Everest Marathon 2017 - Race Day Diary: วันเดียวไดอารี่ - จาก 3 อาทิตย์ของการแข่งมาราธอนเทรลที่สูงที่สุดบนโลก



3 อาทิตย์ของการเดินทางเปลี่ยนชีวิต กับ มาราธอนเทรลตัวโหดในฝันบนภูเขาสูงสุดของโลก

Race Day
29/May/17 (ลอกบันทึกเดิม + เติมข้อมูล)

และแล้ว และแล้ว และแล้ว...  ก็ถึงวันแข่งขันซะที หลังจากการเดินทางสุดมันส์ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา (เริ่มจากที่ Kathmandu ขึ้นเครื่องบินเล็กต่อมายัง  Lukla จากนั้นเดิน Trekking ขึ้นฟ้า เพื่อมายืนเหยียบ จุดปล่อยตัวของมาราธอนที่ Everest Base Camp)  ยังไม่รวมถึงรายละเอียด เรื่องกิน, นอน, อาบน้ำ, ขับถ่าย, เรื่องสนุกๆมากมายจากพวกเหล่ายอดมนุษย์ในกลุ่มที่เดินทางร่วมกัน, แต่ก็มีบางเรื่องให้ใจหายที่เห็นเพื่อนนักวิ่งหลายๆคนไม่สามารถไปต่อได้ ในแต่ละวันเมื่อความสูงมากขึ้น จาก Altitude sickness หรือ โรค AMS (ที่เสียดายสุดคือมีเพื่อนนักวิ่งชาวสิงคโปร์หนึ่งท่านต้องมาเสียชีวิตจากภาวะโรคความสูงนี้)

ไอ้เรา เมื่อคืนอุตส่าห์รีบเข้านอนตั้งแต่ 3ทุ่ม แต่ดันสะดุ้งตื่น 4ทุ่มครึ่ง ... (จะตื่นมาทำไมฟร่ะเนี่ย) พยายามจะนอนต่อ แต่หัวสมองดันตื่นเต้นคิดเรื่องที่จะวิ่งสารพัด ตกลงจะเอา Headlampติดไปดีมั้ย เอาเสื้อกันลม กันหิมะ ไปเผื่อดีรึเปล่า กางเกงจะใส่สั้นเพิ่มอีกตัว จากcompressionขายาวเพื่อเก็บพวกเจลไว้ทาน กะ มือถือไว้ถ่ายรูปดีมั้ย
เอ มันหนักไปมั้ยเนี่ย ฯลฯ

เวร! กว่าจะข่มใจหลับได้อีกที ร่วมตี 2 ครึ่ง ...

มีเรื่องฮาตอนกลางคืนด้วย
Tent กลุ่มB  ที่อยู่อีกฝั่งใกล้ๆ ไอเสียงดังตลอดคืน แกเลยตะโกนเรียกหาหมอ ขอยานอนหลับ หมอมาถึง Tent ถามทำไมไม่เอายาแก้ไอ ยานอนหลับทานบนนี้อันตรายนะ
ไอ้Tent นั้นตอบว่า That F__king pill is not for me but for the rest. So, they can get some proper sleep  (แปลแบบใส่ไข่ได้ว่า อั๊วไม่ได้อยากกินยา แต่คนอื่นที่ทนฟังเสียงไอและกำลังด่าในใจกันอยู่ตอนนี้ จะได้พักผ่อนหลับนอนกันซะที) 555 เฮียเค้าตอบหมอดังจนเต้นท์ข้างๆเรา (Soonja-แชมป์ยิวยิตสูกับIronman 140.6) ปล่อยก๊าก ออกมาเลย

นอนได้อีกชั่วโมงกว่าๆ ... แม่เจ้าา ตี4 ตื่นกันหมดแล้ว เสียงเดินนอกเต้นท์ เสียงพูดคุยกันลั่นจนคิดว่า มันต้องเป็นมารยาทสากลของการแข่งขันนี้แน่ๆ 😡 คือข้าตื่นเอ็งต้องตื่นด้วย 555

ว่าแต่ มันปล่อยตัว 7โมงไม่ใช่เหรอ (อยากนอนต่อ 55)


ตามกำหนดการคือ กลุ่มAของเรา(20คน)จะเข้าเต้นท์หลักทานมื้อเช้าตอนตี5ครึ่ง ส่วนกระเป๋าใส่ของซึ่งต้องหารสองจะต้องมาวางหน้าเต้นท์ของแต่ละคนก่อน 6โมงเช้า  เพื่อให้Sherpa ของกลุ่มขนลงให้เราไปยังที่พักหลังเข้าเส้นชัยที่ Namche (ไม่งั้นต้องวิ่งพร้อมสัมภาระตายพอดี แต่ยอมรับคนพื้นเมืองช่วยขนของเหล่านี้จากใจว่า แข็งแรงมากๆ คนนึงแบกของโดยเฉลี่ยคือ 40 กิโล แล้วต้องเดินขึ้นเขาเป็นสิบๆโลในสถานที่อดอยากออกซิเจนแบบนี้  อืมม...X-men ชัดๆ)
จากนั้นทีมงานแต่ละกลุ่มจะมา เก็บTent เก็บพวก Sleeping bag และของทุกอย่าง ออกจาก Everest base camp รวมทั้งเคลียร์พื้นที่ ... ช้าก่อน แต่มีงานอย่างนึง โคตรสงสารและอยากเห็นหน้าคนขนย้ายมาก คือขนของเสียที่พวกเราขับถ่ายไว้ในห้องน้ำเพื่อนำลงไปถ่ายทิ้งที่จุดของเขาข้างล่างอีกที

(**ห้องน้ำที่Everest Base Campนี่ จะเป็นเต้นท์เล็กๆมีซิบรูดปิด เปิด (จะเข้าแต่ละทีต้องตะโกนถามกันก่อน Anyone inside? บางคนตัดปัญหาเข้าไปนั่งปั๊ปร้องเพลงเลย 555 ข้างในจะมีถังพลาสติกขุดฝังดินไว้ แล้วมีถุงพลาสติกแบบถุงดำบ้านเรา ใส่รองอีกชั้น พอเต็มก็จะมีคนมาเปลี่ยน ไอ้ถุงพลาสติกพวกนี้แหละที่ต้องบรรทุกขึ้นหลังขนไปทิ้งข้างล่าง เอิ้กกก 😅)

กลับมาที่การเตรียมตัวหลังตื่น ขอบอกว่าระบมหลังมาก เพราะใต้ผ้าใบเต้นท์นอนเป็นหินตะปุ่มตะป่ำกระจายเต็มไปหมด ถุงนอนเราเอาไม่อยู่, หนาวมากอุณหภูมิประมาณ -5C ในช่วงเช้ามืดแบบนี้ ขนาดใส่เสื้อผ้าเตรียมตัวรอไว้ก่อนแล้ว ไม่อยากโผล่ไปนอกเต้นท์เลย แต่ก็ต้องฝืนไปเข้าห้องน้ำเพราะรู้ว่าเป็นจุดอ่อนหลักของเรา. ส่วนมื้อเช้ากับกลุ่ม เลี่ยงที่ไม่ทาน เพราะกลัวปัญหาจาก exercise induce แต่ก็กินPower Bar กะ กล้วยอบแห้งที่ขนจากไทยไปแทน
และอีกหนึ่งมารยาทที่ไม่ได้บังคับ แต่ทุกกลุ่มนักวิ่งทำเหมือนกันคือรวมเงินเอาเงินไปทิปให้คนทำอาหารของทาง Everest Base camp

ส่วน Buddy ขึ้นเขาตลอดทางของการแข่งในครั้งนี้ วัย 55 เจ้าคุณ Brad ชาวแคนาดา ตื่นเอาของมายัดใส่กระเป๋าหารสองตั้งแต่ก่อนตี5 บอกไม่ได้นอนเลย ... ตื่นเต้นกลัวจะไม่ตื่น เดี๋ยวอดวิ่ง 555

(**เรื่องกระเป๋านี่ Organizer จะจัดให้คนละใบตั้งแต่ก่อนออกเดินทางจากKathmandu ซึ่งทาง Organizer กำหนดกฏเกณฑ์ก่อนจะเดินทางมา Lukla ว่าน้ำหนักกระเป็าห้ามเกิน 15kg, เจอกติกานี้เข้าไป บรรดาของจิปาถะ ของกินที่เราขนมาแทบจะกองไว้ที่โรงแรมเมืองแรกนั่นทุกรายการ / ส่วนที่บอกนโยบายกระเป๋าหารสองเพราะตอน 27-May ที่Gorakshep มีการจัดการให้ Sherpaขนของลงไปยังจุดเส้นชัยก่อนล่วงหน้า เหมือนเป็นม้าเร็วกลุ่มแรก ขนใบหารสองชุดแรก เพื่อลดภาระการขนกลับในวันแข่ง และพอนักวิ่งถึงสามารถเปลี่ยนชุดอาบน้ำได้ ไม่ต้องรอกระเป๋าจากEBC กันอยู่)

***EBC : Everest Base Camp

ไปจ่ายทิปค่าอาหารเสร็จ กลับมาแพ็คของ เปลี่ยนชุด เตรียมตัว 555 ตื่นเต้นหยั่งกะไปสอบ Entrance ตอนสมัยมัธยม

ก่อน 6โมงครึ่ง ทุกคนเดินไปรอที่จุดStart, บรรดาเสื้อกันหนาว-กางเกงกันหนาว-Hood คลุมศีรษะ ฯลฯที่แต่ละคนใส่กันหนาวยืนสั่นกึกๆกันอยู่ จะมีStaffsของกลุ่ม เตรียมกระเป๋าใหญ่ให้ถอดเก็บก่อนการปล่อยตัวประมาณ 10 นาที (หนาวมากต้องใส่เต็มยศให้ความอบอุ่น)

เรามาอออยู่หน้าริบบิ้นปล่อยตัวกับพวกตัวเก็งของงานได้ไงก้อ ไม่รู้ ทั้งทีมชาติเนปาล ทั้งพวกเซียนๆตัวเก็งของกลุ่ม international มีเจ้าFabrice เทพเบอร์1ของกลุ่มเรามายืนอยู่ข้างๆ (คือจริงๆตั้งใจจะออกตัวในตำแหน่งที่หิมะ หิน และ แอ่งธารน้ำขวางน้อยที่สุด จากที่มาส่องดูทำเลเมื่อวาน ... 555 คิดว่าตัวเองฉลาดอยู่คนเดียวรึไง)
เป็นครั้งแรกที่แข่งโดยที่แทบไม่มีการวอร์มอัพเลย dynamic streching ได้ทำแค่2-3ท่า จากสภาพพื้นที่ที่ไม่อำนวยทั้งหินแหลม ลื่นและเต็มไปด้วยหิมะ

Ricky คนดูแลกลุ่มเรา เป็นกรรมการปล่อยตัว นี่ก็เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่นับถอยหลังอยู่ Ten ...Nine... Eight ...
แม่ม พุ่งออกกันหมดแล้ว (ยิ้มฟังเป็น 1 -2-3 แล้วไปได้ รึไงเนี่ย) เรายังงงๆ ยืนเฉยๆอยู่ เพราะนึกว่าฟาวล์ เดี๋ยวต้องเรียกมาstartใหม่ ที่ไหนได้ ปล่อยเลยตามเลย ... มองรอบๆ คนวิ่งกันหมดแล้ว เสร็จเลย ที่เลือกตำแหน่งนี้ เพราะจะได้ออกตัวก่อน โดยไม่ต้องหลบหิน หลบแอ่งน้ำ แต่ตอนนี้คนมาบังเต็มไปหมดแล้ว

เอาฟร่ะ ก้อดี จะได้ไม่ต้องออกตัวเร็วมาก ขนาดออกตัวช้าๆยังรู้สึกว่าหายใจลำบากเลย ทางเป็นหิน และหิมะ ล้วนๆ ไหนบอกวิ่งลงเขาไง กรูเห็นขึ้นแล้วขึ้นอีกตลอดทาง
ด้วยความที่ทางแคบมาก แทบจะต้องวิ่งเรียงหนึ่งในช่วงแรก (น่าจะเกินครึ่งของเส้นทาง ด้านหนึ่งมักเป็นเหวเป็นชะง่อนผา อัดแข่งกันมาเร็วๆ ถ้าลื่นหรือก้าวพลาดตกลงไปนี่ อาจมีสวดอภิธรรมที่ต่างประเทศ)

ขอยอมรับว่าตอนวิ่งไต่เนินขึ้นเขาในช่วงแรกๆแต่ละทีนี่ มีพยายามส่งกระแสจิตไปหานักวิ่งคนข้างหน้าว่า ไม่เก็บแรงเดินหน่อยรึครับ เดินขึ้นเถอะ เดิน ผมอยากคลานแล้ว 55
ชันมาก อะไรจะชันได้ชันดีขนาดนี้ แถมออกซิเจนในการหายใจน้อยจนจังหวะวิ่งเสียไปหมด

พวกเจ้าถิ่นนักวิ่งเนปาลนี่เหมือนได้เปรียบมากๆ จากความคุ้นชินทั้งสภาพพื้นผิวที่วิ่ง สภาพภูมิประเทศและโดยเฉพาะการหายใจในภาวะอากาศเบาบาง นักวิ่งเนปาล ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ที่วิ่งผ่านเราไป หน้าตาเหมือนกำลังเดินชอปปิ้งในห้าง ไอ้ที่เป็นช็อตช้ำใจคือการพยายามวิ่งจี้ตูดตามนักวิ่งเนปาลตัวท้วมใหญ่ท่านนึง (สูงไม่เกิน 165 แต่นน. 90++) คือลักษณะแบบมาวิ่งเล่นเอาสนุก วิ่งไปทักคนโน้นคนนี้ไป ยิ้มไปตลอดทาง เพจขณะนั้นคือ 7:40 นาที/กม เพื่อนๆนักวิ่งไทยคงยิ้ม ว่า หุ หุ วิ่งหยั่งกะเดิน แต่อย่าลืมว่านี่คือเพจขึ้นเขา ในที่ออกซิเจนในอากาศน้อยกว่า 50% ที่ความสูง 5350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
สำหรับเราคืออ้าปากพะงาบๆ เหนื่อยแบบนึกว่าซ้อมวิ่ง speed work 400 เมตรอยู่... และแล้วพอเจอขึ้นเนินอีกรอบ ม่ายหวาย ขอเดินขึ้นล่ะ พี่อ้วนแกหันหน้าลงมามอง แล้วบอก common, this is an easy one! (฿#%*^*!! Damm อยากตะโกนสวนกลับว่า "ไปตายก่อนเลยครับ" แต่พูดไม่ออก เพราะเอาแค่หายใจตอนนั้น ถ้าฝากคนข้างๆช่วยหายใจแทนได้นี่ กูยอมจ่ายตังค์เเล้ว 😂 จริงๆตอนนั้นอยากจะหยิบกล้องมาถ่ายรูปพี่อ้วนแกเก็บไว้เป็นแรงบันดาลใจ กับ ให้เพื่อนที่ชอบอ้างอุปสรรคเรื่องรูปร่างในการออกกำลังดู แต่จังหวะนั้นทางวิ่งมันเรียงหนึ่ง หยุดปั๊ปขวางข้างหลังทันที แล้วดันมาอยู่กลุ่มกลางถึงหน้าๆในช่วงแรกแบบนี้ รักษาความเร็วแค่ดึงขาแต่ละข้างให้ก้าวบี้คนนำเราตามขึ้นเขาไปเรื่อยๆก็โคตรเมื่อยแล้ว
ทางในหลายๆช่วงต้องระวังมากๆ เพราะเป็นหินตลอด แล้วอีกด้านนึงมักจะเป็นเนินเหว วิ่งแต่ละก้าวนี่ต้องมองพื้นสลับมองทางข้างหน้า

วิ่งจาก Base Camp มายังจุดให้น้ำจุดแรกที่ Gorakshep ตอนผ่าน Gorakshep นี่เหลือบตามองขึ้นไปตรงทางขึ้น Kalapathar (จุดที่สูงสุดในการเดินทางครั้งนี้ 5545 เมตร ที่เพิ่งขึ้นไปถ่ายภาพเมื่อ2วันก่อน) บอกกับตัวเองเลยว่า เห้ย ตอนนี้มันเตี้ยกว่าตั้งเยอะ ยากกว่านี้ก้อผ่านมาแล้ว ... ไสยศาสตร์มีจริง! ทำไมเหมือนมันรู้สึกหายใจง่ายขึ้น ต้องยอมรับว่าวิธีคิดของคนเรานี่มันมีผลมากๆ เร่งบี้แซงช่วงนี้ได้ร่วม 5คน ระยะห่างระหว่างบุคคลเริ่มเยอะมากขึ้น วิ่งต่อมายัง Lobuche มา Thukla (ระดับความสูงประมาณ 4600 เหนือน้ำทะเล) เริ่มค่อยๆคุมการหายใจได้ดีขึ้น วิวสุดลูกหูลูกตา กับความรู้สึกของความสุขที่ได้มา ได้ทำสิ่งที่กำลังทำอยู่...มันไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดยังไง จาก Thukla คว้าน้ำที่จุด check point มา 2ขวด เพราะจำได้ว่าช่วงนี้ตอนเดินขึ้น ถ้าไม่มีลมภูเขาเย็นๆ แทบจะเหมือนอยู่กลางทะเลทรายดีๆนี่เอง ไอ้ที่ตลกคือกลุ่มวิ่งเราตอนนี้  มีเกาะกันอยู่ 4 คน พอมีคนนึงหยุดเดิน ทุกคนหยุดตาม พอมีใครวิ่งปั๊ปก้อจะวิ่งตามกันต่อ แบบเหนื่อยพร้อมเดินแต่จะไม่ยอมถูกทิ้ง 555
แล้วก้อถึงจุดขึ้นเนิน ก่อนทางดิ่งทิ้งลง Dingboche (เรามาโกยเอาช่วงนี้หละ) เพื่อจะหักขึ้นค่อยๆไต่ระดับอีกทีวิ่งลุยไปยัง Bibre ซึ่งจะเป็นLoop กลับตัวของครึ่งทาง (21.5 กม.) เข้าจุดCheck point รับสายข้อมือสีเขียว (ไม่มี ระบบชิพจับเวลา นะครับงานนี้)
จุดหนักเรามาเริ่มตอน กม.ที่ 16 ตอนต้องไปวนLoopกลับตัว 6กม. (ครึ่งทางที่กม.21) จากทางที่เริ่มเอียงชันขึ้นแบบไม่รู้ตัว พร้อมกับเห็นเพื่อนๆนักวิ่งที่สวนมา เจอ 3 ตัวเทพของกลุ่ม(Mike,Erkki,Kristo) กับ Nick (Ironman 140.6 ที่เป็น roommate เก่า กลุ่มB ตอนอยู่ Kathmandu) พวกนี้กลับตัวก่อน Hi5แปะมือ ทักระหว่างทาง แต่เราขาล้าเริ่มมีการเดินผสมแล้ว
พอจุดกลับตัวรับสายรัดข้อมือ ต้องนั่งพัก2นาที แล้วงัดเม็ดเกลือมากินช่วยป้องกันตะคริว (โดน Macin เดินแซงก่อนถึงจุดกลับตัว) พอออกมาจากจุดกลับตัวแล้วนี่แหละเจอเพื่อนทะยอยวิ่งมาเยอะแยะ Brad, Jeff, Alex, Collin, Debbie, Norman, Yani& Rya, Brian, Tyler...etc เจอ Soonja เป็นคนสุดท้ายตรงจุดโค้งให้น้ำ ที่พยายามเริ่มเดินสลับวิ่ง แล้วแวะปัสสาวะข้างทาง(เป็นครั้งแรกที่อั้นได้เกิน 20 โล 555)
พอมาถึงจุดให้อาหารจุดแรก เลือกจะไม่ทานแค่ดื่มน้ำส้ม กับอัดเม็ดเกลือรอบสอง เพราะนัดSundeep (Staff)ของกลุ่ม ให้ไปรอเจอที่ Pangboche อีกแค่5โล เพื่อช่วยถ่ายรูปและฝากอาหารเจลกับsticks ไม้ค้ำเดินขึ้นเขาไว้

เวร!มาถึง Pangboche ไม่เจอใคร ท้องร้องครืดอย่างชัดเจนเพราะมื้อเช้าก้อไม่ได้กิน ผิดแผนอย่างแรงเพราะถัดไปคือจุดโหดขึ้นเขาก่อน monastery ที่ Tengboche โดยจะไม่มี ไม้ค้ำ ช่วย
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่