วันก่อนเจอคนแชร์ในไลน์ ส่งมาให้ดูว่ามีบริษัทแห่งหนึ่งบอกว่าสามารถ
ค้นหาศักยภาพสมองผ่านลายนิ้วมือได้ ผมรู้สึกแปลกใจ พร้อมกับนึกในใจว่า 'เอ๊ะ? นี่มันอะไรเนี่ย?'
บริษัทแห่งนั้นมีชื่อว่า
Brainergy Thailand มีออฟฟิศตั้งอยู่ใจกลางเมือง เปิดให้บริการทุกวัน
คือตัวผมไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์โดยตรง ถ้าผมเขียนตรงไหนผิดก็โต้แย้งได้นะครับ ถ้าใครมีข้อมูลเสริมตรงไหนก็รบกวนชี้แนะด้วยครับ
ผมเข้าไปหาข้อมูลจากในเฟซบุ๊ก
https://www.facebook.com/Brainergy-Thailand-1157794020902235/ และทางเวปเพจ
http://www.brainergythailand.com/ ในเพจมีการให้ข้อมูลเรื่องการเลี้ยงลูกที่น่าเชื่อถือ มีการสอนถึงหลักจิตวิทยา มีการอ้างอิงถึงหลักการต่างๆ หรือกระทั่งแนะนำหนังสือขายดีของครูหงษ์ที่พูดเรื่องเดียวกัน เพื่อที่จะตบท้ายให้การสมัครมาสแกนนิ้วดูน่าเชื่อถือและมีหลักการ ยิ่งดูไปก็รู้สึกถึงความมั่วที่ลงตัวและแนบเนียนของธุรกิจนี้ จับแมะมาผสมแบะได้อย่างกลมกล่อมทีเดียว
1.สามารถหาความสามารถที่แท้ทรูในสมองของตัวเราได้ "ผ่านการสแกนลายนิ้วมือทั้งสิบนิ้ว"
2.ศาสตร์ที่ใช้ชื่อว่า DMIA [Dermatoglyphics Multiple Intelligence Analysis]
3.ประมาณว่ามีฐานข้อมูลที่ยิ่งใหญ่ เก็บข้อมูลลายนิ้วมือจากคนทั่วโลกกว่าสามสิบล้านคน แล้วจัดประเภทออกมา
4.เมื่อเราไปสแกนลายนิ้วมือ นิ้วมือของเราก็จะถูกเอาไปเทียบกับฐานข้อมูลที่มีอยู่
5.รอสักครู่ เราจะได้
แฟ้มชีวิตส่วนตัวที่จะบอกว่า 'เราเป็นใคร' 'มีศักยภาพสมองอย่างไร' 'มี IQ, EQเท่าไหร่' 'มีพหุปัญญาด้านไหน' 'เปรียบเรากับสัตว์ชนิดใด'
จากนั้นไม่นานก็มีรายการทีวีหนึ่ง ซึ่งก็คือรายการ Today Show ของคุณไตรภพ ออกอากาศเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2560

ในรายการคุณไตรภพได้นำแขกรับเชิญชื่อว่าครูหงษ์ มาออกรายการ ผมลองหยิบหูฟังมาสวมแล้วใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการนั่งฟังรายการนั้นย้อนหลังผ่านยูทูปอย่างตั้งใจ
พอดูจบก็มีคำถามคาใจมากมายเต็มไปหมด นี่มันน่าจะเป็นวิทยาศาสตร์เทียมนี่นา คุ้นจังเลย คล้ายกับเรื่องฉาวคราวก่อนในพันทิปที่ชื่อ Power Mind Camp (ใช้สมองส่วนกลางในการมองทะลุผ้าเมื่อปี 53)
ข้อสงสัยของผมมีดังนี้
1.ทำไมครูหงษ์ถึงชื่อครูหว่า ไม่ได้จบอะไรที่เกี่ยวข้อบกับครูโดยตรง หรือว่าเป็นแค่การใช้ชื่อเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการขายของ
2.ศาสตร์ DMIA นี่มันเชื่อถือได้ขนาดไหนกันเชียว ยิ่งเสิร์ช ยิ่งพบกับความเบร้อออหนิไปหมด ทางครูหงษ์บอกว่า "ไม่ใช่หมอดูค่ะ วิทยาศาสตร์ล้วนๆ" แต่มันน่าจะมั่วตั้งแต่จุดตั้งต้นที่บอกว่าเข้าใจสมองผ่านลายนิ้วมือแล้วนะ
3.รายการบอกว่าลายนิ้วเกิดจากพันธุกรรม แต่จริงๆ แล้วมันเกิดอย่างแรนด้อม ใช่ส่วนหนึ่งเกิดพันธุกรรม แต่ส่วนที่สำคัญกว่ามันไม่ใช่เพราะทารกปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ในครรภ์เหรอไงฟะ รวมไปถึงเรื่องความดันในครรภ์อะไรพวกนี้ไม่ใช่เหรอ (ตรงนี้ใีใครพอจะให้ข้อมูลโดยละเอียดได้บ้างไหมครับ)
4.ไอ้คนที่เก็บข้อมูลลายนิ้วมือกว่า 30 ล้านคนทั่วโลกมันเป็นใครกัน
5.ต่อให้เก็บจริง แล้วเก็บลึกขนาดไหน รู้ได้ยังไงว่าลายนิ้วมือแบบไหนมีเก่งด้านไหน ถ้านั่งวาดรูปอยู่บ้านเป็นงานอดิเรก มันจะเก็บข้อมูลได้มั้ย หรือมีแบบสอบถามเหรอ แม่นยำจริงเหรอ
6.นี่ขนาดฝาแฝดแท้ที่มีพันธุกรรมเหมือนกันยังมีลายนิ้วมือไม่เหมือนกันเลยไม่ใช่เหรอ
7.ยังไม่พูดถึงสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู การกิน ซึ่งมีผลมากกว่า เพราะลายนิ้วมือมันฟอร์มเสร็จตั้งแต่อายุครรภ์ 6 เดือนแล้วไม่ใช่เหรอ
8.เรื่องการดูดวงที่พูดๆ ในรายการ มันสุดยอดจะปกติสามัญชน เช่นที่บอกว่าไม่อยากผิดใจกับใคร นี่มัน Barnum Effect สไตล์หมอดูชัดๆ
9.เอาพหุปัญญาที่เป็นแนวความคิดเรื่องความฉลาดสมัยใหม่มามั่วเพื่อให้ดูมีหลักการมากขึ้นรึเปล่า
10.มีการเอาคำคมของโน๊ต อุดม มาแปะ นี่ใส่มาเพื่อความน่าเชื่อถือหรือเปล่า (ตามรูปแนบด้านล่าง)
ผมลองอินบ๊อกซ์ไปถามความเห็นจากอาจารย์เจษฏ์ ก็ได้รับตอบกลับมาว่า "อ้อ! ไอ้นั่นเหรอ หมอดูไฮเทค" (ขอบคุณอาจารย์ที่ให้ความรู้เรื่องนี้ด้วยครับ)
หลังจากที่รายการ Today Show ออกอากาศไปแล้ว ผมลองกลับเข้าไปดูในเฟซบุ๊กใหม่ สิ่งที่น่าตกใจก็คือ
- มีพ่อแม่หลายคนสนใจพาลูกตัวเองเข้ามาตรวจเป็นจำนวนมาก -
ค่าใช้จ่ายในการตรวจแต่ละครั้งถือว่าปานกลางค่อนสูง "แต่เพื่อลูกและอนาคตล่ะก็ แค่นี้ฉันน่าจะจ่ายได้" ซึ่งแนวความคิดหากินกับความกลัวของพ่อแม่ผู้ปกครอง เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะยอมรับและให้อภัยได้เลย พ่อแม่หลายคนก็ไปสมัครเพราะเหตุผลนี้
ขอติงทางรายการ Today Show ด้วย การที่ทีมงานนำเทปนี้ออกอากาศทำให้มีผู้คนจำนวนมากหลงเชื่อเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ มีหลายคนที่เปลี่ยนความคิด ยอมเสียเงินด้วยเหตุผลง่ายๆ ก็คือ "มันน่าเชื่อถือเพราะเห็นในทีวี" ผมไม่เข้าใจว่าทางรายการและทีมงานไม่รู้สึก 'เอ๊ะ?' บ้างเหรอกับการสแกนนิ้ว แล้วถ้ารู้สึกแปลกๆ ก็ควรจะหาข้อมูล เสิร์ชกูเกิ้ลสัก 10 นาทีก็น่าจะได้คำตอบแล้ว แต่การปล่อยให้รายการออกมาได้มันหมายว่ายังไงกัน ถ้าเป็นแบบนั้น พวกนายน่ะสมควรจะไปเข้าคอร์สค้นหาศักยภาพสมองตัวเองก่อนใครเพื่อนเลยไม่ใช่เหรอ
พ่อแม่บางคนอยากจะทำสิ่งต่างๆ ให้ดีที่สุดสำหรับลูก ไม่อยากจะให้ลูกเราพลาดอะไรไป (Fear of Missing Out) บางคนไม่ได้มีฐานะ แต่ก็เก็บเงินเพื่อให้ลูกตัวเองได้ไปสแกน epidermis เล็กๆ ที่ปลายนิ้ว เพื่อให้ได้แฟ้มบ้าอะไรก็ไม่รู้กลับมาบ้าน แล้วก็ยึดมั่นแฟ้มนั้นเป็นอนาคตของตัวเองมันช่างเป็นเรื่องที่น่าทึ่งและเหนือจริงในเวลาเดียวกัน
จริงๆ ถึงจะบอกว่าเป็นความสมัครใจ ไม่ผิดกฏหมาย และนี่มันเงินของข้า ไม่ได้หนักหัวใครสักหน่อย แต่การที่ปล่อยให้มีคนแอบอ้างวิทยาศาสตร์แบบปลอมๆ แล้วเอามาหาเงินแบบนี้ได้นี่มันแย่จริงๆ
สมมุติมีคนโดนหลอกไป 1000 คน 9990*1000 = 9,990,000 แค่นี้ก็ได้ได้เงินไปเกือบสิบล้าน นี่พวกนายใช้เงินที่ได้มาด้วยพลังแห่งวิทยาศาสตร์ด้วยความรู้สึกยังไงกันแน่เนี่ย?
ขอบคุณทุกท่านที่รับฟังครับ





**มีหลายคนเสริมเรื่อง อันตรายจากการได้ลายนิ้วมือของเราไป ซึ่งอาจนำไปใช้หาผลประโยชน์ได้ จุดนี้ก็น่าสนใจครับ
วิทยาศาสตร์เทียม, ในรายการคุณไตรภพ, หรือจะเป็น Power Mind Camp ภาค 2
บริษัทแห่งนั้นมีชื่อว่า Brainergy Thailand มีออฟฟิศตั้งอยู่ใจกลางเมือง เปิดให้บริการทุกวัน
คือตัวผมไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์โดยตรง ถ้าผมเขียนตรงไหนผิดก็โต้แย้งได้นะครับ ถ้าใครมีข้อมูลเสริมตรงไหนก็รบกวนชี้แนะด้วยครับ
ผมเข้าไปหาข้อมูลจากในเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/Brainergy-Thailand-1157794020902235/ และทางเวปเพจ http://www.brainergythailand.com/ ในเพจมีการให้ข้อมูลเรื่องการเลี้ยงลูกที่น่าเชื่อถือ มีการสอนถึงหลักจิตวิทยา มีการอ้างอิงถึงหลักการต่างๆ หรือกระทั่งแนะนำหนังสือขายดีของครูหงษ์ที่พูดเรื่องเดียวกัน เพื่อที่จะตบท้ายให้การสมัครมาสแกนนิ้วดูน่าเชื่อถือและมีหลักการ ยิ่งดูไปก็รู้สึกถึงความมั่วที่ลงตัวและแนบเนียนของธุรกิจนี้ จับแมะมาผสมแบะได้อย่างกลมกล่อมทีเดียว
1.สามารถหาความสามารถที่แท้ทรูในสมองของตัวเราได้ "ผ่านการสแกนลายนิ้วมือทั้งสิบนิ้ว"
2.ศาสตร์ที่ใช้ชื่อว่า DMIA [Dermatoglyphics Multiple Intelligence Analysis]
3.ประมาณว่ามีฐานข้อมูลที่ยิ่งใหญ่ เก็บข้อมูลลายนิ้วมือจากคนทั่วโลกกว่าสามสิบล้านคน แล้วจัดประเภทออกมา
4.เมื่อเราไปสแกนลายนิ้วมือ นิ้วมือของเราก็จะถูกเอาไปเทียบกับฐานข้อมูลที่มีอยู่
5.รอสักครู่ เราจะได้ แฟ้มชีวิตส่วนตัวที่จะบอกว่า 'เราเป็นใคร' 'มีศักยภาพสมองอย่างไร' 'มี IQ, EQเท่าไหร่' 'มีพหุปัญญาด้านไหน' 'เปรียบเรากับสัตว์ชนิดใด'
จากนั้นไม่นานก็มีรายการทีวีหนึ่ง ซึ่งก็คือรายการ Today Show ของคุณไตรภพ ออกอากาศเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2560
ในรายการคุณไตรภพได้นำแขกรับเชิญชื่อว่าครูหงษ์ มาออกรายการ ผมลองหยิบหูฟังมาสวมแล้วใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการนั่งฟังรายการนั้นย้อนหลังผ่านยูทูปอย่างตั้งใจ
พอดูจบก็มีคำถามคาใจมากมายเต็มไปหมด นี่มันน่าจะเป็นวิทยาศาสตร์เทียมนี่นา คุ้นจังเลย คล้ายกับเรื่องฉาวคราวก่อนในพันทิปที่ชื่อ Power Mind Camp (ใช้สมองส่วนกลางในการมองทะลุผ้าเมื่อปี 53)
1.ทำไมครูหงษ์ถึงชื่อครูหว่า ไม่ได้จบอะไรที่เกี่ยวข้อบกับครูโดยตรง หรือว่าเป็นแค่การใช้ชื่อเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการขายของ
2.ศาสตร์ DMIA นี่มันเชื่อถือได้ขนาดไหนกันเชียว ยิ่งเสิร์ช ยิ่งพบกับความเบร้อออหนิไปหมด ทางครูหงษ์บอกว่า "ไม่ใช่หมอดูค่ะ วิทยาศาสตร์ล้วนๆ" แต่มันน่าจะมั่วตั้งแต่จุดตั้งต้นที่บอกว่าเข้าใจสมองผ่านลายนิ้วมือแล้วนะ
3.รายการบอกว่าลายนิ้วเกิดจากพันธุกรรม แต่จริงๆ แล้วมันเกิดอย่างแรนด้อม ใช่ส่วนหนึ่งเกิดพันธุกรรม แต่ส่วนที่สำคัญกว่ามันไม่ใช่เพราะทารกปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ในครรภ์เหรอไงฟะ รวมไปถึงเรื่องความดันในครรภ์อะไรพวกนี้ไม่ใช่เหรอ (ตรงนี้ใีใครพอจะให้ข้อมูลโดยละเอียดได้บ้างไหมครับ)
4.ไอ้คนที่เก็บข้อมูลลายนิ้วมือกว่า 30 ล้านคนทั่วโลกมันเป็นใครกัน
5.ต่อให้เก็บจริง แล้วเก็บลึกขนาดไหน รู้ได้ยังไงว่าลายนิ้วมือแบบไหนมีเก่งด้านไหน ถ้านั่งวาดรูปอยู่บ้านเป็นงานอดิเรก มันจะเก็บข้อมูลได้มั้ย หรือมีแบบสอบถามเหรอ แม่นยำจริงเหรอ
6.นี่ขนาดฝาแฝดแท้ที่มีพันธุกรรมเหมือนกันยังมีลายนิ้วมือไม่เหมือนกันเลยไม่ใช่เหรอ
7.ยังไม่พูดถึงสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู การกิน ซึ่งมีผลมากกว่า เพราะลายนิ้วมือมันฟอร์มเสร็จตั้งแต่อายุครรภ์ 6 เดือนแล้วไม่ใช่เหรอ
8.เรื่องการดูดวงที่พูดๆ ในรายการ มันสุดยอดจะปกติสามัญชน เช่นที่บอกว่าไม่อยากผิดใจกับใคร นี่มัน Barnum Effect สไตล์หมอดูชัดๆ
9.เอาพหุปัญญาที่เป็นแนวความคิดเรื่องความฉลาดสมัยใหม่มามั่วเพื่อให้ดูมีหลักการมากขึ้นรึเปล่า
10.มีการเอาคำคมของโน๊ต อุดม มาแปะ นี่ใส่มาเพื่อความน่าเชื่อถือหรือเปล่า (ตามรูปแนบด้านล่าง)
ผมลองอินบ๊อกซ์ไปถามความเห็นจากอาจารย์เจษฏ์ ก็ได้รับตอบกลับมาว่า "อ้อ! ไอ้นั่นเหรอ หมอดูไฮเทค" (ขอบคุณอาจารย์ที่ให้ความรู้เรื่องนี้ด้วยครับ)
หลังจากที่รายการ Today Show ออกอากาศไปแล้ว ผมลองกลับเข้าไปดูในเฟซบุ๊กใหม่ สิ่งที่น่าตกใจก็คือ
ค่าใช้จ่ายในการตรวจแต่ละครั้งถือว่าปานกลางค่อนสูง "แต่เพื่อลูกและอนาคตล่ะก็ แค่นี้ฉันน่าจะจ่ายได้" ซึ่งแนวความคิดหากินกับความกลัวของพ่อแม่ผู้ปกครอง เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะยอมรับและให้อภัยได้เลย พ่อแม่หลายคนก็ไปสมัครเพราะเหตุผลนี้
ขอติงทางรายการ Today Show ด้วย การที่ทีมงานนำเทปนี้ออกอากาศทำให้มีผู้คนจำนวนมากหลงเชื่อเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ มีหลายคนที่เปลี่ยนความคิด ยอมเสียเงินด้วยเหตุผลง่ายๆ ก็คือ "มันน่าเชื่อถือเพราะเห็นในทีวี" ผมไม่เข้าใจว่าทางรายการและทีมงานไม่รู้สึก 'เอ๊ะ?' บ้างเหรอกับการสแกนนิ้ว แล้วถ้ารู้สึกแปลกๆ ก็ควรจะหาข้อมูล เสิร์ชกูเกิ้ลสัก 10 นาทีก็น่าจะได้คำตอบแล้ว แต่การปล่อยให้รายการออกมาได้มันหมายว่ายังไงกัน ถ้าเป็นแบบนั้น พวกนายน่ะสมควรจะไปเข้าคอร์สค้นหาศักยภาพสมองตัวเองก่อนใครเพื่อนเลยไม่ใช่เหรอ
พ่อแม่บางคนอยากจะทำสิ่งต่างๆ ให้ดีที่สุดสำหรับลูก ไม่อยากจะให้ลูกเราพลาดอะไรไป (Fear of Missing Out) บางคนไม่ได้มีฐานะ แต่ก็เก็บเงินเพื่อให้ลูกตัวเองได้ไปสแกน epidermis เล็กๆ ที่ปลายนิ้ว เพื่อให้ได้แฟ้มบ้าอะไรก็ไม่รู้กลับมาบ้าน แล้วก็ยึดมั่นแฟ้มนั้นเป็นอนาคตของตัวเองมันช่างเป็นเรื่องที่น่าทึ่งและเหนือจริงในเวลาเดียวกัน
จริงๆ ถึงจะบอกว่าเป็นความสมัครใจ ไม่ผิดกฏหมาย และนี่มันเงินของข้า ไม่ได้หนักหัวใครสักหน่อย แต่การที่ปล่อยให้มีคนแอบอ้างวิทยาศาสตร์แบบปลอมๆ แล้วเอามาหาเงินแบบนี้ได้นี่มันแย่จริงๆ
สมมุติมีคนโดนหลอกไป 1000 คน 9990*1000 = 9,990,000 แค่นี้ก็ได้ได้เงินไปเกือบสิบล้าน นี่พวกนายใช้เงินที่ได้มาด้วยพลังแห่งวิทยาศาสตร์ด้วยความรู้สึกยังไงกันแน่เนี่ย?
ขอบคุณทุกท่านที่รับฟังครับ
**มีหลายคนเสริมเรื่อง อันตรายจากการได้ลายนิ้วมือของเราไป ซึ่งอาจนำไปใช้หาผลประโยชน์ได้ จุดนี้ก็น่าสนใจครับ