้นเอาเงินใครง่าย ๆ แบบนี้ได้ยังไง ใครจะมีให้ทันทีทันได้ ไม่เห็นหรอว่าทำมาหากินมันเหนื่อย
อะไรแบบนี้ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจว่าอะไรมันจะรุนแรงขนาดนั้น กลับมาที่พี่สาวเรากับเราจะปรับทุกข์กันเรื่องประเด็นพ่อแม่มากขึ้น พี่สาวเราเป็นสาวแล้ว ต้องใช้เงินเยอะ เพื่อใช้จ่ายชีวิตวัยรุ่น แต่ต้องขอพ่อแม่ทุกอย่างค่ะ เช่นผ้าอนามัยก็ยังต้องขอเงินไปซื้อมันไม่ถูกต้องค่ะ โชคดีเราเป็นนักกีฬา เราใช้แบบสอดโดยไม่เก้อเขินค่ะ เป็นสวัสดิการที่โรงเรียนแจก ไม่รู้ครูแกคิดได้ไงเหมือนกัน แต่มันเป็นผลดีที่ทำให้เราไม่มีป้ญหาเรื่องขอเงินแม่ซื้อผ้าอนามัย
การไปโรงเรียน เราต้องเดาใจแม่ว่าจะตื่นตอนไหน เช้าไปจะโดนด่า เราต้องไปเคาะห้องเพื่อขอเงินรายวันไปโรงเรียน เนื่องจากเราถูกจับได้ว่านำเงินเก็บไปซื้อการ์ตูนญี่ปุ่นตาหวานวาบหวิวมาอ่านค่ะ ทำให้เราถูกจำกัดการใช้เงิน และพี่สาวก็พลอยโดนไปด้วย สุดท้าย พี่สาวไม่พูดกับที่บ้าน และหางานทำใกล้บ้าน ที่ร้านอาหารในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ที่เซอร์ไพรซ์คืออะไรรู้มั้ยคะ นางมีรายได้แล้ว พ่อแม่ก็ไม่ต้องส่งเสีย แม้แต่ค่าหน่วยกิตรามนางก็หาเอง
พี่สาวเราเริ่มกบฎแล้วค่ะ เริ่มไม่ทำงานบ้านแล้ว ไม่แคร์ไม่สนด้วย แล้วก็เริ่มออกไปอยู่แถวหน้าราม กับเพื่อน ทำงานเสริฟอาหารตอนกลางคืน และมีแฟนค่ะ มันเป็นปกติวิสัยของมนุษย์ที่เริ่มโตนะคะที่จะมีความรัก พี่สาวเราไม่ได้อยู่กินกับผู้ชายด้วย เพราะยังพอมีสติคิดได้ว่าถ้าเลิกกันจะลำบาก คือเขาจะไปแอบเอากันมั้นนั่นเรื่องของเขาค่ะ ตราบใดที่เขาไม่ท้องและติดโรคเราไม่สนใจจริง ๆ พ่อแม่เราสาปแช่งให้พี่สาวเราไม่เจริญเพราะเนรคุณทำตระกูลเสื่อมเสีย หนีตามผู้ชาย ข้อเท็จจริงคือ พี่สาวเราต้องไปอยู่ในห้องที่แออัดไปด้วยผู้หญิง 3 คน แต่ละคนทำงานคนละเวลา และมีแฟนที่แทบจะไม่ได้เจอกันเลย ต้องหยอดตู้โทรศัพท์คุย PCT กันเพราะมันมีเทคนิคที่หยอดเงินแล้วคุยได้เป็นชั่วโมง
เราเผชิญความรุนแรงในครอบครัวอย่างทรมาน ที่แย่กว่านั้นคือสังคมพิพากษาให้เราผิด ด้วยศีลธรรมอันดีงาม
ผิดพลาดอย่างไร ขออภัยด้วยค่ะ ก่อนที่เราจะเริ่มเรื่อง เราขอให้ผู้อ่านทำใจก่อนเป็นอันดับแรกค่ะ ว่ามันมีเนื้อหารุนแรง
เรื่องที่เราจะเล่านี้เป็นเรื่องท้าทายระบบศีลธรรมไทย และเราอยากตั้งคำถามกับสังคมผ่านการแชร์เรื่องนี้ ขอให้ผู้อ่าน ละวางคุณค่าเชิงศีลธรรมไว้ก่อน
เรื่องนี้ถูกเล่าโดยเหยื่อ ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างแต่ฝ่ายเดียว และมีความไม่แฟร์กับผู้ถูกกล่าวถึงอยู่ในประเด็นที่ พวกเขาเหล่านั้น ไม่มีโอกาสมาแก้ตัวหรือพูดในมุมของตัวเอง เราตัดสินใจเล่าเรื่องนี้เพราะเราคิดว่า เราโตพอที่จะไล่เรียงเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยให้ข้อเท็จจริงมากที่สุด และมีความโกรธแค้นน้อยที่สุด
ปัจจุบันเราอายุ 30 ปี เคยเป็นนักการตลาดองค์กรเอกชนแห่งหนึ่ง ลาออกมาทำอาชีพอิสระด้านการรับจ้างโฆษณา ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มีรายได้มากพอที่จะลงทุนในประกันชีวิต กองทุน รวมถึงหุ้นบางส่วน ที่จะแก่ตาย และมีเงินใช้อย่างไม่ลำบาก เยี่ยงสาวโสดในวัยเกษียณ โดยไม่ต้องหวังพึ่งพาลูกหลานให้มารับภาระยามบั้นปลาย
เราเกิดในกรุงเทพฯ ยุคชาติเจริญ แต่พ่อแม่เราเป็นคนต่างจังหวัดที่เข้ามาแสวงโชคในเมืองกรุง แล้วบังเอิญโชคดี ที่ประสบความสำเร็จค่ะ ช่วงเด็ก ๆเราเป็นเอเลี่ยนในสังคมที่เราเติบโตมานะคะ คือบ้านเรามาจากภาคอีสาน แต่เราไม่ได้พูดภาษาลาวค่ะ เราพูดภาษาถิ่นอื่น เราเรียนในกรุงเทพฯ โตในกรุงเทพฯ และคิดแบบคนกรุงเทพฯ ในครอบครัวผู้อพยพที่มีวัฒนธรรมแปลกไป คือไปบ้านนอกเขาก็ว่าเป็นคนเมือง อยู่ในเมืองเขาก็ว่าเป็นบ้านนอก แม้แต่อยู่ในกลุ่มลูกหลานคนบ้านนอกด้วยกันเอง เราก็ดันไม่ใช่ลาวอย่างเขาอีก พอจะมองเห็นปัญหาความสับสนในวัยเด็กของเรามั้ยคะ ข้อดีคือมันทำให้เราเป็นเด็ก สามภาษาค่ะ แม้ว่ามันจะไม่อินเตอร์ แต่เราต้องพูดภาษาของบ้านเรากับพ่อแม่ ภาษาไทยที่โรงเรียน และเว้าลาวกับลูกน้องของพ่อแม่ค่ะ ปัจจุบันเราคล่องภาษาอังกฤษด้วยเนืองจากเราต้องการหลีกหนีจากความโหดร้ายในบ้าน ทำให้เราใช้เวลาไปกับการดูหนังเช่าไปมากในช่วงเวลาหนึ่ง
แม่เราจะพูดไทยกับเรา แต่พ่อเราจะไม่พูดภาษาไทยกับเราเลย เป็นเทคนิคให้เราคล่องทั้ง 2 ภาษาค่ะ ทีนี้ปัญหามันเกิดที่ เรื่องเล็ก ๆน้อยๆ คือเมื่อพ่อไม่พูดภาษาไทยเราก็ห้ามพูดภาษาไทยกับพ่อค่ะ พ่อจะไม่พอใจ เพราะพ่อกำลังฝึกเรา และเมื่อเรากลับบ้านนอกกับพ่อแม่เรา เราถูกห้ามไม่ให้พูดภาษาไทยนะคะ เพื่อเป็นจะได่เป็นที่ชื่นชมของญาติ ๆ ค่ะว่าไม่ลืมเชื้อลืมแถว เราไม่ได้พูดเกินจริงนะคะ คือพ่อเราต้องการให้เราเป็นแค่สิ่งที่ใช้อวดผู้อื่นได้จริงๆ ทีนี้เราก็จะโดนล้อค่ะ เพราะเราไม่รู้คำศัพท์ที่คนกลุ่มเราเขาพูดกัน เราจะแทนคำไทยไปเลย เช่นครั้งหนึ่งเรากำลังสนุกสนานกับการเล่นวงดนตรี แล้วเราก็เอาถังน้ำมาตีกลอง ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเดินมาถามว่าเล่นอะไรกัน เราก็บอกว่ากำลังเล่นกลองอยู่ เราโดนผู้ใหญ่ท่านนั้นบริภาษด่าทอ ถือดีเล่นหัวผู้หลักผู้ใหญ่ค่ะ เราก็จะโดนล้อจากเด็ก ๆ ที่เราไปเล่นด้วย นอกจากนั้นเรายังถูกพ่อตีเพราะเรื่องแค่นี้อีก คือกลอมันแปลว่าขี้ค่ะ ชั้นจะไปรู้หรอ ชั้นเกิดและโตมาในกรุงเทพฯ เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้วนะคะ เราจำฝังใจเพราะว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เรารู้สึกไม่ยุติธรรม
บ้านเราจะมีวัฒนธรรมที่แปลกประหลาด คือแปลกจริง ๆ ที่บ้านจะไม่เข้าข้างลูกเลยและเสริมแรงทางลบอยู่ตลอดเวลา คือคนไทยเลี้ยงลูกโอ๋จนเสียคนไงคะ แต่บ้านเราก็เลี้ยงลูกด่าจนเสียสติค่ะ เรามีพี่สาวที่เป็นโรคซึมเศร้าเพราะเก็บกดอดทนกับการถูกใช้อย่างทาสมาเนิ่นนานและแตกหักกับทางบ้านเมื่อพี่สาวเรามีสามี เมื่อตอนที่เรายังเด็กเราคิดว่าเป็นเรื่องปกตินะคะ และเป็นเรื่องที่ดีที่เราจะช่วยพ่อแม่ทำงาน แต่เมือเราโตขี้นเรามีมุมมองเปลี่ยนไปค่ะ แล้วเราก็รู้สึกว่าทั้งแราและพี่สาว ไม่ผิดอะไรเลยที่จะขี้เกียจและอยากอู้งานบ้าง คือเราถูกด่าให้รู้สึกผิดและไร้ค่าตลอดเวลาค่ะ พี่สาวเราทำงานอย่างทาส โดยที่เราไม่เคยนึกสงสารนางเลย จนเราโตนี่แหละค่ะ คือเราเห็นว่ามันเป็นปกติจริง ๆ นางต้องตื่นมาเปืดประตูร้าน หุงข้าว เปิดร้าน หาข้าวให้หมา ซื้อของจากตลาดมาเตรียมไว้ เพื่อทำกับข้าว 3 มื้อเลี้ยงคน 10 คน นางไม่ได้ทำนะคะซื้อของมาไว้เฉยๆ แล้วเตรียมมื้อเช้าสำหรับเราและของนางเองก่อนไปโรงเรียน
ตกเย็นมาพี่สาวเราต้องรีบกลับมาล้างจากที่ทุกคนกินทิ้งไว้ตั้งแต่เช้ากลางวัน จากนั้นต้องกวาดถูบ้านซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นจากการทำงานของคนในร้าน วันเสาร์อาทิตย์ต้องซักผ้าให้พ่อแม่ และเรา พี่เราต้องรีดผ้าให้พ่อแม่ด้วยนะคะ แล้วคือมันเยอะมาก แม้แต่เสื้อยืดใส่นอนก็ต้องรีด จนเราอายุ 10 ขวบ เราถึงได้ซักผ้าเอง และดูแลเฉพาะเรื่องของตัวเอง โดยที่เราไม่เคยถามและไม่เคยทำงานในส่วนอื่นเลยค่ะ เพราะพ่อแม่ไม่ได้ให้เราทำ แล้วเราก็ดื้อมากค่ะตอนเด็ก
นอกจากนี้งานของแรงงานในบ้านพี่สาวเราต้องทำด้วยค่ะ แล้วนางก็เหนื่อย และนางไม่ถูกกับเราตอนเด็ก ๆ เพราะเราไม่ช่วยอะไรนางเลย คือเราขี้เกียจและจะว่าเห็นแก่ตัวก็ได้นะคะ แต่เราอยากมีชีวิตแบบเด็ก ๆ นี่คะ เราอยากออกไปวิ่งเล่น เราอยากออกไปซนกับเพื่อน โลกนี้มันตลกนะคะ สิ่งที่ผู้ใหญ่บอกว่าเป็นเด็กต้องเชื่อฟังพ่อแม่ แบ่งเบาภาระพ่อแม่ ขยันทำงานหนักโตมาแล้วจะร่ำรวย เจริญก้าวหน้า กลับกลายเป็นคำโกหกเพื่อหลอกเด็กให้ทำงานฟรีค่ะ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่สาวที่ซื่อสัตย์และกตัญญูของเราคือ ความผิดหวังและล้มเหลวในชีวิตค่ะ พี่สาวเรามีผลการเรียนตกต่ำ เพราะทำงานช่วยพ่อแม่มากเกินไป
ทั้ง ๆ ที่พี่สาวเราเป็นคนมีความรับผิดชอบ ทำการบ้าน ลายมือสวย แต่ต้องไปง่วงและเรียนไม่เต็มที่ ในโรงเรียน ในที่สุดพี่สาวเรามีพัฒนาการช้า ไม่ทันเทคโนโลยี สุดท้ายสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ พี่สาวเราโดนด่า โดนต่อว่า โดนแซะ ชนิดที่ว่าทำความผิดราวกับฆ่าคนตาย เหมือนเป็นสิ่งที่ครอบครัวผิดหวังมาก ตั้งแต่นั้นมา เราก็คุยกับพี่สาวเรามากขึ้น เพราะนางไม่มีที่ระบาย นางเริ่มน้อยเนื้อต่ำใจว่าต้องดีแค่ไหนถึงจะเป็นลูกที่ไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังได้
ในขณะที่เราเป็นคนนอกคอกอยู่แล้วค่ะ เราเป็นเด็กเกเรในสายตาผู้ใหญ่ ชอบเถียงผู้ใหญ่ โดนตีประจำ และจะไม่ยอมอดทนกับอะไรที่เราไม่ชอบ ความรุนแรงในครอบครัวส่งผลให้เรากลายเป็นหัวโจกที่โรงเรียนด้วยค่ะ มาดูสิ่งที่พ่อแม่ทำกับเรานะคะ เมื่อรู้ว่าไม้เรียวทำอะไรเราไม่ได้ เราใช้วิธีดื้อแพ่ง ไม่ร้องไม่โอดโอย ยั่วโมโหด้วยการอยู่นิ่งๆให้ตีเวลาทำผิด และเราก็ทำผิดซ้ำอีกทีเพื่อความสะใจที่ได้ชนะ พ่อแม่เราเลือกกักบริเวณเราโดยให้อดอาหารค่ะ
เพื่อให้เรารับรู้ว่า เรามีบ้านอยู่เพราะใคร เรามีข้าวกินเพราะใคร ผลลัพท์มันตรงข้ามเลยค่ะ เรากลายเป็นคนคิดอีกแบบ งั้นเราไม่กินข้าวที่บ้านก็ได้ พ่อแม่จะได้ไม่ทวงบุญคุณกับเรา นี่คือวิธีคิดของเด็กอายุ 15 กำลังแตกเนื้อสาววัยรุ่นนะคะ เราไปสิงสถิตที่บ้านเพื่อนค่ะ แล้วไปกินข้าวบ้านเขา มันไม่ถูกต้องนะที่ไปรบกวนเขา แต่เพื่อนเราคนนี้ เป็นคุณหนูบ้านรวย และเป็นสาวขี้แพ้ค่ะ นางจะโดนไถเงิน หรือโดนแกล้งประจำ ซึ่งการที่เราเป็นเพื่อนกับนาง ทำให้บารมีเราคุ้มครองนางค่ะ แล้วแม่ของเพื่อนก็ดีใจ ที่เพื่อนเรา มีเพื่อนจริง ๆกับเขาเสียที แถมยังไม่เห็นลูกโดนแกล้งด้วย เราเลยไม่เคยโดนว่าจากบ้านนี้เลย
แต่พ่อแม่ที่ไหนจะชอบให้ลูกตัวเองไปขลุกอยู่บ้านคนอื่นละคะ เราถูกสอบสวนและถูกตีอย่างรุนแรง ถูกด่าทอว่าร่าน ไม่รู้จักอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน มันเต็มไปด้วยโทสะ ความรุนแรง และค่อยๆทำลายสายใยครอบครัวลงช้า ๆ จนเราเริ่มคิดฆ่าตัวตายตอนเด็ก ๆ แต่ความรักมาช่วยเราไว้ เรามีความรักค่ะ
เราเพิ่งสังเกตุเมื่อเราเริ่มเป็นวัยรุ่นว่า พ่อแม่เราเป็นง่อย เวลาพวกเราอยู่บ้าน พ่อแม่ทำงานนะคะ แต่เป็นการบังคับบัญชาลูกน้อง สไตล์เถ้าแก่ที่ไม่ลงแรงเลย มีวันหนึ่งพี่สาวเราทานข้าวเสร็จด้วยความรีบขึ้นไปทำงานต่อ พ่อแม่เรากินข้าวเสร็จแล้ว ให้เราไปเรียกพี่เราลงมาเก็บคะ ตอนนั้นเราโง่นะคะเราคิดไม่ได้ เราคิดว่าแม่สั่งอะไรก็ทำ เราโดนพี่ด่าด้วยความโมโห ว่าพวกเป็นง่อยกันหมดหรือไง ไม่มีมือกันหรือไง ถึงกับขึ้นมาตามกูลงไปเก็บเนี่ย เอาจริงๆ เราไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า พี่สาวเรามันเหนื่อยแค่ไหน ใช่ค่ะแค่เก็บมันไม่ตายหรอก แต่คิดในมุมพี่สาวเรา นางถูกปฏิบัติอย่างทาสจริง ๆมันแย่ตรงที่พวกเราถูกทำให้เป็น 1 ในแรงงานของพ่อแม่ค่ะ ตอนนั้นเราถูกบังคับให้อยุ่บ้านและให้ทำงานแบบลูกน้องทุกอย่าง แล้วเราทำช้าไงคะ ค่าจ้างก็ไม่ได้ โดนด่าอีกว่าซื้อบื้อ แค่นี้ทำไม่ได้แล้วจะทำอะไรกิน ดีแต่ไปแรดไปร่าน จากนั้นเราเริ่มมีศัตรูค่ะ พ่อแม่ให้ลูกน้องคนหนึ่งคอยดูเราไว้และรายงานพฤติกรรม แล้วเราถูกแกล้งโดยลูกน้องค่ะ คืองานมันเป็นแรงงานแบบสมองไม่ต้องใช้ค่ะ เป็นการแพ็คของเข้าซองให้สวยงาม แล้วเราทำเท่าไหร่ก็ไม่สวย คือเรามีปัญหากับเรืองแบบนี้จริง ๆ ค่ะ เราไม่สามารถทำให้โต๊ะทำงานเราไม่รกได้ เราไม่สามารถตัดกระดาษตามรอยปรุได้ เราไม่สามารถตัดผ้าให้ตรงได้ และเราไม่สามารถตีเส้นบรรทัดให้ตรงได้ เราถูกลูกน้องหลอกด่าด้วยภาษาลู
โคตรทรมานค่ะ คือเรารู้บางคำ เขานินทาเราต่อหน้าคนอื่น โดยที่เราก็อยู่ตรงนั้น พูดแล้วหัวเราะกันสองคน เช่นเมื่อวานเราโดนแม่ด่าเรื่องงาน หรือเราทาลิปมันเปลี่ยนสีมาทำงานแพ็คของเพื่ออะไร ทำไมแรดแบบนี้ ต่อหน้าเราแล้วก็หัวเรากันคิกคัก เวลาเราเล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง กลับถูกมองว่าไม่อดทน แล้วเขาก็มองว่าไม่มีใครตายเพราะโดนด่าหรอก ใคร ๆ ก็ถูกนินทากันทั้งนั้น ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ คือมันทำให้เราไม่สบายใจไงคะ ทำไมไม่มีใครเข้าใจเรา
เหตุการณ์มันเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆค่ะ คือหลังเราอายุ 15 ที่บ้านเราไม่ตีแล้ว ความรุนแรงทางร่างกายไม่มีแล้วค่ะ คงเป็นเกณฑ์ของพวกได้ดีเพราะไม้เรียวมั้งคะว่าโตแล้วอย่าไปตี หรือไม่ก็กลัวกฎหมายทำร้ายร่างกายผู้เยาว์ที่ไม่ใช่การสั่งสอนเด็ก ๆ แล้ว แต่ความรุนแรงด้านอื่นๆ มันทวีคูณเพิ่มขึ้นค่ะ
เรื่องความเชื่อใจ เราถูกตรวจสอบทุกเรื่อง เช่นเมื่อโรงเรียนมีกิจกรรมเรียกเก็บเงิน เราจะต้องแจ้งแต่เนิ่น ๆ และรอ โดยที่หนังสือเรียกเก็บเงินจะต้องชัดเจน แล้วข้างบ้านเราต้องได้สิ่งนั้นด้วยนะคะเพื่อประกันว่าเราไม่ได้โกหก การจะเอางเงินปุบปับเลย ทำให้เราโดนด่าอย่างรุนแรงค่ะ ว่าไม่รู้จักวางแผน มีสมองไม่รู้จักใช้ คิดจะมาปล้นเอาเงินใครง่าย ๆ แบบนี้ได้ยังไง ใครจะมีให้ทันทีทันได้ ไม่เห็นหรอว่าทำมาหากินมันเหนื่อย
อะไรแบบนี้ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจว่าอะไรมันจะรุนแรงขนาดนั้น กลับมาที่พี่สาวเรากับเราจะปรับทุกข์กันเรื่องประเด็นพ่อแม่มากขึ้น พี่สาวเราเป็นสาวแล้ว ต้องใช้เงินเยอะ เพื่อใช้จ่ายชีวิตวัยรุ่น แต่ต้องขอพ่อแม่ทุกอย่างค่ะ เช่นผ้าอนามัยก็ยังต้องขอเงินไปซื้อมันไม่ถูกต้องค่ะ โชคดีเราเป็นนักกีฬา เราใช้แบบสอดโดยไม่เก้อเขินค่ะ เป็นสวัสดิการที่โรงเรียนแจก ไม่รู้ครูแกคิดได้ไงเหมือนกัน แต่มันเป็นผลดีที่ทำให้เราไม่มีป้ญหาเรื่องขอเงินแม่ซื้อผ้าอนามัย
การไปโรงเรียน เราต้องเดาใจแม่ว่าจะตื่นตอนไหน เช้าไปจะโดนด่า เราต้องไปเคาะห้องเพื่อขอเงินรายวันไปโรงเรียน เนื่องจากเราถูกจับได้ว่านำเงินเก็บไปซื้อการ์ตูนญี่ปุ่นตาหวานวาบหวิวมาอ่านค่ะ ทำให้เราถูกจำกัดการใช้เงิน และพี่สาวก็พลอยโดนไปด้วย สุดท้าย พี่สาวไม่พูดกับที่บ้าน และหางานทำใกล้บ้าน ที่ร้านอาหารในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ที่เซอร์ไพรซ์คืออะไรรู้มั้ยคะ นางมีรายได้แล้ว พ่อแม่ก็ไม่ต้องส่งเสีย แม้แต่ค่าหน่วยกิตรามนางก็หาเอง
พี่สาวเราเริ่มกบฎแล้วค่ะ เริ่มไม่ทำงานบ้านแล้ว ไม่แคร์ไม่สนด้วย แล้วก็เริ่มออกไปอยู่แถวหน้าราม กับเพื่อน ทำงานเสริฟอาหารตอนกลางคืน และมีแฟนค่ะ มันเป็นปกติวิสัยของมนุษย์ที่เริ่มโตนะคะที่จะมีความรัก พี่สาวเราไม่ได้อยู่กินกับผู้ชายด้วย เพราะยังพอมีสติคิดได้ว่าถ้าเลิกกันจะลำบาก คือเขาจะไปแอบเอากันมั้นนั่นเรื่องของเขาค่ะ ตราบใดที่เขาไม่ท้องและติดโรคเราไม่สนใจจริง ๆ พ่อแม่เราสาปแช่งให้พี่สาวเราไม่เจริญเพราะเนรคุณทำตระกูลเสื่อมเสีย หนีตามผู้ชาย ข้อเท็จจริงคือ พี่สาวเราต้องไปอยู่ในห้องที่แออัดไปด้วยผู้หญิง 3 คน แต่ละคนทำงานคนละเวลา และมีแฟนที่แทบจะไม่ได้เจอกันเลย ต้องหยอดตู้โทรศัพท์คุย PCT กันเพราะมันมีเทคนิคที่หยอดเงินแล้วคุยได้เป็นชั่วโมง