แชร์ประสบการณ์สูญเสียลูกในครรภ์ 36w โดยไม่ทราบสาเหตุ

กระทู้สนทนา
สวัสดีคะสมาชิกห้องชานเรือน เราอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การสูญเสียลูกในครรภ์ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับพ่อ แม่ มือใหม่ทุกคน เราอายุ 26 ปี ส่วนสามีอายุ 29 ปี เราตั้งครรภ์ลูกคนแรก ได้ลูกชาย เรา 2 คนดีใจมาก และนับวันตั้งตารอคอยที่จะได้เจอหน้าเค้า เราไปตามหมอนัด ทุกนัดไม่เคยขาด ลูกเราก็มีพัฒนาการ มีการเจริญเติบโตที่ดีมาโดยตลอด

จนกระทั่งหมอนัดครบสัปดาห์ที่ 36 ปรากฏว่าอัตราซาวด์ดู หัวใจเด็กหยุดเต้นแล้ว น้ำครั้งแห้งจนหมด ซึ่งก่อนหน้านั้น 2 อาทิตย์ที่เรามาหาหมอ เด็กยังปกติดีทุกอย่าง น้ำคร่ำก็ปกติดี แต่ 3 วันก่อนถึงวันนัด วันนั้นตรงกับวันศุกร์ที่ 9 มิ.ย 60 ช่วงเช้าเรารู้สึกเจ็บจี๊ดบริเวณหัวหน่าว 2-3 ครั้ง แต่ไม่มีน้ำเดินใดๆ และท้องแข็งถี่ตลอดเวลา พร้อมกับรู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลง เราก็สังเกตุอาการดูสักพัก พอช่วงบ่ายอาการเจ็บก็หายไป เราเลยไม่ได้ไปหาหมอ เพราะเราคิดว่าเป็นการเจ็บเตือน ส่วนการดิ้นของลูกนั้นเราก็เข้าใจว่าลูกยังพลิกตัว และโก่งตัวอยู่เพราะท้องจะนูนๆ แข็งๆ เป็นที่ๆ แล้วยุบหายไป คิดเข้าข้างตัวเองว่าลูกคงตัวใหญ่พื้นที่ในท้องคงคับแคบลูกจึงไม่ค่อยดิ้น เราปล่อยไว้จนกระทั่งผ่านไป 3 วัน

ในวันที่ 12 มิ.ย 60 เป็นวันที่หมอนัดตรวจครรภ์ตามปกติ เราขึ้นรอบนเตียงโดยไม่ได้คิดอะไรหวังแต่เพียงได้ยินเสียงหัวใจลูก ให้ลูกปลอดภัย จนหมอเข้ามาซาวด์ดูลูก ตอนแรกเหมือนจะไมมีความปกติอะไร หมอบอกลูกอยู่ในท่ากลับหัวเตรียมพร้อมจะคลอดแล้ว แต่พอซาวด์ไปซาวด์มาไม่ได้ยินเสียงหัวใจ หมอก็เอ่ยถามเราลูกดิ้นปกติมั๊ย? เราก็บอกไม่ค่อยดิ้น แต่จะโก่งตัว พลิกตัว นูนๆ เป็นที่ๆ หมอบอกไม่ใช่ละนั่นเป็นการหดตัวของมดลูก คุณหมอชักทำสีหน้าไม่ค่อยดี เรากับสามีได้แต่มองหน้ากัน และจับมือกันแน่น จนหมอพูดออกมาว่า "หัวใจเด็กไม่เต้นแล้ว น้ำคร่ำแห้งหมด" ดั่งสายฟ้าฟาดลงกลางหัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่เรากับสามีได้แต่มองหน้ากันและจับมือกันแน่น ตอนนั้นหมอพูดอะไรคือเราแทบไม่ได้ฟังหรือสนใจเลย หูมันอื้อไปหมด พอออกมานั่งรอพยาบาลหน้าห้องตรวจเท่านั้นละ น้ำตาของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ก็พรั่งพูออกมา ปานหัวใจจะแตกสลาย หมอให้เรากับสามีกลับไปตัดสินใจ ว่าจะผ่าคลอด รึจะใช้ยาเร่งคลอด ตอนนั้นทางครอบครัวสามี พี่ๆ ที่ทำงาน ต่างก็แนะนำให้ผ่าตลอดโดยด่วน เพราะเด็กเสียชีวิตมา 3 วันแล้ว ไม่อยากให้เอาไว้นานกลัวเราจะเป็นอันตราย เราจึงตัดสินใจผ่าคลอดในวันรุ่งขึ้นโดยการวางยาสลบ

หลังจากผ่าลูกเราออกมา เราไม่ได้เห็นหน้าลูก มีแต่สามีเอารูปให้ดู และเล่าให้เราฟังว่า "หมอบอกว่าลูกเราอาจจะมีความผิดปกติของโครโมโซม ซึ่งถ้าเป็นจริงก็ถือว่าเป็นโชคดีของเค้าที่ไม่ต้องเกิดมาทรมาน และถือว่าเป็นโชคดีของเราที่ไม่ต้องมาเลี้ยงเค้าให้ลำบากกายใจ ไม่ต้องมาทนทุกข์เพราะสงสารเค้า" ซึ่ง ณ ตอนนั้นหมอก็ไม่ได้คอนเฟริม 100 % ว่าเด็กเป็นรึป่าว ถ้าอยากรู้ก็ต้องส่งชันสูตรอีกทีหนึ่ง หมอก็ได้แต่บอกว่าอย่าโทษตัวเอง เพราะจะทำให้เราทุกข์ใจป่าวๆ ถึงอย่างไรเรา 2 คนก็ยังคงมีข้อค้างคาใจอยู่หลายประเด็น เช่น หมอไม่ได้ตรวจเบาหวานให้เรา เพราะเห็นว่าอายุยังน้อยไม่น่าจะมีความเสี่ยง ไม่ได้ตรวจน้ำคร่ำเพื่อหาความผิดปกติของโครโมโซม เพราะเห็นว่าอายุของเราสองคนยังน้อยไม่ได้อยู่ในความเสี่ยง และ 2 อาทิตย์ก่อนหน้านั้น เด็กก็ยังปกติดีทุกอย่าง น้ำคร่ำก็ปกติดี แต่ทำไมพอมาตรวจอีกทีน้ำคร่ำกับแห้งไปหมด คือเรายังคงสงสัยว่าน้ำคร่ำหายไปไหนหมด ทั้งๆ ที่ก็ไม่มีแตกรั่วไหลออกมาให้เห็นเลย

ซึ่งประสบการณ์ในครั้งนี้ได้เป็นบทเรียนที่ดีให้กับเราทั้ง 2 คนเลย ครั้งหน้าเราคงต้องระวังให้มากกว่านี้ และตรวจให้ละเอียดกว่านี้ เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกในครั้งหน้า เราไม่อยากที่จะเสียเค้าไปอีก และเราอยากจะฝากเตือนพ่อ แม่มือใหม่ทุกคน เกี่ยวกับการนับการดิ้นของลูก ถือว่าสำคัญจริงๆ คะ ยิ่งใกล้คลอดยิ่งต้องดิ้นคะ อย่าไปเชื่อว่า ลูกตัวใหญ่พื้นที่ในท้องคับแคบลงลูกจะไม่ค่อยดิ้น อันนั้นส่วนตัวเราตั้งแต่เกิดเหตุการณ์กับตัวเองคิดว่าไม่จริงคะ ถ้าไม่ดิ้นแสดงว่าต้องเกิดปัญหาอะไรกับเค้าสักอย่าง เช่น รกพันคอ ที่พบกันบ่อย เป็นต้น ถึงแม้เคสของลูกเราจะไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่เราก็พยายามคิดในแง่บวกอย่าที่หมอบอก เพื่อความสบายใจของเรา และเพื่อรักษาร่างกายและจิตใจให้ดีขึ้นเร็วที่สุดเพื่อเตรียมพร้อมในการตั้งครรภ์ต่อไป ทุกวันนี้ก็ได้แต่ทำบุญ สวดมนต์ อุทิศส่วนกุศลและแผ่เมตตาให้ดวงวิญญาณของน้อง ถ้าบุญกุศลเรายังมีต่อกันก็ขอให้น้องมาเกิดกับเราใหม่อีกครั้ง

ต้องขอบคุณกระทู้พันทิป เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ เราก็ได้แต่ค้นหาหาข้อมูลต่างๆ นาๆ และที่ทำให้เราได้สติก็คือการที่ได้อ่านประสบการณ์สูญเสียลูกในครรภ์ของหลายๆ คน มันทำให้เรารู้สึกว่าไม่ใช่แค่เราก็สูญเสียในโลกใบนี้ก็ยังมีอีกหลายๆ คนที่เป็นเหมือนกันกับเราการสูญเสียเป็นเรื่องปกติต้องทำใจยอมรับและพยายามอยู่กับปัจจุบัน บางกระทู้อ่าน 2-3 รอบ การได้อ่านหรือรับฟังคนที่หัวอกเดียวกันมันก็จะทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยวท้อแท้... ขอบคุณค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่