เธอคงเป็นสาวแล้วนะ

กระทู้สนทนา
" พยาบาล ๆ ขอมอร์ฟีนอีกเข็ม
เจ็บเหลือเกิน ๆ เจ็บ ๆ
ผมคงไม่รอดแล้ว ขอยาอีกเข็ม
เพื่อสั่งความก่อนตายด้วยครับ "
คนไข้ที่โรงพยาบาลบ้านทุ่งหาดใหญ่
ร้องขอเสียงแผ่ว ๆ

" ไม่ได้ค่ะ ต้องไปถามคุณหมอก่อน
เพราะคุณฉีดเกินกว่าที่กำหนดแล้ว "
พยาบาลตอบพร้อมกับเดินออกไปข้างนอก

ภายในห้องคนป่วยพิเศษ
มีแม่คนไข้กับน้องสาวอยู่ด้วย
แม่คนไข้พยายามบีบนวดลูกชายเบา ๆ
ส่วนน้องสาวต่างวัยห่างกันกว่า 20 ปี
นั่งเคียงข้างกับพยายามปลอบโยนคนไข้
และบอกทนอีกนิดคงหายแล้ว

" แม่ ผมคงไม่รอดแน่แล้ว
อยากให้แม่เล่าความจริงให้ลูกผมฟังด้วย
ผมอยากกอดลูกเป็นครั้งสุดท้าย
ในฐานะพ่อหรินด้วย "
คนไข้บอกแม่ของตนเอง

ส่วนแม่คนไข้นั่งร้องไห้ไปพลาง
สะอีกสะอื้นไปพลาง
เพราะดูอาการของลูกชายน่าจะไม่รอดแน่แล้ว
แต่ก็ยังสองจิตสองใจอยู่ ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร
ส่วนน้องสาวคนไข้ก็ทำหน้างง ๆ
ไม่รู้จะไปต่อเช่นใดในตอนนี้

สักพัก พยาบาลเดินเข้ามาฉีดมอร์ฟืนให้อีกเข็ม
คนไข้มีอาการแช่มชื่นขึ้น หายเจ็บปวดไปสักครู่
พร้อมกับพยักหน้าคล้ายกับบอกแม่ให้เล่าด้วย

แม่คนไข้จึงเริ่มต้นเล่าความหลังฝังใจกว่า 20 ปี
ให้น้องสาวของคนไข้ที่ห่างกัน 20 กว่าปีฟัง

" หริน กอดพ่อด้วย
นี่คือพ่อหริน
ไม่ใช่พี่ชายหริน
แล้วเรียกว่า พ่อ ด้วย "
แม่คนไข้บอก

หริน มีอาการงง ๆ แล้วเรียก พ่อ
พร้อมกับกอดพ่อ ร้องไห้กระซิก ๆ

" นี่ พ่อหนูจริง ๆ เหรอ
แล้วทำไมพ่อหนู
ไม่ใช่อากงเหรอค่ะ "
หรินถาม

แม่คนไข้บอกพร้อมกับร้องไห้ไปพลาง

" ใช่ พ่อหรินจริง ๆ ส่วนอากง คือ ปู่หริน
ย่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่แม่หรินแต่อย่างใด
ย่าจะขอสารภาพผิดและเล่าความหลังให้ฟัง

เมื่อ 20 กว่าปีก่อน พ่อของหรินไปอยู่กินกับ
ผู้หญิงที่ทำงานสถานอาบอบนวดแถวสายสาม
จนตั้งท้องใกล้จะคลอดหรินแล้ว
พ่อหรินจะขอรับแม่หรินเข้าบ้านย่ากับปู่

แต่ปู่ไม่ยอมรับลูกสะใภ้รายนี้มาแต่แรกแล้ว
บอกถ้าเลือกได้ ให้เลือกหรินไว้ได้
แต่ไม่เลือกลูกสะใภ้คนนี้โดยเด็ดขาด

ส่วนพ่อแกก็พูดไม่ออก บอกไม่ถูกเลย
เพราะกลัวปู่มากกับเรื่องทำให้ปู่เจ็บช้ำน้ำใจ
ต้องอายญาติพี่น้องกับเพื่อนฝูงมากเลย
ในการที่ลูกชายไปอยู่กินกับแม่หริน
แล้วให้แม่หรินเลี้ยงดูพ่อหรินในช่วงนั้น

ย่าก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
ทางหนึ่งก็ลูก ทางหนึ่งก็หลานในไส้
จะให้หรินไปอยู่กับแม่หริน
ก็กลัวว่า หรินจะตกระกำลำบากในวันหน้า
เพราะพ่อหรินในตอนนั้นก็เป็น
พวกคนประเภทต้มกับ 7 แม่น้ำไม่เปื่อย
แบบเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ไม่ขยันทำงานเลย
หนีไปอยู่กับแม่หรินในช่วงแรก ๆ
แบบยอมตกระกำลำบากเพราะรัก

แต่สุดท้ายแม่หรินช่วงใกล้จะคลอดแล้ว
ก็เริ่มไม่มีรายได้และไม่มีเงินเก็บมากพออีกแล้ว
เลยพ่อหรินต้องซมซานกลับมาขอร้องปู่กับย่า
ทั้งที่บ้านปู่มีกิจการมากมายหลายอย่าง
ที่ทำเงินกับมีรายได้จำนวนมากมายในแต่ละวัน
แต่ปู่ยอมรับแต่พ่อหรินให้เข้าบ้านได้
ไม่ยอมรับแม่หรินเข้าบ้านอย่างเด็ดขาด

ส่วนปัญหาว่า ถ้าหรินคลอดแล้วจะทำอย่างไร
ทางเพื่อนปู่ที่ทำงานที่เทศบาลทุ่งหาดใหญ่
ได้แนะนำว่า ถ้าแม่หรินคลอดลูกแล้ว
ให้ย่าไปจดแจ้งสูจิบัตรว่า หรินเป็นลูกย่าเอง
ในตอนนั้น ย่าก็อายุกว่า 40 ปีแล้ว
จะท้องจะคลอดได้ยังไง

แต่เพื่อนปู่บอกทำได้
ให้แจ้งว่าคลอดที่บ้านกับหมอตำแย
แกจะรับแจ้งเกิดให้เอง
พร้อมย้ายเข้าทะเบียนบ้านของปู่ย่าเลย
โดยระบุว่าปู่กับย่าเป็นพ่อแม่หรินตามสูจิบัตร

หลังจากแม่หรินคลอดหรินแล้ว
ย่าก็ไปเยี่ยมแม่หรินก่อน
พร้อมกับรีบพาตัวหรินออกจากโรงพยาบาล
ในตอนนั้นแม่หรินกำลังนอนหลับไม่สบายอยู่
พอตื่นขึ้นมา เธอก็ร้องไห้ ร้องหาลูก
แต่พยาบาลบอกว่า
พ่อเด็กกับย่ามารับลูกเธอออกไปก่อน
อ้างว่าจะไปทำขวัญกับพิธีคนจีนที่บ้านแล้วค่อยมาส่ง
แล้วย่าก็ทำตามเพื่อนปู่บอกไว้
โดยจดทะเบียนในสูจิบัตรว่า
หรินเป็นลูกสาวของปู่กับย่า
พรัอมแจ้งชื่อหรินเข้าทะเบียนบ้านเลย

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา
ย่าก็ไม่เคยพาหรินกลับไปหาแม่หรินอีก
แม้ว่าแม่หรินจะไปแจ้งความ/ร้องเรียน
ที่โรงพัก หรือเทศบาล หรืออำเภอ
หรือมาตามหรินถึงที่บ้านปู่กับย่า
แต่ปู่ก็สั่งคนงานไว้ว่า
ห้ามแม่หรินเข้ามาเด็ดขาด
พร้อมกับสั่งให้คนงานมาไล่แม่หรินออกไป
บางครั้งก็โทรศัพท์แจ้งตำรวจให้มาไล่แม่หรินไป
ไม่ยอมรับรู้เรื่องว่าหรินเป็นลูกที่แท้จริงของเธอ
และแม่หรินก็ทำอะไรไม่ได้เลย
เพราะหลักฐานในสูจิบัตร/ทะเบียนบ้าน
ก็มีการระบุชัดเจนว่า
หรินเป็นลูกสาวของย่ากับปู่

ส่วนที่โรงพักบ้านทุ่งหาดใหญ่
ตำรวจทุกคนรู้จักเพื่อนสนิทปู่อีกคนอย่างดีเลย
เพราะเป็นนายทุน/เจ้าภาพรายใหญ่ให้โรงพัก
ช่วยเหลือเงินทองโรงพักหลายเรื่องมาตลอด
จึงไม่มีใครอยากขัดใจเพื่อนสนิทปู่แต่อย่างใด
เพราะเพื่อนสนิทปู่ไปขอร้องเรื่องนี้ไว้แล้ว
ตำรวจจึงไม่ยอมรับแจ้งความเรื่องหริน
อ้างว่ามีหลักฐานทางราชการ
ใบสูจิบัตร/ทะเบียนบ้าน
ที่ระบุชัดเจนว่า หรินเป็นลูกปู่กับย่า
กับไม่อยากตามเรื่องนี้อีกต่อไป
เพราะมีรายการขอร้องมาล่วงหน้าแล้ว

สุดท้าย แม้ว่าแม่หรินจะไปร้องเรียนที่ไหน
ไปปรึกษาเพื่อน ๆ หรือทนายความต่าง ๆ
ไปหาหมอพระ หมอผี ทำพีธีต่าง ๆ นานา
ก็ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ราว แต่อย่างใด
และไม่มีใครกล้าอาสาเดินเรื่องนี้
หรือตามเรื่องนี้ให้แม่หริน
แม่หรินถูกหลอกเงินทองไปมากมายแล้วเช่นกัน

แม้ว่า ตอนที่แม่หรินจะยังอยู่ที่บ้านทุ่งหาดใหญ่
พ่อหรินจะเคยแอบไปหาแม่หรินหลายครั้ง
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกับเรื่องหรินเลย
มีแต่ทะเลาะกันเรื่องนี้ทุกครั้ง
เพราะพ่อหรินก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
กลัวปู่โกรธขึ้นมาอีก เรื่องแม่หริน
กับเรื่องจะพาแม่หรินเข้าบ้าน

ในเวลาต่อมา หลังจากที่พ่อหริน
ทราบข่าวว่าแม่หรินกลับไปเชียงรายแล้ว
พ่อหรินก็ตามไปที่บ้านเกิดแม่หริน
แต่ทางครอบครัวแม่หรินบอกว่า
แม่หรินไปทำงานหมอนวดแผนโบราณที่พัทยา
ติดต่อไม่ได้เลยเพราะไม่ทราบที่อยู่
นาน ๆ จะส่งจดหมายมาพูดคุย
พร้อมกับส่งเงินมาให้ที่บ้าน

(ยุคนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ line facebook
โทรศัพท์บ้านก็ต้องจองกันสาม-ห้าปี
ไม่เหมือนปัตยุตบันไม่เกินหนึ่งสัปดาห์)

พอ 2-3 ปีก่อนที่ผ่านมา
พ่อหรินไปตามแม่หรินที่เชียงรายอีกครั้ง
หลังจากที่ปู่ตายไปปีเศษแล้ว
เพราะพ่อหรินเริ่มรู้ตัวว่าไม่สบายแล้วเช่นกัน
ก็ทราบข่าวจากน้องสาวแม่หรินว่า
แม่หรินแต่งงานกับชายต่างชาติที่พัทยา
แล้วย้ายไปอยู่เมืองนอก ไม่รู้ที่ไหน
ทั้งยังไม่ยอมติตต่อกับทางบ้านอีกเลย
เพราะพ่อแม่ของแม่หรินก็ตายหมดแล้ว
เลยไม่มีอะไรผูกพันหรือคิดถึงอีกแต่อย่างใด

เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้
ย่าขอโทษหรินด้วย
และย่าขอโทษแทนปู่กับเพื่อนปู่ด้วย
เพราะย่าก็กลัวพรากจากหริน
และทนไม่ได้ที่คาดว่า
หรินจะไปตกระกำลำบาก "

หริน เอาแต่ร้องไห้
พร้อมกับกอดพ่อเรียกคำว่า พ่อ ๆ ๆ

" หนู สงสัยมานานแล้วว่า
ทำไมพี่ชายหนูถึงดูแลหนูเป็นอย่างดี
และให้เรียกว่า พี่ทุกครั้ง
แต่ก็เบือนหน้าหนีทุกครั้ง
ให้ทุกอย่างที่หนูขอ
แม้ว่าปู่จะคัดค้านหรือไม่พอใจ

อากงที่หนูเรียกว่า พ่อ
ก็มักมีอาการเฉย ๆ
ไม่ค่อยแสดงออกว่ารักหนู
หรือรักหนูแบบพ่อรักลูก
เหมือนบ้านคนอื่น ๆ เลย

แม้ว่าหนูจะได้
ระแคะระคายว่า
มีคนบอกกับหนูว่า
หนูไม่ใช่ลูกย่า
แต่หนูก็ไม่เคยเชื่อ
เพราะย่ารักหนูมาก
ตามใจหนูมาตลอด
เหมือนแม่คนหนึ่งเลย "
หริน กล่าวพลางร้องไห้ไปพลาง

สักพัก พยาบาลกับหมอเดินเข้ามาดู
เพราะมีสัญญาณฉุกเฉินเรียกจากห้องคนไข้
พยาบาลจับชีพจร พร้อมกับพยักหน้า
หมอจึงบอกสั้น ๆ ว่า คนไข้ไปแล้ว
ทั้งสองคนต่างร่ำไห้อย่างเต็มที่




เรื่องนี้มีที่มาของเรื่องเป็นเหตุการณ์จริงส่วนหนึ่ง
ชื่อบุคคลและท้องเรื่องเป็นเรื่องจินตนาการ

ส่วนแม่หรินที่กล่าวถึงในท้องเรื่องก็มีตัวตนจริง
แต่เธอมาหาผมก็เป็นคนท้าย ๆ แล้ว
เมื่อราว 20 กว่าปีก่อน
เพราะเธอเริ่มท้อแท้กับถอดใจกับเรื่องจะได้ลูกคืนแล้ว
ผมก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้มากนัก
เพราะอย่างที่บอกเหตุผลไว้ในด้านบน
ผมเคยเขียนระบายความในใจไว้ในพันทิปยุคเก่า
คล้าย ๆ กับความรู้สึกผิดเหมือนกัน
ที่ช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย
ในยุคนั้น เทคโนโลยีตรวจ DNA ก็ยังไม่มีด้วย

ทราบข่าวจากเพื่อนอีกคนว่า
เธอหายไปจากบ้านทุ่งหาดใหญ่
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว

วันนี้ เผอิญเจอคนรู้จักคนที่พาเธอมาหาผม
ซึ่งผมก็ไม่พบเจอเขาราวสามสี่ปีแล้ว
เพิ่งจะมาเจอกันที่งานศพภริยาเพื่อน
ที่เผาที่วัดเกาะเสือ บ้านทุ่งหาดใหญ่
ก็ดันลืมถามเรื่องนี้ไปเลย
มานึกถึงเรื่องนี้ได้ก็ตอนจะกลับถึงบ้านแล้ว
ป่านนี้ เธอคงเป็นสาวแล้วนะ

เขียนขึ้นจากความทรงจำเก่า ๆ
ก่อนที่จะเลือนหายไปเหมือนใบไม้ปลิดปลิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่