Must Be There: Annapurna Base Camp (ABC)

Annapurna Base Camp (ABC) การเดินเขาครั้งแรกในชีวิต เพื่อค้นหาความหมายของการใช้ชีวิต


มีคนเคยบอกผมว่า ถ้าอกหักแล้วยากหายให้ไปเดินเขาหิมาลัย และคนๆเดิมบอกผมว่า ชีวิตนี้เราควรต้องลองสิ่งใหม่ สิ่งท้าท้ายในชีวิตเพื่อค้นหาความหมายของการใช้ชีวิต วันนี้คือวันที่ผมจะเริ่มความท้าทายใหม่ของชีวิต กับการเดินขึ้นเขาหิมาลัย เขาที่สูงที่สุดในโลก แต่เป้าหมายผมไม่ได้อยู่ที่ยอดเขาเพียงแต่ base camp การเดินทางจาก Kathmandu เมืองหลวงของประเทศเนปาน นั้นต้องนั่งเครืองบินเล็ก และใบพัดขนาด 18 ที่นั่ง ผมจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ผมนั่งเครืองบินแบบนี้คือ จุดเริ่มต้นของการกลัวเครืองบินของผม ย้อนกลับไปเมื่อ 18 ปีก่อน ผมนั่งเครืองบินเล็กขนาด 18 ที่นั่งที่อเมริกาเครื่องสั่นและตกหลุมอากาศ บ่อยมาก จนผมเกิดอาการกลัวเครืองบิน จากวันนั้น ผม ต้องใช้เวลากว่า 10 ปี เพื่อกลับมานั่งเครืองบินอีกครั้งเพราะผมกลัว  แต่ผมก็ไม่นั่งเครืองบินใบพัดอีกเลย

แต่วันนี้ผมจะนั่งมันอีกครั้ง เพราะความฝันของผมที่ว่า สักครั้งในชีวิต ได้ปีนเขา หิมาลัย แต่ถ้าความกลัว ยังขังผมไว้ผมคงไม่มีทางทำตามความฝันได้ ผมการเครืองขึ้นพนักงานก้เิน แจกลูกอม กับสำลีเอาไว้อุดหู จากนั้นก็เตรียมขึ้นนั่งสวดมนต์ตลอด 10 นาทีแรก ตอนเครืองขึ้น แต่แล้ว ภาพจากนอกหน้าต่างก็ทำให้ผมมั่นใจว่าสิ่งที่ผมมานั้นไม่ใช่ฝันอีกต่อไป ภาพข้างหน้าต่างนั้นก็คือ ยอดเขาเอวเรส บนความสูง 8,848 เมตร นี้คือรางวัลแรกที่ผมมอบให้กับตัวเองที่เอาชนะความกลัวการนั่งเครืองบิน เอาชนะความขี้เกลียจที่คิดว่าไม่มีทางมาที่นี้ได้


เพียงแค่ 30 นาที เครืองบินก้พาเรามาถึงเมืองกัสมันดุ เป็นเวลาเดินทางที่รวดเร็วมาก เพราะว่าถ้าเรา มาทางรถยนต์จะต้องใช้เวลาเดินทางนานถึง 10 ชัวโมงเพราะถนนที่เล็กและรถที่มาก เมื่อถึงที่นี้แล้วเราก็นั่งรถไปยังจุดเริ่มเดิน ผมตื่นเต้นมาก ผมไม่แน่ใจว่าจะเดินถึงเป้าหมายไหม เพราะนี้คือครั้งแรกของผมในการเดินเขา


ผมเริ่มออกเดินเท้า ข้ามเขาลูกแรก ระหว่างทางต้นไม้ และแม่น้ำดูสวยสดชื่น พอเดินไปซักพัก เริ่มเหนื่อยมาก นี้เป็นครั้งแรกที่ผมเดินเขา หากไม่นับภูกระดึง ตอนแรกนั้น ผมตื่นเต้นมาก เดินเร็วอยากให้ถึงยอดเร็วๆ (ทั้งๆที่ต้องใช้เวลาเกือบ 13 วันกว่าจะถึง) ผ่านไป 2 ชัวโมงผมเหนื่อยมาก ผมนั่งพักและคุยกับลูกหาบ ลูบหาบผมชื่อจีบี เป็นคนเนปาน ผมถามจีบีว่า เหนื่อยไหม เพราะเขาแบกของหนักกว่าผมอีก เขาบอกว่า ยังไม่เหนื่อย และ ที่ผมเหนื่อยเพราะผมเอาใจไปอยู่ยอดเขา ถ้าเอาใจมาอยู่ระหว่างทาง ผมจะหายเหนื่อยทันที่ จบประโยคนั้นเท่านั้นเอง ผมเริ่มได้ยินเสียงนก เสียงลม เสียงแมลง เสียงน้ำตก ผมเริ่มให้ความสุขทางใจโดยมองความสวยระหว่างทางแค่นั้นเอง ความเหนื่อยทางกาย หายไปเยอะเลย เพราะทางที่เดินเป็นบันไดหินซะส่วนใหญ่ แต่สองข้างทางสวยจับตา เพราะเป็นหุบเขาซ่อนกันไป ระหว่างทางก็มีหมู่บ้านชาวเขา ค่อยทักทาย นามัสเต นามัสเต ตลอดทาง เราแวะทานข้าวตามหมู่บ้าน อาหารจะเป็นชนเมือง ที่ไม่เน้นเนื้อสัตว์ส่วนใหญ่จะเป็น มัน และผัก ที่เขาปลูกเอง


ผมได้ขอเข้าไปดูในครัวชาวเนปาน เป็นสภาพสะอาด แต่ทุกอย่างยังทำมาจาก ดินเผ่า อยู่ ที่ผมขอเข้าไปดูเพราะเราสั่งอาหาร ไข่เจียว ผัดผัก และข้าวผัด แต่ชั่วโมงหนึ่งก็ยังไม่เสร็จ เลยขอเข้าไปดู เขาทำอาหารด้วย ความ slow life มาก ค่อยๆทำ ไม่เร่งไม่รีบ และที่สำคัญ เขายิ้มไปทำไป ดูชีวิตเขาย่อมมีความสุข ผมถามเขาว่า เขาอยู่ที่นี้เป็นไงบ้าง เขาบอกว่า มีความสุขดี เพราะ ทุกวันเขาจะได้เห็น คนที่มาตามความฝัน ผ่านบ้านเขาทุกวัน แม้เขาไม่ได้เดินไปสุดเหมือนนักท่องเที่ยว แต่นักท่องเที่ยวต้องกินข้าวจากเขา เพื่อไปตามความฝัน ก็เท่ากับเขาช่วยให้นักท่องเที่ยวตามความฝันได้

ผมนั่งอยู่พักระหว่างทางเป็น บ้านหลังเล็กๆ มุงด้วยสังกาสี หน้าต่างไม้เก่าๆ กับฝาบ้านที่ทำจากไม้อัด แต่ ภาพที่มิงออกไป นั้น คือวิวเทือกเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก สวยจับใจ กับอากาศที่หนาวประมาณ 15 องศา วันนี้ผมเดินทั้งหมด 8 ชัวโมง ก็มาถึงที่หมาย เหนื่อยมาก เพราะเป็นการเดินเขาครั้งแรกของผม


ผู้นำทางของผมทริปนี้มีชื่อว่าโพนา เขาเป็นคนเนปานแต่กำเนิด และเป็นคนที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา ระหว่างเดินทางเพื่อขึ้นไปจุดแรก คือ Ghorepani ที่นั้นจะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่บนความสูง 2,864 เมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 8 ชั่วโมง จากจุดเริ่มต้นของผม ที่ 1,500 เมตร ระหว่างทางเป็นป่า และน้ำตกสวยงามมาก จุดที่ผมจะไป Ghorepani นั้น มีจุดชมวิว ชื่อว่า Poonhill ซึ่งจุดนนี้เราจะเห็นยอดเขา เกือบ 10 ยอดเขา และ มี 2 ยอดเขาที่สุดกว่า 8,000 เมตร ซึ่งทั้งโลกมียอดเขาที่สูงกว่า 8,000 เมตร อยู่ประมาณ 14 ลูก และที่ Poonhill นี้สามารถมองเห็น 2 ลูกพร้อมกัน แต่การจะขึ้นไป Poonhill นั้นเราต้องตื่นตี 4 แล้ว เดินขึ้นประมาณ 1 ชัวโมง บนความสูง 3180 เมตร ที่ตรงนั้นเป็น พาโนรามา วิว และเฝ้าดูพระอาทิตย์ขึ้น


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ระหว่างทางที่เดินทางไปยัง Annapurna base camp นั้น มีจุดที่เรียกว่า Gurang Hill ที่นี้เป็นจุดที่ผมมองว่า ไม่แพ้ Poonhill เลย เป็นทางเดินระหว่างทางที่ผมจะเดินไปยัง Tadapani ผมแวะนั่งดูวิว ถ่ายรูปนี้นานมาก เพราะที่นี้ สามารถมองเห็น ยอดเขาที่สูงถึง 8,000 เมตร ได้ทั้งสอง ยอดคือ Dhaulagiri สูง 8171 เมตร และ Annapurna 8,091เมตร ที่ผมบอกว่าที่นี้สวยเพราะ ที่นี่ไม่มีคนเลย ไม่เหมือน Poonhill ที่มีหลายร้อยคน ผมนั่งคุยกับโพนา ไกด์นำทางผมว่าเขาขึ้นมาที่นี้กี่รอบแล้ว เขาบอกมากกว่า 5 รอบ และ base camp มากกว่า 10 รอบ ผมถามเขาว่าไม่เหนื่อยเหรอ เขาตอบผมว่าเหนื่อย แต่คุณมองไปข้างหน้าสิคุมค่าความเหนื่อยไหม ผมบอกคุ้มแต่ให้มาบ่อยๆ อาจไม่คุ้ม เขาบอก ว่า มีคนมากมายบนโลกนนี้อยากมาเห็นด้วยตา แต่มีคนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่มาถึง และหนึ่งในจำนวนนั้น เขาบอกว่า เขาเห็นเป็น 10 ครั้ง ผมได้แต่คิดว่า เขาได้ทำในสิ่งที่เขารัก มันคือความสุขในตัว และ ความสุขของโพนาไม่ใช่แค่มาดูยอดเขานี้ แต่คือการเดินระหว่างทางมาที่นี้ด้วย และที่นี้ก็เป็นเพียงระหว่างทางที่ผมจะเดินไปยัง Annapurna base camp (abc) แต่เป้าหมายผมคือการปีน ขึ้นเหนือ Base camp ไปอีก 400 เมตร เพื่อไปปักธงชาติไทยบนยอด แต่ค่อนข้างอันตรายและชั้นมาก เพราะเราจะต้องปีน ให้ทันเวลาเนื่องจาก สภาพอากาศที่นั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และ เราจะต้องขึ้นไปจาก base camp สูงกว่าตึกใบหยกอีก


แค่ระหว่างทางยังสวยขนาดนนี้เลย แม้ปลายทางจะเป็นอย่างไรก็คุ้มแล้วที่ได้มาเดิน แค่ได้มองยอดเขาทั้งสองก็มีกำลังใจในการเดินต่อ เพราะ เป้าหมายคือ ผมจะได้เข้าใกล้ทั้งสองยอดเขา เพียง แค่หิมะที่กั้นเราไ้ว้ แม้จะรู้สึกว่ายังอีกไกลกว่าจะถึง


วันนี้ผมเข้าใจนิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าแล้ว ว่าทำไหม เต่าถึงชนะกระต่าย เพราะผมและลูกหาบนั้น บอกได้เลยว่าคนละ speech ผมเดินเร็วกว่ามาก แต่ผมก็หยุดบ่อยมากเช่นกัน หยุดเพราะเดินเร็วและเหนื่อยเร็ว หยุดเพราะถ่ายรูป แต่ทุกครั้งที่ถึงจุดพักกินข้าว หรือจุดพัก ผมจะเจอ เจบี ลูกหาบของผมจะนั่งรอผมเสมอ เขาเดินช้าๆเพราะของที่หนักแต่เขาไม่หยุดเดิน ค่อยๆเดินถึงแน่นอน ทำให้ผมคิดถึงคำพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า บุญเพียงน้อยนิดเราก็ไม่ควรละเลย หยดน้ำที่ละหยดทำให้ถังน้ำเต็มได้ฉันใด เราก็ไม่ควรประมาทว่าบุญน้อยนิดเลยไม่ทำฉันนั้น


ระหว่างทางที่เดินมาที่พัก สองข้างทางสวยงามมาก ผมเริ่มสนุกกับการได้เดินเขาครัเงแรกในชีวิต มันเห็นธรรมชาติ เห็น ภูเขา เห็นแม่น้ำ เห็นต้นไม้ ทุกอย่างมันสวยงาม เมื่อระยะห่างกำลังดี ผมเดินไปมองสิ่งต่างๆรอบตัวไป แม้เหนื่อย แต่มันกลับหลังไม่ทันแล้ว ได้แต่ มีความสุขกับทุกก้าวที่เดินก็พอแล้ว ผมถามโพนาว่าอีกไกลไหม เขาตอบผมว่า อย่ารู้เลยรู้แล้วท้อ แค่เดินไป ดูธรรมชาติไป ก็พอ ผมก็ทำตาม แต่ก็แอบมองข้างหน้าไปเรื่อยๆ บางช่วงชั้นมาก ก็ท้อ ก็เหนื่อย แต่ก็สวย ผมเดินข้ามเขาประมาณ 3 ลูกได้วันนี้ ระยะเดินทาประมาณ 19 กิโลเมตร เมือถึงที่พัก ก็เป็นบ้านเล็กๆ แต่วิวสวยมาก แต่ผมร่างกายไม่เอื้ออำนวยแล้วจึงขอตัวไปพักก่อน


ระหว่างเดินผมได้พบกับครอบครัวชาวอังกฤษ เขามาด้วยกัน ทั้งหมด 4 คน Tessy ผู้เป็นแม่ บอกผมว่านี้เป็นเดินทางมาที่นี้ครั้งที่ 4 แล้ว และครั้งแรกที่มา มาเดินกับเพื่อนๆแล้วชอบ ครั้งที่สองชวนสามีมาด้วย ครั้งที่สามพาลูกสาวมาด้วย และครั้งนี้พาแฟนลูกสาวมาด้วย

ผมได้แต่คิดในใจว่า จะรักลูกสาวบ้านนี้ทั้งที่ต้องอาศัยความพยายามด้วย ไม่ถึงยอดเขาก็อดไป หรืออ่อนแอก็แพ้ ไป การเดินทางของ ครอบครัว Tessy ดีมากๆคือ ห้ามเอาโทรศัพท์มา ไม่ใช่แค่ปิดโทรศัพท์แต่คือห้ามเอามาด้วยเลย ห้ามกินเนื้อสัตว์ทุกชนิด เป็นการใช้ชีวิตที่อยู่กับธรรมชาติมากๆ ดูครอบครัวของเธอจะมีความสุขกับกิจกรรมนี้มากรวมทั้งว่าที่ลูกเขยของเขาด้วย

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ผมแอบชอบบ้านนี้มาก ดูทำกิจกรรมร่วมกันและเป็นกิจกรรมที่ยิ่งใหญ่แลพต้องอาศัยแรงกายแรงใจด้วย และดูทุกคนมีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตร่งมกัน ทำสิ่งที่รักร่วมกันและที่สำคัญ การได้เห็นวิวที่สวยๆมงามๆ ระดับนี้ ถ้าได้มีคนที่รักนั่งข้างๆ แล้วผลัดกันเล่าเรื่องให้ฟัง ความสวยงามนี้คงเพิ่มขึ้นเป็น 10 ครั้ง เพราะ ทุกครั้งที่ผมเห็นวิวสวยๆ งามๆ ผมได้แต่ถ่ายรูปแล้วส่งไปให้คนที่ผมรักดู พอดูจากรูปความสวยคงลดลงครึ่งหนึ่งหรือมากกว่านั้น


ช่วงบ่ายของวันที่ 5 ของการเดินทางนี้ เมฆฝนเริ่มมา เรารีบเดินให้ถึงที่พัก ที่ต่อไป และฝนก็ตกหนักมาก แต่ฝนไม่ได้ตกหนักแบบธรรมดา มีลูกเห็บตกเต็มไปหมด แต่เราโชคดดีมากมีที่หลบ แม้จะเปียก แต่ก็ไม่ต่องเจ็บตัวเพราะลูกเห็บ โพนา ไกด์ผู้นำทางบอกว่าที่นี่เริ่มเข้าใกล้ base camp แล้ว ภูมิอากาศอาจเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราจึงต้องเตรียม เสื้อกันฝน เสื้อกันหนาว เสื้อธรรมดา แต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเราจะเริ่มไต่ความสูงประมาณ 3,200 เมตร และจากความสูงนี้ชาว เนปาน เขาจะนับถือภูเขาเป็นอันมาก เขาจะห้ามเราเอาเนื้อสัตว์ขึ้นจากนี้ไป เพราะถือว่าไม่เคารพต่อภูเขา ผมนี้คงได้กินแต่ผักกับไข่แล้วละต่อจากนี้ และ อีก 2 วัน ผมจะเดินถึง base camp แล้ว ดีใจเท่าบ้าน


เราเดินทางมาถึง Chhomrong ที่นี่สวยมากๆ วิวด้านหลังเป็นแบบภูเขาซ่อนกันสวยงามจับใจ ด้านหน้าก็เป็นภูเขาซ่อนกันเช่นกันแต่ตรงกลางมี เขา Annapurna ที่ความสูงกว่า 8,000 เมตร ตั้งตระหง่านสวยงาม มาก ผมได้แต่ยืนมองความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ภูมิอากาศเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไกด์บอกผมว่า เราอาจจะเจอหิมะได้ให้เตรียม ชุดกันหนาว -5 องศา ไว้ด้วย ร่างกายผมที่ไม่ค่อยได้พักเท่าไหร่ บวกกับ อาหารก็มีแต่ผัก ไม่แน่ใจจะไหวหรือไม่ ผมคิดกลับไปว่านี้คือการเดินเขาครั้งแรกในชีวิต ถ้าย้อนกลับว่าให้เลือกใหม่ ผมก็ยังจะเลือกมาอีกอยู่ดี เพราะระหว่างทางมันสวยจริงๆ ยิ่งสูง วิวยิ่งสวย ยิ่งสูงความท้าทายยิ่งมากมาย อีกไม่กี่วันผมก็คงถึง base camp แล้วเมื่อถึงจะต้องเอาธงไทยไปปัก บนความสูง 400 เมตร เหนือ Base Camp

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่