หน้าแรก
คอมมูนิตี้
ห้อง
แท็ก
คลับ
ห้อง
แก้ไขปักหมุด
ดูทั้งหมด
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
แท็ก
แก้ไขปักหมุด
ดูเพิ่มเติม
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
{room_name}
{name}
{description}
กิจกรรม
แลกพอยต์
อื่นๆ
ตั้งกระทู้
เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก
เว็บไซต์ในเครือ
Bloggang
Pantown
PantipMarket
Maggang
ติดตามพันทิป
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้
เกี่ยวกับเรา
กฎ กติกา และมารยาท
คำแนะนำการโพสต์แสดงความเห็น
นโยบายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
สิทธิ์การใช้งานของสมาชิก
ติดต่อทีมงาน Pantip
ติดต่อลงโฆษณา
ร่วมงานกับ Pantip
Download App Pantip
Pantip Certified Developer
[SR] :: สายรุ้งละอองดาว เส้นทางมหาโหด ::
กระทู้รีวิว
เดินป่า
ภาพถ่ายทิวทัศน์
เที่ยวภูเขา
เที่ยวน้ำตก
บันทึกนักเดินทาง
ผมได้ทริปนี้มาโดยความกะทันหันมาก เพราะคนจัดทริปเขาโพสต์บอกก่อนไปประมาณ 5 ชั่วโมง เนื่องจากมีคนเท ไม่ไป ผมจึงได้ทริปนี้มาในราคาพิเศษสุดๆ หลังจากตกลงใจไป หลังเลิกงานก็ไปเตรียมตัวจัดกระเป๋า ไปขึ้นรถตอน ๒ ทุ่ม
ในใจตอนไปก็ไม่ได้ห่วงกังวลใจอะไรมาก เพราะคิดว่าคงเหมือนๆกับทริปที่เคยไปมาแล้ว เดินในป่าบ้าง ป่ายปีนเขาบ้าง คงธรรมดาๆ
แต่เมื่อไปถึงอำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง ก็พบว่าฟ้ามืดครึ้มแต่เช้า แต่ก็ยังย่ามใจอยู่ เพราะเคยไปเปรโต๊ะลอซูที่อุ้มผางมาแล้ว คงเหมือนๆ กันแหละ หลังจากนั้นก็ไปที่หน่วยย่อยของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา เพื่อเตรียมของใช้ส่วนตัว และของกองกลางเพื่อช่วยกันแบกขึ้นไป ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ ว่าการเข้าไปที่น้ำตกนี้ จะต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางเท่านั้น จะให้ชาวบ้านพาไปไม่ได้ เพราะมันเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่คุมเข้มกว่าอุทยานแห่งชาติทั่วไป และยังต้องเดินลัดเลาะไต่ลำธารไปเรื่อยๆ บางครั้งมีข้ามลำธารที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก จึงต้องใช้เจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญอย่างมากในการนำไป ฟังเสร็จสรรพก็ยังย่ามใจเป็นหนสาม เพราะคิดว่าเจ้าหน้าคงพูดไปงั้นๆแหละ
ออกจากหน่วย นั่งรถเจ้าหน้าที่ไปยังจุดเริ่มเดินประมาณ ๑๐ กิโล พอไปถึงก็แบกเป้ขึ้นหลัง เดินได้ไม่ถึง ๑๐๐ เมตรก็ขึ้นเขาเลย ทางแฉะและลื่นมาก แต่ก็ยังชิวๆ ต่อมาก็เป็นทางราบในป่าไผ่สูงๆ เลียบลำธารไปเรื่อยประมาณ ๒ กิโล จึงมาถึงเส้นทางที่ต้องเดินในลำธารจุดแรก ต้องขอบอกก่อนว่าลำธารวันขาไปน้ำใสมาก สนุกสนานกันตลอดทางเลยเชียว เดินไปในน้ำบ้าง ข้ามน้ำจุดที่ลึกบ้าง (มีภาพในอัลบั้ม) ก็ยังชิวๆ บางจุดต้องไต่ขอนไม้ข้าม ก็ตื่นเต้นดี สบายๆ จนท้ายสุดไปถึงที่พักประมาณบ่ายสอง ใช้เวลาเดินประมาณ ๕ ชั่วโมง
บรรยากาศทำอาหารกันที่แคมป์
ถึงแคมป์ริมลำธารก็ช่วยกันเตรียมที่พัก กางฟลายชีทกันฝน ผูกเปลเรียงกันเป็นปลาทูในเข่ง (ที่นี่ต้องนอนเปลเท่านั้น เต๊นอย่าหวัง เพราะไม่มีพื้นราบให้กาง และดินชื้นมาก ฝนพร้อมมาตลอดเวลา) จากนั้น ก็ช่วยกันเตรียมอาหารเย็น เพราะตกลงกันว่าจะขึ้นไปน้ำตกในพรุ่งนี้ (ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ไกล ใกล้ๆ ย้ำ! เจ้าหน้าที่บอก ๕๕๕)
การผจญภัยแรกเริ่มขึ้น ณ เวลาเย็นย่ำ สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาจากยอดเขา ไล่จนมาถึงที่พักของพวกเรา จากที่เตรียมอาหารกันชิวๆ เริ่มต้องแบกผ้าใบกันฝนกันคนละมุม พ่อครัวก็ทำหารต่อไป พวกเราก็เปียกกันไปตามๆกัน ต่อมาก็เล่นน้ำที่หน้าแคมป์ เล่นไปเล่นมา เอ๊ะ ทำไมน้ำเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีชาเย็นมากขึ้น เลยต้องขึ้นจากน้ำ ปรากฏว่าไม่กี่นาทีต่อมา น้ำป่าก็ทะลักลงมาจากยอดเขา มากันให้ลึ่มมาก เห็นละขยาด คิดว่าถ้ายังอยู่ในน้ำ หรือเดินยังไม่ถึงจะเป็นยังไงกันแน่ หึหึ
ตอนค่ำๆก็ทานอาหารกัน จากนั้นก็เข้านอน ระหว่างนอนฝนก็โปรยปรายมาตลอด น้ำเริ่มขังที่ปรายฟรายชีทและไหลมาตามสายเปล ต่อมาก็เปียกจ้าาา นอนเปียกอยู่ค่อนคืน ตื่นมาตีสี่ ขี้เกียจนอนแล้วจึงลุกมาคุยกับเจ้าหน้าที่ คุยไปคุยมาแกบอกแค่นี้อะจิ๊บๆ อยากได้หนักๆต้องโน่น เดินจากฝั่งนี้ไปออกเขื่อนเชี่ยวหลานสุราษฎร์ ไปยอดโตนพันเมตรและเหมืองโชน ๔ คืน ๕ วัน แกบอกรับรองได้ใจแน่ๆ เพราะบางคนไปมาแล้วก็ร้องไห้กลางทางก็มี คุยจนถึงตีห้ากว่าๆ ก็ไปเตรียมของขึ้นไปน้ำตก
น้ำป่า
เส้นทางไปน้ำตกเจ้าหน้าที่บอกว่าเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึง เราก็เอาวะ ผ่านมาก็เยอะ ปรากฏว่าพอเริ่มเดิน ฝนมาจ้าาาา คราวนี้หนักกว่าเก่าที่ผ่านมาทั้งคืน มาแบบเม็ดเป้งๆ และอย่างที่บอก เราต้องเดินขึ้นเขากัน ก็ขึ้นกันไปแบบลื่นมากกกกกกกกกกกกกกกก น้ำก็ไหลลงมาทางร่องทางเดินพลักๆๆๆ เราก็ต้องปีนกันไป บางคนสี่ขาคลานก็มี ปีนขึ้นไปก้าวแล้วก้าวเล่า ก็ยังไม่ถึงยอด ประหนึ่งว่ากำลังปีนหิมาลัยก็มิปาน เงยหน้าคราใดก็ไม่เห็นฟ้าแจ่มใส กลับเจอแต่เม็ดฝนกลางต้นไม้สูงใหญ่นับ ๗๐-๘๐ เมตร ก็กัดฟันเดินต่อ (ช่วงนี้ควักกล้องออกมาถ่ายไรไม่ได้เลย ขืนควักมาเสียแน่ เพราะฝนหนักมากจริงๆ) เดินขึ้นอย่างลำบากมาชั่วโมงนึงก็ถึงยอดดอย อย่าคิดว่าหมดแค่นั้น ขึ้นแล้วก็ต้องลง ขาลงไปน้ำตกนี่อย่าคิดว่าง่าย ชันยิ่งกว่าขาปีนมาอีก บางที่นี่ชัน ๘๐ องศาก็มี ต้องใช้เชือกผูกโยงลงไปน้ำตก จึงจะปีนลงกันไปได้
พอลงไปถึงด้วยความเหน็ดเหนื่ย จึงเงยหน้าท้าน้ำตก ทว่าสิ่งที่พบตรงหน้าทำให้ตกตะลึง และต้องร้อง "เข้...." (เพราะมีจระเข้อยู่ ไม่ใช่ละ) ออกมา เพราะน้ำตกมันใหญ่มาก พร้อมความอลังการด้วยม่านมน้ำ ความเหน็ดเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้ง ลงไปได้สักพักก็พยายามคว้ากล้องออกมา ทว่าภาพที่ถ่ายออกมาได้นั้น ก็จะเต็มไปด้วยละอองน้ำที่ปะทะเข้ามา และฝนก็กระหน่ำลงมาอีกรอบ จึงทำให้รูปออกมาเบลอๆ แต่ก็ยังดีที่ได้บันทึกความยิ่งใหญ่นั้นเอาไว้กับสายตาแล้ว
ขากลับไปแคมป์ก็ทุลักทุเลเช่นเดิม เดินๆ ลื่นๆกันบ้างตามประสา จนมาถึงที่แคมป์ ปรากฏว่าสายน้ำที่อยู่หน้าแคมป์มีสีชาเย็นและมีปริมาณน้ำมากยิ่งกว่าเมื่อวานเสียอีก เจ้าหน้าที่ก็ต้องจัดอีเว้นการผจญภัยข้ามลำน้ำทมิฬอีกรอบ ก้าวข้ามดึงเส้นเชือกกันไปทีละคน ทีละคน บางคนไม่สามารถยั้งขาต้านน้ำได้ ก็ลอยไปกับน้ำทั้งที่ยังจับเชือกอยู่ ก็เป็นภาระให้เจ้าหน้าที่ดึงไปอีก กว่าจะข้ามได้หมด เจ้าหน้าที่หมดแรงกันหลายคน
มาถึงแคมป์กันหมดก็เก็บของส่วนตัวและกินข้าวที่เจ้าหน้าที่ทำไว้ให้แล้ว กับข้าวอร่อยมาก ณ ตอนนั้นเอาสิบหูฉลาม ห้าไข่ปลาคาเวียร์มาแลกก็ไม่ยอม อร่อยบรรลัยเลย กินเสร็จ น้ำก็ยังไม่ลด เจ้าหน้าที่ก็ลังเลว่าจะออกดีมั๊ย จนสุดท้ายก็ได้ออกกลับมาสักบ่ายโมงเห็นจะได้ ขากลับนี้กระเป๋าเริ่มหนักขึ้นเพราะต้องเดินลุยน้ำที่ท่วมท่อนล่างของกระเป๋า บางที่ขึ้นจากน้ำก็ต้องไต่ผา หลบหลีกหนามหวายไปตลอด บางคนโดนสายหนามกรีดได้เลือดก็มี ตอนลุยน้ำ ยามใดที่มีน้ำไหลนิ่ง บางคนที่แบกสัมภาระตัวเองไม่ไหวแล้ว ก็จะทิ้งตัวล่องลอยลงไปกับสายน้ำ ให้เจ้าหน้าที่ไปตามเก็บกันที่หน้าๆ ๕๕๕๕ เข่าอ่อนกันไปตามๆกัน บางคนก็ต้องคอยสำรวจแข้งขาตัวเอง เพื่อดูว่ามีทากตัวเขื่องดูดอยู่หรือเปล่า พูดละขยาดไปตามๆกัน
สุดท้ายกว่าจะมาถึงจุดเริ่มเดินก็ปาเข้าไปห้าโมงกว่า พอไปถึงไม่ทำอะไรทั้งนั้น สลัดกระเป๋าทิ้งก่อนเลย จากนั้นก็นั่งรถไปที่หน่วยในตอนแรก แข้งขาตอนลงรถอ่อนแรงมาก แทบเดินไม่ไหว ฝนก็ยังตกอยู่เนืองๆ ทุกคนต่างแยกย้ายกันชำระโคลนตมออกจากตัว หลังจากนั้นก็ขึ้นรถตีกลับ กทม กันสักหกโมงกว่าๆ จนมาถึง กทม ตีสามครึ่ง
จริงอยู่ว่าในตอนเดินในใจอาจจะคิดว่า "กูมาทำอะไรอยู่ที่นี่วะ" แต่ตอนกลับมานั่งเขียนรีวิวนี้ ให้ตายเถอะ อยากแพ็คกระเป๋าอีกแล้วว่ะ ....
ชื่อสินค้า:
น้ำตกสายรุ้งละอองดาว ต.บ้านนา อ.กะเปอร์ จ.ระนอง
คะแนน:
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น
▼
กำลังโหลดข้อมูล...
▼
แสดงความคิดเห็น
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
บทสรุปทริปที่ 138
บทสรุปทริปที่ 138🥰 หนุ่มพเนจรท่องไปตามฝัน🛣️🚌 พรุ่งนี้กลับบ้าน🙏 ปิดทริปที่ 138🥰 แม้จะน้อยกว่าที่แพลนไว้ แต่ก็มีความสุข ประทับใจทุกลาน⛺ 1️⃣บ้านไร่ชายน้ำ ด่านช้าง สุพรรณบุรี ลานกางเต็นท์ริมลำธารจากเขื่
สมาชิกหมายเลข 4116122
JJNY : พิธา มาแล้ว│พรรคปชน.แจงข่าวปลอม ไม่มีโหวตแลก│เพชรบูรณ์อ่วม! ฝนถล่มน้ำป่าหลาก│น้ำท่วมปากีสถานเดือดร้อน 1.5 ล้านคน
พิธา มาแล้ว โพสต์ส่งกำลังใจถึง เท้ง และพรรคประชาชน.https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9917510..พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มาแล้ว โพสต์ส่งกำลังใจถึง เท้ง และพรรคประชาชน.จากกรณีสถานการณ์ทางการเมืองขณะน
สมาชิกหมายเลข 3837943
เชียงใหม่ฤดูฝน 4วัน 3คืน ต๊ะต่อนยอนไปไหนได้บ้างมาลองดูกัน
สวัสดีคนชอบเที่ยวค่ะ มีวันหยุดไม่ได้เลยต้องหาที่เที่ยวตลอด เมื่อทีมเที่ยวอยากนั่งรถไฟชั้น 1 CNR ไปเชียงใหม่ ภารกิจจองให้ไวจึงเกิดขึ้นค่ะ กำหนดว่าจะไปช่วงวันแม่ นับถอยหลัง 180วันเพื่อจอง 8.30น. เปิดร
สมาชิกหมายเลข 1914544
เดินเขา..นอรเวย์ ...Kjerag, Preikestolen และTrolltunga
พอดีว่าวีซ่าเชงเก้นเหลืออยู่1ปี มีน้องที่เป็นนักเที่ยว Soloระดับเทพจะไปปีนเขาที่นอร์เวย์ ก็เลยขอติดตามไปด้วย ทริปนี้จึงมีกันแค่สองคน...นับว่าโชคดีมากถือเป็นทริปที่ถูกใจสุดๆ น้องเขา plan เอาไว้อย
สมาชิกหมายเลข 7127780
สายรุ้งละอองดาว น้ำตกงามแห่งป่าใต้ งดงามสมชื่อเค้าจริงๆ
ส า ย รุ้ ง ล ะ อ อ ง ด า ว . . . . ว่ากันว่าเป็นน้ำตกที่ใหญ่และสวยที่สุดในภาคใต้ แอบหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกรอยต่อระหว่างจังหวัดระนองกับสุราษฎร์ธานี ตอนเราได้ยินครั้งแรกก็สงสัยว่าน้ำตกอะไรชื่อหวานซะข
Rogan_holiday
NAD HIKING:: "เปรโต๊ะลอซู" ตามหาหัวใจ 💖 ฉัน-ทำ-ได้-โว้ยยย!! ก็อยากขิงๆ อะ
สวัสดีค่า เราจะมาทุกคนมาพบกับความยากลำบากก ทั้งการใช้ชีวิตที่ต้องนอนกลางสายฝน เจอดินโคลนที่โคตรเละ ไหนจะต้องไปพิชิตยอด และแว๊ะไปเช็คอินกับน้ำตกปิตุโกร (น้ำตกรูปหัวใจ) อีก !! โอ้โห ฉันทำได้ยังไงวะเนี่ย
nadtiiz
🐴🌳🏞️ พาไปเดินถ่ายรูปเล่น ที่ลำธาร @ Santa Rosita , Colombia 🐴🌳🏞️
สวัสดี พี่ๆ น้องๆ และทุกๆท่าน วันนี้ เป็นวันหยุด อากาศค่อนข้างร้อน ไปเดินเล่นริมลำธารกันดีกว่า ก่อนอื่นต้องเตรียมน้ำดื่ม และอุปกรณ์สำหรับเดินป่าสักหน่อย ภูมิประเทศเป็นภูเขา มีป่าไม้ ก็ต้องมีน้ำตก และ
Chow Tu Tu
ป่าละอู ประจวบฯ - ถ้ำรงค์ เพชรบุรี (19-20/07/2568)
สวัสดีครับ เมื่อถึงช่วงทุเรียนออกผล เพื่อนก็มักจะชวนไปกินทุเรียน ที่ป่าละอู ด้วยความอยากรู้ว่า ทุเรียนป่าละอู อร่อยขนาดไหน และ มีน้ำตกป่าละอู ที่อยากจะแวะ เลยเกิดทริปนี้ขึ้นมา ขากลับ ผ่านเมืองเพชรฯ เล
AUN_SAP
เดินป่าหน้าฝนเพื่อ "ตามหาหัวใจ" ที่ เปรโต๊ะลอซู อุ้มผาง จ.ตาก
“The storm will pass, but the lessons of the monsoon will stay forever.”." พายุจะพัดผ่านไป แต่บทเรียนจากพายุมรสุม จะคงอยู่ไปตลอดกาล " . ขอเริ่มต้นด้วยโควทเหมือนเดิมตามสไตล์ เป็นโ
แกงเขียนหวานหมูเด้ง
แนะนำจากการใช้งานจริง ปั้มลมจิ๋ว 2 In 1 โคมไฟในตัว แต่อเนกประสงค์มาก!!
สวัสดีครับเพื่อนๆ สายแคมป์ทุกคน เมื่อไม่นานมานี่ผมเพิ่งไปกางเต็นท์ที่เขายายเที่ยงและเจอปัญหาพายุลมแรง-ฝนตกหนัก สาดเข้ามาจนของเปียกหมด และเป็นจังหวะดีที่ผมเพิ่งได้ไอเท็มใหม่ คือ Flextail Max Pump 3 ซึ
สมาชิกหมายเลข 3098973
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
เดินป่า
ภาพถ่ายทิวทัศน์
เที่ยวภูเขา
เที่ยวน้ำตก
บันทึกนักเดินทาง
บนสุด
ล่างสุด
อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้
หน้า:
หน้า
จาก
แชร์ : 135
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ยอมรับ
[SR] :: สายรุ้งละอองดาว เส้นทางมหาโหด ::
ในใจตอนไปก็ไม่ได้ห่วงกังวลใจอะไรมาก เพราะคิดว่าคงเหมือนๆกับทริปที่เคยไปมาแล้ว เดินในป่าบ้าง ป่ายปีนเขาบ้าง คงธรรมดาๆ
แต่เมื่อไปถึงอำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง ก็พบว่าฟ้ามืดครึ้มแต่เช้า แต่ก็ยังย่ามใจอยู่ เพราะเคยไปเปรโต๊ะลอซูที่อุ้มผางมาแล้ว คงเหมือนๆ กันแหละ หลังจากนั้นก็ไปที่หน่วยย่อยของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา เพื่อเตรียมของใช้ส่วนตัว และของกองกลางเพื่อช่วยกันแบกขึ้นไป ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ ว่าการเข้าไปที่น้ำตกนี้ จะต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางเท่านั้น จะให้ชาวบ้านพาไปไม่ได้ เพราะมันเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่คุมเข้มกว่าอุทยานแห่งชาติทั่วไป และยังต้องเดินลัดเลาะไต่ลำธารไปเรื่อยๆ บางครั้งมีข้ามลำธารที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก จึงต้องใช้เจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญอย่างมากในการนำไป ฟังเสร็จสรรพก็ยังย่ามใจเป็นหนสาม เพราะคิดว่าเจ้าหน้าคงพูดไปงั้นๆแหละ
ออกจากหน่วย นั่งรถเจ้าหน้าที่ไปยังจุดเริ่มเดินประมาณ ๑๐ กิโล พอไปถึงก็แบกเป้ขึ้นหลัง เดินได้ไม่ถึง ๑๐๐ เมตรก็ขึ้นเขาเลย ทางแฉะและลื่นมาก แต่ก็ยังชิวๆ ต่อมาก็เป็นทางราบในป่าไผ่สูงๆ เลียบลำธารไปเรื่อยประมาณ ๒ กิโล จึงมาถึงเส้นทางที่ต้องเดินในลำธารจุดแรก ต้องขอบอกก่อนว่าลำธารวันขาไปน้ำใสมาก สนุกสนานกันตลอดทางเลยเชียว เดินไปในน้ำบ้าง ข้ามน้ำจุดที่ลึกบ้าง (มีภาพในอัลบั้ม) ก็ยังชิวๆ บางจุดต้องไต่ขอนไม้ข้าม ก็ตื่นเต้นดี สบายๆ จนท้ายสุดไปถึงที่พักประมาณบ่ายสอง ใช้เวลาเดินประมาณ ๕ ชั่วโมง
บรรยากาศทำอาหารกันที่แคมป์
ถึงแคมป์ริมลำธารก็ช่วยกันเตรียมที่พัก กางฟลายชีทกันฝน ผูกเปลเรียงกันเป็นปลาทูในเข่ง (ที่นี่ต้องนอนเปลเท่านั้น เต๊นอย่าหวัง เพราะไม่มีพื้นราบให้กาง และดินชื้นมาก ฝนพร้อมมาตลอดเวลา) จากนั้น ก็ช่วยกันเตรียมอาหารเย็น เพราะตกลงกันว่าจะขึ้นไปน้ำตกในพรุ่งนี้ (ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ไกล ใกล้ๆ ย้ำ! เจ้าหน้าที่บอก ๕๕๕)
การผจญภัยแรกเริ่มขึ้น ณ เวลาเย็นย่ำ สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาจากยอดเขา ไล่จนมาถึงที่พักของพวกเรา จากที่เตรียมอาหารกันชิวๆ เริ่มต้องแบกผ้าใบกันฝนกันคนละมุม พ่อครัวก็ทำหารต่อไป พวกเราก็เปียกกันไปตามๆกัน ต่อมาก็เล่นน้ำที่หน้าแคมป์ เล่นไปเล่นมา เอ๊ะ ทำไมน้ำเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีชาเย็นมากขึ้น เลยต้องขึ้นจากน้ำ ปรากฏว่าไม่กี่นาทีต่อมา น้ำป่าก็ทะลักลงมาจากยอดเขา มากันให้ลึ่มมาก เห็นละขยาด คิดว่าถ้ายังอยู่ในน้ำ หรือเดินยังไม่ถึงจะเป็นยังไงกันแน่ หึหึ
ตอนค่ำๆก็ทานอาหารกัน จากนั้นก็เข้านอน ระหว่างนอนฝนก็โปรยปรายมาตลอด น้ำเริ่มขังที่ปรายฟรายชีทและไหลมาตามสายเปล ต่อมาก็เปียกจ้าาา นอนเปียกอยู่ค่อนคืน ตื่นมาตีสี่ ขี้เกียจนอนแล้วจึงลุกมาคุยกับเจ้าหน้าที่ คุยไปคุยมาแกบอกแค่นี้อะจิ๊บๆ อยากได้หนักๆต้องโน่น เดินจากฝั่งนี้ไปออกเขื่อนเชี่ยวหลานสุราษฎร์ ไปยอดโตนพันเมตรและเหมืองโชน ๔ คืน ๕ วัน แกบอกรับรองได้ใจแน่ๆ เพราะบางคนไปมาแล้วก็ร้องไห้กลางทางก็มี คุยจนถึงตีห้ากว่าๆ ก็ไปเตรียมของขึ้นไปน้ำตก
น้ำป่า
เส้นทางไปน้ำตกเจ้าหน้าที่บอกว่าเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึง เราก็เอาวะ ผ่านมาก็เยอะ ปรากฏว่าพอเริ่มเดิน ฝนมาจ้าาาา คราวนี้หนักกว่าเก่าที่ผ่านมาทั้งคืน มาแบบเม็ดเป้งๆ และอย่างที่บอก เราต้องเดินขึ้นเขากัน ก็ขึ้นกันไปแบบลื่นมากกกกกกกกกกกกกกกก น้ำก็ไหลลงมาทางร่องทางเดินพลักๆๆๆ เราก็ต้องปีนกันไป บางคนสี่ขาคลานก็มี ปีนขึ้นไปก้าวแล้วก้าวเล่า ก็ยังไม่ถึงยอด ประหนึ่งว่ากำลังปีนหิมาลัยก็มิปาน เงยหน้าคราใดก็ไม่เห็นฟ้าแจ่มใส กลับเจอแต่เม็ดฝนกลางต้นไม้สูงใหญ่นับ ๗๐-๘๐ เมตร ก็กัดฟันเดินต่อ (ช่วงนี้ควักกล้องออกมาถ่ายไรไม่ได้เลย ขืนควักมาเสียแน่ เพราะฝนหนักมากจริงๆ) เดินขึ้นอย่างลำบากมาชั่วโมงนึงก็ถึงยอดดอย อย่าคิดว่าหมดแค่นั้น ขึ้นแล้วก็ต้องลง ขาลงไปน้ำตกนี่อย่าคิดว่าง่าย ชันยิ่งกว่าขาปีนมาอีก บางที่นี่ชัน ๘๐ องศาก็มี ต้องใช้เชือกผูกโยงลงไปน้ำตก จึงจะปีนลงกันไปได้
พอลงไปถึงด้วยความเหน็ดเหนื่ย จึงเงยหน้าท้าน้ำตก ทว่าสิ่งที่พบตรงหน้าทำให้ตกตะลึง และต้องร้อง "เข้...." (เพราะมีจระเข้อยู่ ไม่ใช่ละ) ออกมา เพราะน้ำตกมันใหญ่มาก พร้อมความอลังการด้วยม่านมน้ำ ความเหน็ดเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้ง ลงไปได้สักพักก็พยายามคว้ากล้องออกมา ทว่าภาพที่ถ่ายออกมาได้นั้น ก็จะเต็มไปด้วยละอองน้ำที่ปะทะเข้ามา และฝนก็กระหน่ำลงมาอีกรอบ จึงทำให้รูปออกมาเบลอๆ แต่ก็ยังดีที่ได้บันทึกความยิ่งใหญ่นั้นเอาไว้กับสายตาแล้ว
ขากลับไปแคมป์ก็ทุลักทุเลเช่นเดิม เดินๆ ลื่นๆกันบ้างตามประสา จนมาถึงที่แคมป์ ปรากฏว่าสายน้ำที่อยู่หน้าแคมป์มีสีชาเย็นและมีปริมาณน้ำมากยิ่งกว่าเมื่อวานเสียอีก เจ้าหน้าที่ก็ต้องจัดอีเว้นการผจญภัยข้ามลำน้ำทมิฬอีกรอบ ก้าวข้ามดึงเส้นเชือกกันไปทีละคน ทีละคน บางคนไม่สามารถยั้งขาต้านน้ำได้ ก็ลอยไปกับน้ำทั้งที่ยังจับเชือกอยู่ ก็เป็นภาระให้เจ้าหน้าที่ดึงไปอีก กว่าจะข้ามได้หมด เจ้าหน้าที่หมดแรงกันหลายคน
มาถึงแคมป์กันหมดก็เก็บของส่วนตัวและกินข้าวที่เจ้าหน้าที่ทำไว้ให้แล้ว กับข้าวอร่อยมาก ณ ตอนนั้นเอาสิบหูฉลาม ห้าไข่ปลาคาเวียร์มาแลกก็ไม่ยอม อร่อยบรรลัยเลย กินเสร็จ น้ำก็ยังไม่ลด เจ้าหน้าที่ก็ลังเลว่าจะออกดีมั๊ย จนสุดท้ายก็ได้ออกกลับมาสักบ่ายโมงเห็นจะได้ ขากลับนี้กระเป๋าเริ่มหนักขึ้นเพราะต้องเดินลุยน้ำที่ท่วมท่อนล่างของกระเป๋า บางที่ขึ้นจากน้ำก็ต้องไต่ผา หลบหลีกหนามหวายไปตลอด บางคนโดนสายหนามกรีดได้เลือดก็มี ตอนลุยน้ำ ยามใดที่มีน้ำไหลนิ่ง บางคนที่แบกสัมภาระตัวเองไม่ไหวแล้ว ก็จะทิ้งตัวล่องลอยลงไปกับสายน้ำ ให้เจ้าหน้าที่ไปตามเก็บกันที่หน้าๆ ๕๕๕๕ เข่าอ่อนกันไปตามๆกัน บางคนก็ต้องคอยสำรวจแข้งขาตัวเอง เพื่อดูว่ามีทากตัวเขื่องดูดอยู่หรือเปล่า พูดละขยาดไปตามๆกัน
สุดท้ายกว่าจะมาถึงจุดเริ่มเดินก็ปาเข้าไปห้าโมงกว่า พอไปถึงไม่ทำอะไรทั้งนั้น สลัดกระเป๋าทิ้งก่อนเลย จากนั้นก็นั่งรถไปที่หน่วยในตอนแรก แข้งขาตอนลงรถอ่อนแรงมาก แทบเดินไม่ไหว ฝนก็ยังตกอยู่เนืองๆ ทุกคนต่างแยกย้ายกันชำระโคลนตมออกจากตัว หลังจากนั้นก็ขึ้นรถตีกลับ กทม กันสักหกโมงกว่าๆ จนมาถึง กทม ตีสามครึ่ง
จริงอยู่ว่าในตอนเดินในใจอาจจะคิดว่า "กูมาทำอะไรอยู่ที่นี่วะ" แต่ตอนกลับมานั่งเขียนรีวิวนี้ ให้ตายเถอะ อยากแพ็คกระเป๋าอีกแล้วว่ะ ....
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น