นศ.เขียนลงในกระดาษคำตอบว่า อ.สอนเข้าใจยาก ทำให้ทำข้อสอบไม่ได้ นศ.ผิดที่ทำให้ อ.น้อยใจและท้อแท้ในวิชาชีพใช่มั้ยครับ

ผมไม่เคยสมัครสมาชิกพันธุ์ทิพย์มาก่อน เลยขอยืมใช้ล็อคอินจากญาติสนิทมาเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยครับ

เรื่องก็มีอยู่ว่า ผมศึกษาอยู่ม.แห่งหนึ่งในภาคตะวันออก สายวิทย์เกษตร มีวิชาหนึ่งที่ผมเรียนไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก พยายามอ่านเนื้อหาเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่อง อาจเป็นเพราะจบมาจากสายอาชีพ ไม่ค่อยได้เรียนรู้ในเรื่องของพื้นฐานวิชานี้มาก่อน การทำความเข้าใจจึงเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร

จริงๆแล้ว การเรียนกับอาจารย์ท่านนี้ก็ทำให้ผมเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง คือระดับเลเวล 1 จริงๆ เพราะการสอนของอาจารย์จะสอนโดยใช้ตัวอย่างที่ง่ายมากๆ เลยทำให้ทั้งห้องเรียนดูเหมือนจะเข้าใจในบทเรียนดี แต่เมื่อถึงคราวทำข้อสอบ ทุกคนจะบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ข้อสอบโคตะระยากส์บ้าง ไม่เห็นเหมือนที่สอนในห้องเรียนบ้าง บลาๆๆ

ซึ่งผมเองก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เพียงแต่ว่าทุกคนในกลุ่มนี้เลือกที่จะคิดและพูดเรื่องนี้กันแค่กับเพื่อนๆนศ.ด้วยกัน แต่ไม่เคยที่จะบอกให้อาจารย์ได้รับทราบถึงปัญหา ปล่อยให้อาจารย์บ่นเรื่องได้คะแนนสอบน้อยไปฝ่ายเดียว แล้วก็กลับมาสอนในแนวทางเดิมๆอีกเช่นเคย

ปัญหาจึงเกิดเมื่อเผอิญว่า ผมดันคิดดังไปหน่อย เลยเขียนความในใจข้อนี้ลงไปในกระดาษคำตอบ ด้วยหวังว่าอาจารย์จะเปลี่ยนแปลงแนวทางการสอนแบบเดิมๆ ก่อนที่ปลายเทอมของผมและเพื่อนๆจะจบลงด้วย F ตัวโตๆในใบแสดงผลการเรียน

เรื่องก็มากลับกลายเป็นว่า เมื่ออาจารย์ได้อ่านข้อความที่ผมเขียนลงไป ทำให้อาจารย์ถึงกับจิตตก น้อยใจและท้อแท้ในวิชาชีพ เอาเรื่องนี้มาพูดตัดพ้อในห้องเรียนแล้วมองมาที่เรา เหมือนจะประจานให้เพื่อนร่วมชั้นคิดว่าเราเขียนต่อว่าแรงๆ และเอาเรื่องนี้ไปบอกกับอาจารย์คนอื่นๆว่าเราเป็นนักประท้วง เป็นตัวปัญหา ให้ระวังกันด้วยเวลาสอนห้องนี้ บลาๆๆ

ผมเลยกลายเป็นแกะดำในสายตาของอาจารย์หลายๆคนทันที เวลาเรียนก็จะมีอาจารย์วิชาอื่นบางท่านพูดว่ากลัวจะโดนอย่างอาจารย์คนนั้นจัง, ห้องนี้หรอที่เขียนว่าอาจารย์ในกระดาษคำตอบ ฯลฯ อะไรทำนองนี้อยู่เรื่อยๆ

เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ไปๆมาๆกลับกลายเป็นตัวผมเองที่ต้องจิตตก และต้องอดทนกับสายตาแปลกๆจากเพื่อนร่วมชั้นบ้าง จากอาจารย์ในหลายๆวิชาที่เข้าเรียนบ้าง ทำให้ผมต้องทนเข้าชั้นเรียนแบบที่ไม่สดใสร่าเริงเหมือนก่อน เรียนแบบที่ต้องนั่งภาวนาขอให้หมดคาบเรียนเร็วๆในแต่ละวัน

ปลายเทอมผลก็คือ ผมผ่านครับ ผ่านทั้งห้องเลย ผมผ่านแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ส่วนความรู้ความเข้าใจในวิชานี้หยุดการพัฒนาไปเลย แต่ความรู้สึกที่อยากเรียนต่อที่นี่หายไปหมดแล้ว และผมตั้งใจว่าจะไม่เรียนต่อด้วย แม้ว่าจะเรียนมาถึงปี 4 แล้วก็ตาม (เทียบโอนวุฒิ ปวส. จึงเข้าเรียนปี 3 เลยที่ม.แห่งนี้) ตอนนี้อยากกลับบ้านไปทำงานช่วยพ่อแม่มากกว่าครับ

สุดท้ายนี้ ผมอยากจะถามว่า ผมผิดรึเปล่าที่ทำแบบนี้  การทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควรมากใช่รึเปล่า ?

ปล.1 ย้ำครับว่า เขียนข้อความตามหัวกระทู้นี้จริงๆ
ปล.2 ผมเคยเข้าไปขอโทษตรงๆตัวต่อตัวกับอาจารย์แล้วครับ อาจารย์เองก็รับไว้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ของผมดีขึ้นเลย
ปล.3 ผมยอมรับผิดในเรื่องนี้จริงๆครับ แต่สิ่งที่ไม่เข้าใจเลยคือ ผมผิดถึงขนาดที่ต้องโดนอะไรขนาดนี้เลยใช่มั้ยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
ผมนึกถึง คำนำในหนังสือของอาจารย์ศุลี บรรจงจิตร ครับ โดยหนังสือเล่มนี้ออกมาไม่ต่ำกว่า 20 ปีแล้วครับ

ส่วนหนึ่งจากคำนำ…หนังสือหลักการและเทคนิค การออกแบบระบบไฟฟ้า

... "จากประสบการณ์ในการสอนระดับอุดมศึกษามา 27 ปี ทำให้ได้ทราบว่านักศึกษาในปัจจุบันแตกต่างจากนักศึกษาในสมัยก่อนมาก วุฒิภาวะของนักศึกษาในปัจจุบันเมื่อเทียบกันกับนักศึกษาในสมัยก่อนแล้ว จะมีน้อยกว่ามากทั้งนี้เพราะนักศึกษาในปัจจุบันส่วนมากไม่ชอบเข้าเรียน ไม่ชอบจดคำบรรยายของอาจารย์ เรียนเพื่อเอาเกรด แต่ไม่ขอมีความรู้ ชอบให้ป้อนเหมือนพ่อแม่นกให้อาหารลูกนอก ชอบเนื้อหาง่ายๆ บางเนื้อหายากจะขอให้สอนในเนื้อหานั้นน้อยๆ หรือขอไม่ให้ออกข้อสอบ โดยไม่สนใจถึงความสำคัญของเนื้อหา ไม่ชอบให้อาจารย์ว่ากล่าวตักเตือนชอบอิสระ ชอบความสบาย อยากสำเร็จการศึกษาออกไปทำงานที่มีเงินเดือนสูงๆ แต่ไม่รู้ว่าจะมีความสามารถในการทำงานได้หรือไม่

... บางคนเข้าเรียนในห้องแต่ไม่เคยจดอะไรลงในสมุดเลย เอาแต่นั่งฟังอย่างเดียว เมื่อถามว่าทำไมไม่จด ก็จะได้คำตอบว่า จะไปขอถ่ายสำเนาจากเพื่อนที่จดอีกทีหนึ่ง ดังนั้นจะเห็นว่านักศึกษาในปัจจุบันชอบที่จะถ่ายสำเนาจากเพื่อนที่จดคำบรรยายของอาจารย์ ซึ่งจะพบเห็นได้ตามร้านถ่ายเอกสารใกล้สถาบันการศึกษา ที่เป็นเช่นนี้อาจเกิดจากราคาค่าถ่ายเอกสารในปัจจุบันถูกมากก็เป็นได้

... นักศึกษาบางคนชอบขอสื่อการสอนที่เป็นโปรแกรม PowerPoint ของอาจารย์ โดยไม่ทราบถึงรายละเอียดของเนื้อหาในโปรแกรม PowerPoint ว่ามีครบถ้วนหรือไม่ แต่ก็อุ่นใจที่มีสื่อการสอนของอาจารย์อยู่ใกล้ตัว บางคนชอบเก็งข้อสอบ กล่าวง่ายๆ ก็คือ เรียนน้อยๆ เฮฮามากๆ และจะเก็งข้อสอบเพื่อเอาคะแนนสูงๆ ยิ่งมีหนังสือหรือเอกสารย่อที่รุ่นพี่ซึ่งก็ได้รับต่อมาอีกทอดหนึ่งทิ้งไว้ให้ก็ยิ่งชอบมาก ทำให้ไม่ค่อยสนใจในวิชานั้นๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นแนวทางการศึกษาที่ผิด

… ดังนั้นจะเห็นว่าการเรียนในปัจจุบันจะไม่มีการลงทุนใดๆ นอกจากการถ่ายเอกสาร เมื่อจบออกไป หนังสือหรือสมุดย่อซึ่งควรจะเป็นของตนเองก็ไม่มี ถ้าต้องการจะค้นคว้าเพิ่มเติมก็จะลำบาก ไม่เหมือนกับนักศึกษาที่จดคำบรรยายด้วยตนเอง และมีหนังสือหรือคำบรรยายติดตัวออกไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น มีความคล่องตัวมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ผลทั้งหมด แต่อย่างน้อยการเข้าเรียนและจดคำบรรยายและอ่านทบทวนผ่านตาก็จะเป็นแนวทางให้ค้นคว้าต่อไปได้ง่ายขึ้น ซึ่งไม่ต้องไปเริ่มต้นค้นหาใหม่เหมือนกับนักศึกษาที่ไม่ชอบจดคำบรรยายยิ่งถ้าชอบอ่านหนังสือ ชอบค้นคว้า พื้นฐานที่ว่าจะช่วยให้ทำความเข้าใจต่อสิ่งใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น

... ประสบการณ์ที่ได้จากการเป็นคณะกรรมการสอบไล่ภายนอกของมหาวิทยาลัยเอกชน ทำให้ทราบว่าวิชาการออกแบบระบบไฟฟ้าตามข้อกำหนดของทบวงฯ และของสภาวิศวกรกำหนดให้ผู้สอนต้องมีวุฒิการศึกษาขั้นต่ำระดับปริญญาโท ซึ่งเป็นหลักการที่ดี แต่เมื่อได้เห็นข้อสอบ จึงได้ทราบว่า ผู้สอนเองก็ไม่ได้มีความรู้พอเพียงที่จะสอนวิชานี้ได้ เพราะข้อสอบมักจะเป็นการคำนวณออกแบบเบื้องต้น ใช้โหลด VA/sq.m วงจรย่อยวันไลน์ไม่มีในข้อสอบ ไม่มีการทำตารางโหลด ซึ่งในความเป็นจริงจะต้องมีทั้งไฟฟ้ากำลังซึ่งคิดจากโหลดจริงและไฟฟ้าสื่อสาร ซึ่งถ้าพิจารณาจากกรณีข้างต้น จะทำให้ผู้อ่านทราบได้ถึงคำตอบว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น และอาจจะเกิดจากผู้สอนไม่เคยออกแบบไม่เคยสัมผัสจริง ตลอดจนไม่ทราบถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ เนื่องจากไม่ตรงกับสาขาที่สนใจ แต่คิดไปเองว่าสามารถที่จะสอนได้ คิดว่าง่าย คงไม่มีอะไรมาก สามารถอ่านแล้วมาสอนนักศึกษาได้ เสมือนเรียนรู้ไปพร้อมกันทั้งผู้สอนและผู้เรียน และยิ่งได้ผู้สอนที่มีวุฒิการศึกษาสูงๆ และมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มีทิฐิ จะยิ่งคิดว่าทุกวิชาง่ายหมด สอนได้หมด เพื่อเพิ่มชั่วโมงการสอนของตัวเองให้สูงขึ้น จนลืมไปว่าการสำเร็จปริญญาในระดับสูงๆ เป็นการจบแต่ละสาขา ไม่มีการสอนครอบคลุมได้ทุกวิชาทุกสาขา แต่ตะเก่งในสาขาที่ตัวเองเรียนสำเร็จมา วิชาการออกแบบระบบไฟฟ้าเป็นวิชาในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้ากำลัง แต่ไม่ใช่วิชาที่จะรู้จริงทุกคน เป็นวิชาชีพซึ่งต้องมีประสบการณ์ ต้องเคยออกแบบ ต้องรู้จักเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยอาจจะผ่านทางบุคคลหรือบริษัทที่จัดสรรงานหรืออุปกรณ์ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าวิชาการออกแบบระบบไฟฟ้าควรให้อาจารย์ที่มีประสบการณ์เป็นผู้สอน และถ้ามีคุณวุฒิสูงตามหลักการแล้ว ก็จะเกิดผลดีต่อนักศึกษาที่เรียนในวิชานี้

... นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีระบบประกันคุณภาพการศึกษา แต่จากข้อพิจารณาข้างต้น จะพบได้ว่าคุณภาพการศึกษาจะดีขึ้นได้จะต้องประกอบด้วยหลักการใหญ่ๆ 2 ข้อ คือ ทั้งผู้เรียนและผู้สอนต้องดีทั้งคู่ คือผู้เรียนต้องตั้งใจจริงที่จะเรียน ผู้สอนต้องมีความรู้จริงในการสอน ถ้า 2 องค์ประกอบมาพบกัน การศึกษาก็จะมีคุณภาพ แต่ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ระบบก็จะล้มเหลว และในการศึกษาปัจจุบันยังมีการประเมินการสอนของอาจารย์ผู้สอน ซึ่งผู้เขียนก็ได้ทราบเหตุผลว่าทำไม เพราะถ้าอาจารย์ท่านใดจ้ำจี้จ้ำไชในการสอน ว่ากล่าวตักเตือน พยายามสอนให้นักศึกษาคิดและค้นคว้า ไม่ใช่สอนแบบนกในมหาวิทยาลัย (การสอนแบบนก คือ ป้อนตลอดเวลา เป็นเรื่องที่พบมากที่สุด ทั้งนี้เพราะมหาวิทยาลัยก็ต้องการมีชื่อเสียง พยายามใช้บุคลากรให้เต็มที่ จนดูเหมือนระบบการศึกษาในปัจจุบัน ผู้เรียนเป็นลูกค้า ไม่ใช่ลูกศิษย์ ต้องพยายามรักษารายรับไว้ให้ได้มากที่สุด จนลืมไปว่าการเรียนในมหาวิทยาลัย นักศึกษาต้องค้นคว้าเพิ่มเติมด้วยตนเอง นอกเหนือจากที่ได้รับจากอาจารย์ จึงจะมีความรู้แตกฉาน) ออกข้อสอบยาก ซึ่งผลของการประเมินที่ออกมาก็คือจะไม่ผ่าน แต่ในทางกลับกัน ถ้าอาจารย์ท่านใดสอนตามเนื้อหา ไม่ยุ่งกับนักศึกษาไม่จ้ำจี้จ้ำไช ออกข้อสอบง่ายๆ ก็จะได้การประเมินให้ผ่าน

... การประเมินอาจารย์ผู้สอนเป็นการแสดงออกถึงความล้มเหลวของการศึกษาไทย นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังใช้ระบบโฆษณาในรูปของ ISO ทำให้ไม่เข้าใจว่าการศึกษาจะต้องมีขั้นตอนการดำเนินการ การเก็บเอกสาร การดำเนินการผลิตเช่นใด เพราะการศึกษาไม่ใช่การผลิต จำนวนไม่สำคัญเท่าคุณภาพ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป บุคลากรของชาติในอนาคตถึงวิถีทางที่ตีบตันต่อการพัฒนาชาติ เพราะนักศึกษาของไทยหรือพฤติกรรมของคนไทยจะเป็นแบบตัวใครตัวมัน เมื่อจบออกไปแล้ว ต้องช่วยตัวเอง น้อยมากที่จะมีคนมาสอน มาทำงานเป็นทีม ซึ่งเมื่อนักศึกษาเรียนจบออกไป ก็จะเจอปัญหาอย่างนี้ ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ดังนั้น จากจ้อพิจารณาที่นำเสนอไปแล้วข้างต้น อาจจะเป็นเพราะว่านักศึกษาไทยได้รับการสอนที่ผิดๆ มาจากระดับโรงเรียน เนื่องจากการเรียนในระดับดังกล่าวไม่มีการสอบตกหรือการซ้ำชั้นเรียน เรียนอย่างไรก็จบ ไม่เรียนก็จบ ทำให้เกิดความเคยชินมาจนถึงในระดับอุดมศึกษา ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ เมื่อจบออกไป การมีความรับผิดชอบในสายงานจะพบอุปสรรคเป็นอย่างมาก

-    จากการระลึกถึงบุญคุณของผู้มีพระคุณที่ให้ตั้งแต่มีชีวิตและจนกระทั่งเสียชีวิต
-    จากประสบการณ์การเลือกคบมิตร การรู้สถานะตนเอง
-    จากประสบการณ์การมีมนุษยสัมพันธ์ การมีสัมมาคารวะ
-    จากประสบการณ์ที่ควรให้ต่อผู้ที่ควรให้
-    จากน้ำใจในความอนุเคราะห์ของศิษย์ ผู้มีพระคุณ ผู้ที่เคารพ
-    จากน้ำใจของบริษัทที่ปรึกษา ผู้ติดตั้งระบบงาน ผู้ขายอุปกรณ์ไฟฟ้า
-    จากความพอใจ ไม่อิจฉาริษยางานของผู้ใด และจากความพอเพียงในปริมาณงานที่ทำอยู่ ไม่ละโมบโลภมากในลาภยศ
-    จากการยอมรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น และพยายามศึกษาถึงเทคโนโลยีใหม่ๆนั้น
-    จากการไม่หยุดการใฝ่รู้ พยายามหาสิ่งดีๆ ใหม่ๆ เข้ามาเพื่อปรับปรุงงานของตนเอง
-    จากมาตรฐานของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับงานระบบ

... ทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้นนั้น จึงเป็นที่มาของความตั้งใจที่จะเขียนหนังสือการออกแบบระบบไฟฟ้า เพื่อให้เป็นหนังสือที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งในท้องตลาด เพื่อที่จะให้นักศึกษาสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า สาขาไฟฟ้ากำลัง และอาจารย์ที่สอนวิชานี้ ได้รับประโยชน์จากหนังสือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น และเห็นคุณค่าของหนังสือจนอยากที่จะเก็บรักษาติดตัวเพื่อใช้งานอันจะเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ไม่คิดที่จะยืมหรือขอจากผู้อื่น เช่น รุ่นพี่ (ซึ่งคิดว่าง่ายที่จะยกหนังสือให้รุ่นน้อง ตกทอดกันต่อๆไป และอาจจะเข้าใจผิดว่าการให้คือการแสดงน้ำใจต่อน้อง แสดงถึงการรักน้อง แต่ลืมนึกไปถึงการเรียนรู้ของตนเองเมื่อต้องการจะใช้ยามถึงคราวจำเป็น) เมื่อทุกอย่างพร้อม การเรียนรู้ด้วยตนเองก็จะสามารถเกิดขึ้นได้ และถ้าได้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์ที่รู้จริง มีประสบการณ์จริง จะทำให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจถึงแก่นของงานระบบจนสามารถนำไปประกอบอาชีพได้

... ท่านผู้อ่านโดยเฉพาะนักศึกษาทุกท่านควรพิจารณาจากข้อความจริงข้างต้น และควรนำมาปรับใช้ในชีวิตจริงๆ ซึ่งผู้เขียนมั่นใจว่าท่านผู้อ่านทุกท่านจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ โดยเฉพาะตั้งแต่จากประสบการณ์การเลือกคบมิตรลงมาจนถึงการไม่หยุดการใฝ่รู้ และที่ไม่ควรลืมเป็นอย่างยิ่งก็คือ คนไทยจะต้องสำนึกในบุญคุณของผู้มีพระคุณ เพราะเป็นวัฒนธรรมของคนไทยตั้งแต่ปู่ยาตายาย เพราะถ้าคนไทยไม่นึกถึงบุญคุณของผู้มีพระคุณ ต่อไปภายหน้า การทำบุญทำกุศลก็จะไม่มี จิตใจคนไทยก็จะเสื่อมลง"
ความคิดเห็นที่ 2
แต่ไม่เคยที่จะบอกให้อาจารย์ได้รับทราบถึงปัญหา
ปล่อยให้อาจารย์บ่นเรื่องได้คะแนนสอบน้อยไปฝ่ายเดียว
แล้วก็กลับมาสอนในแนวทางเดิมๆอีกเช่นเคย
____________________________________

แล้วทำไมถึงไม่บอกกับอาจารย์ดีๆ คนเรามีเรื่องไม่เข้าใจ เป็นครูเป็นลูกศิษย์กันหันหน้าเข้าหากัน คุยกันดีๆก็ได้
ต่อหน้าคุณไม่กล้า แต่ใช้วิธีเหวี่ยงไป มันไม่ใช้เรื่องที่สมควร และผิดกาลเทศะ
ในเมื่อคุณทำแบบนั้น แล้วอาจารย์ทำไมต้องมาพูดกับคุณดีๆ ตกลงเลยแรงมาก็แรงไป เรื่องก็คาราคาซัง
ผลร้ายไม่ตกอยู่ที่อาจารย์ แต่คุณนั่นล่ะโดนผลจากการกระทำไปเต็มๆ

เรื่องหลายๆเรื่อง ไม่ได่มีแค่ผิดถูก ใช่ ไม่ใช่ แต่มันมีสมควรหรือไม่ วิธีการอย่างไร กาลเทศะ เวลา และความตั้งใจมาเกี่ยวข้อง
ถ้าคุณเห็นว่าตัวเองถูก ผมไม่แคร์ ผมมีทางไป ก็เรื่องของคุณ
แต่ถ้าเป็นผม จะไปขอโทษ(แบบจริงใจ)ที่ผิดวิธีการ อธิบายเรื่องในใจแบบมีกาลเทศะ
อาจารย์ท่านจะพิจารณาว่ายังไง ตรงนั้นเป็นอีกเรื่อง
ถ้าผลจากการที่คุณดี อธิบายดี ถูกกาลเทศะ แต่อาจารย์ยังไม่เข้าใจ ลำเอียง ไม่ฟัง ไม่แก้ไข ตรงนั้นหนังคนละม้วน
ลูกผู้ชายเรื่องแค่นี้ กล้าทำ พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะก็ขอโทษ ง่ายมาก
แต่ถ้าคุณคิดจะเป็นคนแซ่ลี้ ผมถูกเสมอ ไม่จำเป็นต้องขอโทษ ก็แล่วแต

อีกหน่อยคุณไปทำงาน เจ้านายอธิบายหรือสั่งงานไม่เข้าใจ คุณไม่บอกไม่อธิบายดีๆไปเขียนใส่เศษกระดาษ
เค้าไม่มาพูดแล้วมองมาที่คุณแบบนี้หรอกนะ ผลมันจะแย่แบบเห็นกันจะๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่