Spiderman Homecoming กับปัญหาวัยรุ่นที่ผู้ใหญ่มองข้าม(Spoil แน่นอนเด้อจ้าาาา)

ช่วงนี้กระแสสไปดี้มาแรงมาก ผมเองก็ร่วมด้วยเพราะรีบไปดูตั้งแต่วันแรกเลยครับ โชคดีที่วันนั้นว่างตอนช่วงกลางวันเลยไม่ต้องรบรา
แย่งที่นั่งในรอบตอนเย็น (เพื่อนผมที่ไปดูรอบค่ำเล่าให้ฟังกันว่าจองตั๋วตั้งแต่ตอนบ่ายๆ เหลือที่ว่างแต่โซนด้านหน้าแล้ว)
ครับผม จากการรับชม สไปดี้ภาคนี้กลับมาในโทนหนังที่เป็นมาร์เว้ลมาร์เวลจริงๆ เลยคาดว่ารับประกันกับท่านที่จะไปดูได้ว่าอย่างน้อยๆ
ก็ดูสนุกได้เพลินๆ แน่นอน ส่วนเรื่องความชอบของแต่ละเวอร์ชั่นคงต้องแล้วแต่บุคคลแหละครับ สำหรับผมชอบเวอร์ชั่นแอนดรูว์มากสุด
เพราะโทนหนังวัยรุ่นและถ่ายมหานครนิวยอร์คออกมาได้สวยมากกก แต่การดำเนินเรื่องก็อย่างที่ทุกท่านคิดแหละครับ คืออืดจริง 555
ส่วนเวอร์ชั่นโทบี้ถือว่าเป็นความทรงจำวัยเด็กซะมากกว่า ผมเลยไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นความประทับใจหรือฝังใจ

ส่วนที่ผมประทับใจมากที่สุดสำหรับเวอร์ชั่นนี้มีสองอย่างครับ อย่างแรกจะคล้ายๆ กันกับสไปเดอร์แมนภาค 2 ครับ
ตรงที่ว่าเมื่อบุคคลธรรมดาต้องกลายมาเป็นตัวประหลาดในโลกที่มีแต่พวกตัวประหลาด จุดนี้เค้าจะจัดการกับชีวิตของตนอย่างไร
คือต้องเปรียบเทียบกันก่อนครับว่าปีเตอร์ ปาร์คเกอร์คือเด็กวัยรุ่นธรรมดาที่ดันได้รับพลัง เค้าไม่ใช่มหาเศรษฐีโทนี่ สตาร์คที่มีอภิสิทธิชน
มีเงินและเวลามากมายให้ไปกอบกู้โลก หรือสตีฟ โรเจอร์ที่ตั้งเป้าหมายชีวิตตั้งแต่ต้นแล้วว่าตนเองจะต้องเป็นทหาร
รวมไปถึงสมาชิกคนอื่นๆ เช่นกันครับที่แต่ละคนก็มีประวัติไม่ธรรมดากันทั้งนั้น (จริงๆ แอนท์แมนนั้นก็ใกล้เคียงกันครับ แต่เค้าเองก็ถือว่า
ถูกเลือกจากความสามารถในอดีต ไม่ใช่ว่าจู่ๆ ก็มีความสามารถขึ้นมาเลย ผมคิดว่ารวมไปถึงโรดดี้และฟัลคอนด้วยเหมือนกัน) จากใน
ภาพยนตร์เราจะเห็นว่าปีเตอร์เองก็เจอปัญหามากมาย ทั้งเป้หาย โดดสอบ หนีกักบริเวณ ผิดสัญญาเพื่อน โกหกป้า ทั้งหมดนี้คือเค้า
เสียสละชีวิตส่วนตัวของตนเพื่อมาช่วยเหลือในชีวิตส่วนตัวของผู้อื่นทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตส่วนตัวของเขาดีขึ้น
มันเป็นแค่ความสุขของการช่วยเหลือ เรื่องนี้แต่ละคนเทียบกันไม่ได้เพราะแต่ละคนก็มีปัญหาชีวิตส่วนตัวต่างกัน บางคนช่วยเพราะหวัง
จะได้รับคำชมจากอีกฝ่าย บางคนช่วยเพราะหวังแค่ได้เห็นรอยยิ้มโล่งใจของอีกฝ่าย บางทีถ้าปีเตอร์ได้รับพลังในวัยทำงาน
และมีครอบครัว เค้าอาจจะไม่กลายมาเป็นฮีโร่เพราะมองว่าไม่คุ้มกับชีวิตส่วนตัวที่เสียไปก็ได้ งั้นผมเลยถือการที่เค้าได้รับพลัง
ในช่วงวัยรุ่นคือความบังเอิญที่ลงตัวที่สุดเท่าที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ก็แล้วกันครับ

ส่วนอีกเรื่องที่ประทับใจคือ "สไปเดอร์แมน เพื่อนบ้านที่แสนดีของคุณ" คำๆ นี้เหมาะกับสไปดี้อย่างมาก คุณจะเห็นได้ว่าเค้าทั้งจับโจร
เล็กๆ น้อยๆ อย่างขโมยจักรยาน ใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็ปล้นตู้เอทีเอ็ม หรือแม้กระทั่งบอกทางคนแก่ ซึ่งผมคิดว่าคุณจะไม่ได้พบเห็นการ
ช่วยเหลือเหล่านี้จากอเวนเจอร์อย่างแน่นอน สไปดี้คือตัวแทนของคนชนชั้นกลางถึงล่างในฐานะของผู้พิทักษ์ หน้าที่ของเค้าคือสิ่งที่
ฮีโร่คนอื่นๆ มองข้าม เหตุผลที่มองข้ามเพราะมันไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่พอที่จะเข้ามาจัดการ ไอร่อนแมนคงไม่บินมาจับโจรปล้นธนาคาร
อย่างแน่นอน เพราะผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตัวเค้าคงมีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย นี่คือช่องว่างของชนชั้น สำหรับอเวนเจอร์ หากไม่ใช่
ปัญหาระดับชาติอย่างผู้ก่อการร้าย เค้าก็คงไม่คิดจะออกโรง เปรียบเทียบได้ประมาณว่าเอฟบีไอคงไม่ลงมาจัดการกับมาเฟียหมู่บ้าน
ที่คอยรังแกรีดไถชาวบ้าน ในขณะที่สไปดี้ลงมาจัดการคนเดียว เพราะเค้ารู้ว่าไม่ว่าปัญหานั้นจะเล็กน้อยมากๆ อย่างหลงทาง หรือใหญ่
ขึ้นมาอย่างโดนปล้นที่แม้มันจะเทียบสเกลไม่ได้เลยกับภารกิจของอเวนเจอร์ แต่ผู้คนที่เดือดร้อนก็ยังต้องการให้มีคนช่วยเหลืออยู่ดี
ซึ่งอายุและวุฒิภาวะของปีเตอร์ในตอนที่ได้รับพลังก็อาจมีส่วนในการตัดสินใจช่วยเหลือผู้คน แต่นี่ก็คือเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่สำคัญ
ที่สุดของสไปดี้ที่ทำให้เราหลงรักตัวละครนี้มาจนถึงปัจจุบัน

และแล้วก็เป็นเหมือนกระทู้ก่อนของผมที่เวิ่นเว้อมายาวกว่าจะเข้าเรื่องตามหัวกระทู้ 555 ขออนุญาตพาเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะครับ
หนังเรื่องนี้สะท้อนปัญหาวัยรุ่นอย่างไร? นั่นก็คือการไม่ได้รับความสนใจ ผมให้ปีเตอร์คือเด็กวัยรุ่นที่มีความชอบ ความฝัน ความสามารถ
และต้องการแสดงสิ่งนั้นให้คนยอมรับ แฮปปี้คือตัวแทนของผู้ใหญ่ที่ไม่สนใจสิ่งนั้นของเด็กและวัยรุ่นที่ต้องพูดกันตามตรงว่าเราพบเห็น
ผู้ใหญ่แบบนี้เยอะมาก และอาจจะเป็นตัวเราเองเช่นกันครับ เหตุผลที่ไม่สนใจอาจจะเป็นเพราะว่าเรามองสิ่งนั้นในมุมมองของผู้ใหญ่
ทำให้เรามองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระจนไม่ใส่ใจ หรือถ้าแบบในภาพยนตร์คือให้ความหวังกับเด็กแล้วปล่อยปละละเลยเสียอย่างนั้น
จากที่เราได้ชมกัน แฮปปี้บอกกับปีเตอร์ว่าจะติดต่อกลับไป แต่ปล่อยให้ผ่านไปจนสองเดือนแล้วก็ยังไม่ติดต่อกลับ อาจเพราะแฮปปี้มอง
ว่า "เด็กมันคงไม่คิดอะไรหรอก" ประโยคสำคัญนี้แหละครับคือประโยคที่ทำให้เกิดปัญหา ผู้ใหญ่อย่างเรามักมองว่าสิ่งที่เด็กทำมันเป็นสิ่ง
ไร้สาระ คิดว่าไว้โตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แบบเราก็จะเข้าใจ ถ้าเรามองในมุมมองผู้ใหญ่มักจะออกมาเป็นแบบนี้ แต่ถ้าเรามองในมุมมอง
ของเด็ก สำหรับเค้าแล้วมันไม่ใช่เรื่องไร้สาระครับ มันคือโลกทั้งโลกของเค้า มันคือพื้นที่ที่เค้าหวังว่าจะได้แสดงความสามารถออกมา
มันคือพื้นที่ที่เค้าหวังว่ามันจะทำให้เค้ามีตัวตนและได้รับการยอมรับทั้งจากเพื่อนฝูงหรือแม้กระทั่งคนที่เค้าเคารพ ซึ่งอาจจะเป็นผู้ใหญ่
อย่างเรานี่แหละครับ ถ้าคุณเคยโดนทำให้คาดหวังว่าจะได้รับสิ่งๆ หนึ่งแต่สุดท้ายแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย คุณน่าจะเข้าใจความรู้สึกของ
ปีเตอร์ได้ดี มันจะเกิดเป็นความรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมา ทั้งไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่นั้นดีพอหรือไม่ ไม่มั่นใจในความสามารถของตนเอง
และที่แย่ที่สุดเลยก็คือสุดท้ายเค้าจะไม่ไว้ใจผู้ใหญ่คนนั้น ถ้าเป็นถึงขั้นนั้นแล้วเราจะไม่สามารถช่วยเหลือหรือแนะนำอะไรเค้าได้อีกต่อไป
เพราะเค้าจะไม่ให้เรามีน้ำหนักในชีวิตของเค้าอีกแล้วครับ ในภาพยนตร์คือปีเตอร์คิดว่าสิ่งที่เค้าทำยังไม่ดีพอจึงไม่ได้รับการสนใจ
เค้าจึงทำอะไรที่เกินความสามารถมากขึ้นเพื่อให้ได้รับการยอมรับ และผู้ใหญ่อย่างเราๆ เองที่เป็นเหมือนแฮปปี้ก็มักจะไม่สนใจจนสุดท้าย
มันกลายเป็นปัญหาใหญ่แล้วค่อยจะมาสนใจแก้ปัญหา หรือก็คือวัวหายล้อมคอกทั้งๆ ที่มีโอกาสยับยั้งปัญหาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ
ตรงนี้จะโชคดีหน่อยที่ปีเตอร์ได้รับการเลี้ยงดูที่ดี ทำให้เค้ามีสำนึกที่ดี ไม่ไขว้เขวกลายเป็นผู้ร้ายเสียเอง แต่ในชีวิตจริงไม่ใช่ทุกคนจะ
โชคดีเช่นนี้ ถ้าเมื่อไหร่ที่เค้าไม่ไว้ใจผู้ใหญ่ สิ่งที่เค้าจะให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือเพื่อนของเค้า เหตุผลที่เพื่อนมีความสำคัญกับวัยรุ่น
เพราะเรื่องไร้สาระที่ผู้ใหญ่มองนั้น สำหรับเพื่อนแล้วมันไม่ไร้สาระ มันคือพื้นที่ที่ว่านั่น วัยรุ่นมักให้ท้ายเพื่อนกันเองอยู่แล้วเป็น
เรื่องธรรมดาและเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่อย่างเราก็ทำได้แต่กลับไม่ยอมทำกัน (อาจไม่ต้องถึงกับให้ท้ายก็ได้ครับ อาจจะสนับสนุนหรือ
ให้เหตุผล ให้ความสนก็ดีมากแล้ว) ตรงนี้พูดตามตรงครับว่าเรื่องการคบเพื่อนเป็นตัวแปรที่ผู้ใหญ่อย่างเราไม่สามารถควบคุมได้เลย
ถ้าได้เพื่อนดีก็ถือว่าโชคดีไป อย่างปีเตอร์ที่ยังมีเน็ดคอยเตือนและช่วยเหลือไม่ให้ปีเตอร์ล้ำเส้นถลำลึกจนไปไกล
แต่ถ้าได้เพื่อนไม่ดีก็คงจบออกมาไม่ต่างจากปัญหาสังคมที่เราเคยพบเห็นกัน โทนี่คือผู้ใหญ่ที่ดูเหมือนจะเข้าใจเด็ก
ซึ่งก็อาจจะเข้าใจจริงๆ แต่กลับไม่ยอมบอกเหตุผลที่ชัดเจนแก่เด็ก เรื่องบางเรื่องให้เค้าคิดหาคำตอบเองถือว่าเป็นสิ่งที่ดีครับ
แต่เรื่องบางเรื่องถ้าเค้าเข้าใจคำตอบผิดแล้วเกิดผลเสียมากกว่า ผมมองว่าคงไม่คุ้มเท่าไหร่ อย่างที่เห็นในภาพยนตร์
ก็คือฉากเรือนั่นแหละครับ และตรงนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของการทำงานระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กเช่นกันครับว่ามันต่างกัน
มากขนาดไหน ทั้งประสิทธิภาพและความกดดัน สิ่งนี้ผู้ใหญ่ควรช่วยสอนเด็กจะทำให้เด็กก้าวหน้าได้เร็วกว่าการที่เด็กเรียนรู้เองมากครับ
บางทีให้เด็กเรียนรู้เองแล้วดันแจ๊คพ็อตเจองานที่เกินความสามารถของเด็กไปมากตั้งแต่แรกๆ ผมคิดว่าผลลัพธ์คงเลวร้ายไม่ต่างจาก
เรือผ่าครึ่งซีก และพลอยทำให้เด็กหมดความั่นใจแน่ๆ ครับ

ปล. ตอนปีเตอร์ไปโรงเรียนแล้วเพลงขึ้น ผมนี่แบบ เฮ้ย! นี่มันเพลงไมค์ โอดอนเนลนี่หว่า! ฉากนี้แวบขึ้นมาทับเลย

ปล. 2 สิ่งที่ผมไม่ประทับใจอย่างแรงในหนังเลยก็คือเอ็มเจครับ คือแบบ มันไม่ได้จริงๆ อ่ะ คือผมไม่ได้เหยียดผิวนะ ถ้าสวยแบบลิซเนี่ย
โอเคเล้ย พอพิมพ์ยังงี้แล้วอาจจะกลายเป็นว่าผมเหยียดหน้าตาแทน ซึ่งอันนี้อาจจะใช่จริงๆ หรือไม่ก็เพราะผมเอาไปเทียบกับนางเอก
สองเวอร์ชั่นก่อน ถ้าอย่างนั้นเอาน้องนักข่าวเป็นนางเอกแทนได้มั้ยอ่ะ คิดในแง่ดีอยู่ว่าดูไปเรื่อยๆ อาจจะมองว่ามีเสน่ห์แล้วชอบก็ได้
เหมือนตอนดูเชอร์ล็อคตอนแรกๆ แล้วมองว่าพี่เบนหน้าแปลกกับก่อนดูคาสิโนรอยัลแล้วมองว่าพี่แดนไม่หล่อ

ปล. 3 จริงๆ ผมอยากเขียนเกี่ยวกับวัลเจอร์ด้วย แต่คิดๆ ดูแล้วเค้าก็คล้ายกับซีโม่ ต่างกันที่ซีโม่ครอบครัวตาย ส่วนวัลเจอร์ถ้าตกงาน
ครอบครัวก็เหมือนตายทั้งเป็น เอฟเฟคจะคนละแบบแต่ก็คือคนที่ได้รับผลกระทบเหมือนกัน

ปล. 4 ความอดทนคือสิ่งที่ทุกคนพึง แม้ว่าจะอดทนเพื่อสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ตาม เพราะอย่างนั้นแล้ว ผมขอขอบคุณทุกท่าน
มากครับที่อดทนอ่านจนจบ เขียนเพลินแล้วยาวมากเลย น่าจะอ่านยากหน่อยๆ ด้วย ขอบคุณมากครับ

ปล. 5 ใครมีคำแนะนำเรื่องการเว้น ย่อหน้า แนะนำได้นะครับ เผื่อมีกระทู้ต่อไปจะได้ทำให้อ่านได้สะดวกขึ้นครับ ขอบคุณมากครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่