ส่วนตัวบอกก่อนว่าผมไม่มีความรู้ด้านฟิสิกส์แบบเชิงลึก ไม่สามารถนำสมการยากๆ มาเข้าสมการเพื่อหาคำตอบให้ได้
และนี่ก็เป็นแนวคิดที่ออกแนวเพ้อฝันพอสมควร และแน่นอน โคตรจะขัดสามัญสำนึกสุดๆ

แต่หากต้องการรวมทุกอย่างให้ง่ายที่สุด ผมว่าแนวคิดแบบนี้มันก็ง่ายดีนะ
แนวคิดจักวาล 2 มิติ กับการคืนสมดุล และการคงที่ของเวลา
1 ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มด้วยการไม่มีอะไรเลยมีแต่ Space (มิติที่1) และพลังงาน A (มิติที่2)
2 เวลาเป็นสิ่งคงที่
3 ทุกสิ่งล้วนต้องการคืนสู่สมดุล
ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่า พื้นที่ กับ Space ถือเป็นคนละอย่างกันนะครับ(อาจจะงงแต่อ่านๆ ไปก่อนละกัน)
แล้วก็เวลานั้นคงที่ แต่ที่รู้สึกว่ามันผ่านไปตลอดนั้นไม่ใช่เวลา แต่เป็นกระแสเวลา (หรืออะไรสักอย่างที่ทำให้สิ่งต่างๆ ไม่ต้องหยุดนิ่ง – ก็แล้วแต่คุณจะเรียกละกัน) ดังนั้นเมื่อกระแสเวลาขยับ จึงจำต้องชดเชยด้วยค่าบางอย่างที่ทำให้เวลานั้นกลับสู่ค่าเดิม ค่านี้เองที่ทำให้เวลาเป็นค่าคงที่(งงอีกแล้วสินะ อ่านๆ ไปเหอะ เพราะผมไม่งง)
Space หรือมิติที่ 1 ตั้งอยู่บนแผ่นน้ำนิ่งเรียบที่เป็นมิติที่ 2 (พลังงาน A) แล้วเราก็จะเรียกมันว่าจักวาล
เริ่มแรกเดิมทีจักวาลนั้นนิ่งสนิท ครั้งเมื่อเกิด big bang พื้นที่เกิดการสั่นไหว แรงกระเพื่อมของพลังงาน A ส่งถ่ายให้ Space สั่นสะเทือนและสะท้อนไปมา(space มีอยู่แล้วในทุกที่)จนเกิดความโกลาหลบนแผ่นพื้นน้ำที่เคยนิ่งสนิทนั้น เกิดเป็นกาลอวกาศ ขยายตัวออกไปเรื่อยๆ แรงกระเพื่อมจะแผ่ขยายและลดระดับพลังงาน A จนสุดท้ายก็จะนิ่งหายไป นี่คือทฤษฏี big bang เพราะเราพยายามจะเอาเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะเมื่อถูกสังเกต ขอบเขตของการสังเกตจะแผ่ขยายออกไปตามมิติเวลาเพราะเราอยู่ในมิติที่มีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่เมื่อคิดว่าเวลาเป็นสิ่งคงที่ เราก็จะตัดมิติเวลาออกให้เหลือแค่ 2 มิติ
แต่จริงๆ แล้วแผ่นน้ำที่ Space ตั้งอยู่นั้นประสานเข้าหากันเป็น 1 เดียวทั้งหมด ในแค่ 2 มิติ มันจะเป็นทั้งจุดเริ่ม และจุดจบ รวมทั้งเวลาเองก็ด้วย เมื่อยึดตามหลักเทอโมไดนามิกส์ แผ่นน้ำนั้นจะสั่นไหวด้วยพลังงาน A อยู่แล้ว และมันก็จะสั่นไหวอยู่แบบนั้นไปตลอด เพราะกฎทรงมวลและพลังงาน
หากว่าจักรวาลไม่ได้ว่างเปล่า แต่เต็มไปด้วย Space แล้วหากพลังงาน A แพร่กระจายไปเรื่อยๆ(วงน้ำขยายขึ้น) Space ก็จะลดระดับของพลังงาน A ลง ควบแน่นจนเกิดเป็น Mass ไอ้ช่องว่างที่หายไปของ Space นี่เอง จึงได้เกิดเป็นสนามความโน้มถ่วง ดึงดูด Space ข้างๆ ให้ไหลเข้ามาหา
และหากพลังงานอื่นหรือคลื่นใดๆ จำเป็นต้องเดินทางผ่านตัวกลางต่างๆ แล้ว แม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งมีพลังงานสูงมากจึงเดินทางผ่าน Space ได้โดยไม่ต้องมีสื่ออื่นใดเพิ่มเติม เพราะ Space เป็นทั้งตัวตนของมิติ และเป็นตัวกลางของพลังงานเหล่านั้น
หากคิดในรูปแบบที่ว่า แรงแม่เหล็กและไฟฟ้าอาจจะไม่ได้ตั้งฉากกัน แต่ invert กันโดยสมบูรณ์ เช่นเดียวกับแสง ที่ invert กันในรูปแบบของพลังงานและมวล จนมีคุณสมบัติของ ทั้ง 2 สิ่งอยู่ในตัว จึงเดินทางได้โดยไม่ต้องมีตัวกลาง(แต่จริงๆแล้วผ่าน Space) แต่พลังงานคลื่นอื่นๆ ที่พลังงานต่ำกว่าจำเป็นต้องเดินทางผ่าน Mass เพราะรูปแบบความหนาแน่นของ Mass ที่สูงทำให้เดินทางผ่านได้ง่ายกว่า
หากคุณสมบัติของแม่เหล็ก และไฟฟ้ามีส่วนเหนี่ยวนำต่างกันกล่าวคือ พลังงานแม่เหล็ก ส่งผลต่อ Mass และ พลังงานไฟฟ้า ส่งผลต่อ Space กระแสไฟฟ้าจึงต้องมีตัวกลางเพื่อส่งผ่าน และเมื่อถึงปลายทาง พลังงานที่เก็บกักไว้จึงปลดปล่อยออกมาในรูปของพลังงานแม่เหล็ก(พลังงานจาก....อะไรสักอย่างที่ส่งพลังงานให้สิ่งต่างๆ) กำเนิดเป็นคลื่นหรือพลังงานจลน์ พลังงานกล และพลังงานศักดิ์ พลังงานแสง หรือพลังงานใดๆ ที่ส่งถ่ายผ่าน อิเล็กตรอนหรือไอออนอะไรก็แล้วแต่
เมื่อคิดในรูป 2 มิติ แล้วให้เวลาเป็นสิ่งคงที่ เวลาที่ผ่านไปจะต้องถูกชดเชยด้วย กระแสเวลา ความเร็วของแสงและแม่เหล็กไฟฟ้าจึงหยุดอยู่แค่ตัวเวลา ไม่สามารถเกินไปกว่านั้นได้ แสงและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจึงเร็วได้แค่นั้น
หากมองในแง่การที่ทฤษฏีจักวาลขยายตัวได้เกินกว่าความเร็วแสงนั่นเป็นเพราะว่า นอกอาณาเขตของกระแสเวลา Space นั้นไม่ได้มีสิ่งใดอยู่ พลังงาน A จึงไหลไปได้โดยไม่มีเวลาเป็นตัวกำหนด แต่เมื่อใดที่เกิดกระแสเวลาขึ้นแล้ว ความเร็วของพลังงานอื่นๆ ก็จะค้างไว้ที่ความเร็วแสงเท่านั้น
เมื่อพลังงาน A ลดต่ำลงจนถึงจุดหนึ่งจนส่งผลให้ความยาวคลื่นกว้างมากจนเกือบเป็นเส้นตรงในระดับอนุภาค การสั่นพ้องของพลังงาน A มากมายจึงแปลงสภาพเป็นสนามพลังงานที่เรียกว่าควอนตัมฟิลด์
ควอนตั้มฟิลด์ที่สั่นพ้อง ณ จุดใดจุดหนึ่งอย่างรุนแรงจะเกินการควบแน่น Space ให้กลายเป็นอนุภาคพื้นฐานต่างๆ ในสนามพลังงานควอนตัม และทำให้เกิด Mass ขึ้น Mass ที่เกิดขึ้นก็ดึงเอาช่องว่างของ Space ที่หายไปให้กลายเป็นความโน้มถ่วง อนุภาคพื้นฐานใดๆ และพลังงานใด ที่ก่อตัวขึ้นจึงเป็นแค่ผลของพลังงานในรูปแบบ 2 มิตินี้ จาก Space และ พลังงาน A เพียงเท่านั้น( นึกถึงกราฟ 2มิติรูปภูเขายอดสูงปริ๊ด แต่เล็กจิ๋ว จนมองไม่เห็น)
และอนุภาคก็คือสนามควอนตัมที่สั่นสะเทือนด้วยค่าคงระดับหนึ่งที่จนอยู่ตัว มีความถี่และพลังงานในมิติที่ 2 ที่สูงมาก แต่ จนเมื่อเกิดการแทรกแซงพลังงานอย่างกะทันหันในอนุภาคของ Mass จะทำให้เกิดการพลิกกลับของความถี่และพลังงาน ทำให้ Mass นั้นหายไป และการที่ Mass หายไปนั้นกลับคืนช่องว่างของ Space กลับมาให้ด้วยจึงเกิดเป็นแรงพลังงานเกือบค่าอนันต์หรือสมการ e=mc2 ที่รู้จักกันของไอน์สไตน์(นึกถึงหากยอดเขาสูงปริ๊ดถล่มลงมาใส่ทะเล ก็ซึนามิดีๆนี่ล่ะ)
แต่หากอนุภาคกับอนุภาคส่งพลต่อกันในระดับที่ไม่แทรกแซงต่อกันจนโครงสร้างไม่เสียหายก็จะประสานหรือควบรวมส่วนหนึ่งของ Space เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดเป็นคุณสมบัติของวัตถุขึ้น อนุภาคพื้นฐานต่างๆ อะตอมและสะสาร และแปรสภาพ Mass บางส่วนที่เป็นส่วนเกินหรือขาด เกิดเป็นการดูดและคายพลังงานในสมการฟิสิกส์ต่างๆ เฉกเช่นทฤษฎีสตริง
เพราะเหตุนี้การพิสูจน์สมการต่างๆ ของไอน์สไตน์เป็นการพิสูจน์ในรูปแบบสมการหลายมิติ (กาล-อวกาศ-พลังงาน ที่มี 4 มิติหรือมากกว่า) จึงมีคำตอบที่แน่นอนให้กับสเกลขนาดใหญ่
แต่การสังเกตการณ์ควอนตัมนั้นเป็นไปไม่ได้ในมิติที่ 4 แบบเรา เพราะเป็นมิติคนละแบบ
การพิสูจน์สมการต่างๆ ด้วยควอนตัมนั้นจึงเป็นการพิสูจน์ในรูปแบบสมการ 2 มิติ คำตอบของมันจึงไม่แน่นอนเมื่อเลือกตัวแปรจากคนละมิติมาเข้าสมการ จึงหาคำตอบให้ตัวแปรสุดท้ายที่อยู่ในมิติที่ 3 ไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องโดยเฉพาะการที่เรากำหนดให้เวลามีการเปลี่ยนแปลง
และควอนตัมจึงเป็นสิ่งที่มี ที่อยู่บนสิ่งที่ไม่มี ซึ่งก่อนหน้านั้นมันก็มีอยู่ของมันอยู่แล้ว และมันก็จะมีแบบนั้นทั้งที่เห็นว่าไม่มี
จักวาล 2 มิติ จึงทำให้ควอนตัมเป็นแค่การคงสมดุลของ Space และพลังงาน A เท่านั้น ผ่านการสั่นสะเทือนและแลกเปลี่ยนพลังงานกับอนุภาคให้กันและกัน แต่คุณจะไม่มีวันหาพวกมันเจอ เพราะมันคือมิติ มันไม่มีตัวตนแต่มันก็อยู่ตรงนั้น ถึงคุณรู้ว่ามันอยู่ที่นั่น และคุณอาจแก้สมการเพื่อให้รู้ว่ามันมีอยู่ที่จุดนั้นได้ แต่คุณก็จะไม่สามารถมองเห็นหรือตรวจสอบได้ เพราะทุกอย่างมันคือสิ่งเดียวกันทั้งหมดประสานรวมกันเป็นแผ่นผืนเดียวกันขนาดใหญ่
และเมื่อเอาเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มิติที่มีแค่ 2 แบบวงแหวนโมบิอุสก็จะวนกลับสู่จุดเดิมของมันแบบซ้ำไปซ้ำมาจนเกิดความสมดุลแบบเดิม เช่นแบบสั้นๆ (หากไม่นับเวลา) ก็คือยังไงมันต้องเป็นไปแบบที่มันต้องเป็นไป หรือแบบยาวๆ (มีเวลาเป็นพันปี) ก็คืออดีตส่งผลถึงอนาคตแบบไหนก็แบบนั้น
ตามแนวคิดนี้ ถึงแม้เราจะรบกวนกระแสกาลเวลาจนเกิดเป็นเส้นกระแสกาลเวลาใหม่สักเท่าไรหรือทฤษฎีโลกคู่ขนานจะทำให้เกิดเส้นเวลาแตกแขนงมากเท่าไหร่ ในที่สุด ธรรมชาติของมันจะค่อยๆ ชดเชยความต่างของเส้นกระแสเวลาต่างๆ จนสุดท้ายเส้นเวลาก็จะกลับมาบรรจบกัน ณ จุดใดจุดหนึ่งอยู่ดี
สิ่งที่แนวคิดนี้น่าจะให้คำตอบได้
1 ทำไมก่อน big bang จึงไม่มีเวลาและพื้นที่? เพราะคุณเอามิติเวลาไปเป็นตัววัดสิ่งที่มีอยู่แล้ว คุณจึงพบกับขีดจำกัดที่เวลานั้นไปถึง และเมื่อวันหนึ่งพลังงาน A สิ้นสุดการสั่นไหว ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเข้าสู่สภาวะ Mass ดึงทุกอย่างกลับเข้าหากันแต่ในเมื่อมันเป็นแค่ 2 มิติ มันก็จะอยู่แบบนั้นของมันนั่นล่ะ(งงมั้ย? น่าจะงงอยู่ 555+ แต่ในความคิดผม ผมไม่งงนะ) และเมื่อทุกอย่างอัดแน่นเกินขีดก็ระเบิดพลังงาน A ออกมาใหม่
2 สภาวะพัวพันของควอนตัมเกิดขึ้นได้อย่างไร? เพราะมันคือการสั่นพ้องของควอนตัมในระดับ 2 มิติ ที่ไม่มีเวลามาเกี่ยวข้องซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกันทุกที่ที่มี Space
3 สสารมืดคืออะไร? หากคุณเปลี่ยนคำว่า space เป็น X ดังนั้น X ก็จะเป็น สสารมืดที่ทำให้เกิดทั้ง “ที่ว่าง” และ “มวล” จึงตอบได้ด้วยว่า สสารมืดที่หากันอยู่หายไปไหน และพลังงาน A ก็คือพลังงานมืดที่จะทำให้เกิดพลังงานอื่นๆ นั่นล่ะ
4 ความโน้นถ่วงเกิดขึ้นได้อย่างไร? มันคือช่องว่างที่หายไปของ Space เกิดเป็นแรงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพลังงาน A ที่ใช้ดึงและส่งผลต่อ Space และ Mass อื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ให้ดึงทุกอย่างให้เข้าหา เป็นกาลอวกาศของไอน์สไตน์ และเป็นแรงที่กระทำต่ออนุภาคของควอนตัม
5 แสงมีความเร็วคงที่ในสุญญากาศแต่กลับลดลงเมื่อผ่านตัวกลางอื่นๆ นั่นเพราะถูกรบกวนโดยความถี่ของพลังงาน A โดยรอบที่ต่ำกว่าทำให้ตัวของแสงเสียความเร็วไป
6 อุณหภูมิ 0 องศาสมบูรณ์ คือสภาวะที่ทุกอย่างหยุดนิ่ง พลังงานที่ต่ำจน Space และ Mass หยุดนิ่ง อะตอมเองก็เข้าสู่สภาวะเรียบเพราะพลังงานทุกอย่างถูกดึงออกไปจนหมดรวมทั้งพลังงาน A
7 แสงไม่ได้มีความเร็วคงที่ แต่เป็น เวลาต่างหาก ที่คงที่ เราจึงไม่สามารถข้ามเวลาหรือย้อนเวลาได้ (แต่เราอาจจะเคลื่อนที่เร็วเกินความเร็วแสงได้ – ไม่รู้สินะ)
8 แต่เมื่อคุณเดินทางด้วยความเร็วที่มากยิ่งขึ้น พลังงานที่ต้องใช้เพื่อเปลี่ยนการกระจัดของคุณบนมิติ Space ยิ่งต้องใช้มากขึ้น เพื่อแทรกผ่าน Space ที่ขวางทางคุณอยู่ พลังงานที่ต้องใช้อาจถึงค่าอนันต์(แล้วจะเอาที่ไหนมาใช้)
9 พลังงานที่ใช้ไป(อนันต์) สมดุลที่คุณต้องแลกคือกระแสเวลา การเดินทางความเร็วสูงจะทำให้คุณสูญเสียกระแสเวลาเป็นการชดเชย แต่เนื่องด้วยเวลานั้นคงที่ คุณจึงรู้สึกว่ากระแสเวลาของคุณเท่าเดิม แต่ทำให้วัตถุที่มีไม่ใช่ตัวคุณรู้สึกว่าเวลาเดินไวกว่า
10 ส่วนการเดินทางด้วยความเร็วมากๆ ในสนามความโน้มถ่วงมากๆ จะยิ่งเป็นการใช้พลังงานที่มากขึ้นไปด้วย เพราะช่องว่างของ Space ที่ยืดออก ทำให้ระยะทางมากขึ้น
11 ทำไมพลังงานและอนุภาคถึงเป็นสิ่งเดียวกันได้ เพราะ Space และ Mass คือ สิ่งเดียวกัน(งงมั้ย?)
12 ทำไมแสงถึงบิดงอได้ในสนามความโน้มถ่วงทั้งที่ในสุญญากาศมันมีคุณสมบัติเป็นคลื่น เพราะแสงเดินทางใน Space ที่เป็นตัวกลางที่ถูกยืดหดด้วย
13 การที่อะตอมต้องเคลื่อนไหว(กระเพื่อม)อยู่ตลอดเวลา เพราะมันคือกึ่งของพลังงาน A และ Space-Mass เช่นเดียวกับการที่ กลศาสตร์ควอนตัมต้อง
อธิบายการโคจรของอิเล็กตรอนเป็นกลุ่มหมอกก็เพราะ มันคือสิ่งที่อยู่ระหว่าง 2 มิติ ของ Space และ Mass โดยมี พลังงาน A เป็นตัวกำหนดระดับพลังงาน
14 ควอนตัมมีทุกอย่างที่อยู่ตรงข้ามเสมอ ก็มันมีแค่ 2 มิติไง
15 ถ้ามีแค่ 2 มิติ ตัวแปรก็มีแค่นั้น สร้างทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง (Theory of everything) ง่ายๆ เลยนะ Space คูณด้วย พลังงานA เท่ากับเวลาที่เป็นค่าคงที่
(หรือมันอาจจะเป็นค่าคงที่ e ก็ได้ ถึงได้ ทำให้สมการออยเลอร์งดงามซะขนาดนั้น)
จบการลากยาวความคิดแบบชวนงง 555+ และจากแนวคิดนี้ เราจะเหลือสิ่งเดียวที่ไม่รู้ก็คือ “เวลา” คืออะไร?
ออกแนวขำๆ แต่ผมจริงจังนะ
ปล. แค่แนวคิดนะครับ ผมไม่หวังให้มันถูกต้องอยู่แล้ว และยังไม่ได้เป็น ทฤษฎีด้วย แค่ว่าแนวคิดนี้อาจจะตอบคำถามหลายๆอย่างที่ยังตอบไม่ได้ และมันยังต้องถูกปรับปรุงอีกมาก ถ้านะครับถ้า ถ้ามันเป็นจริงผมคงไม่อยู่บนโลกนี้แล้วมั้ง
ถ้าแนวคิดผมถูกต้อง ผมจะได้โนเบลไหมครับ?
และนี่ก็เป็นแนวคิดที่ออกแนวเพ้อฝันพอสมควร และแน่นอน โคตรจะขัดสามัญสำนึกสุดๆ
แต่หากต้องการรวมทุกอย่างให้ง่ายที่สุด ผมว่าแนวคิดแบบนี้มันก็ง่ายดีนะ
แนวคิดจักวาล 2 มิติ กับการคืนสมดุล และการคงที่ของเวลา
1 ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มด้วยการไม่มีอะไรเลยมีแต่ Space (มิติที่1) และพลังงาน A (มิติที่2)
2 เวลาเป็นสิ่งคงที่
3 ทุกสิ่งล้วนต้องการคืนสู่สมดุล
ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่า พื้นที่ กับ Space ถือเป็นคนละอย่างกันนะครับ(อาจจะงงแต่อ่านๆ ไปก่อนละกัน)
แล้วก็เวลานั้นคงที่ แต่ที่รู้สึกว่ามันผ่านไปตลอดนั้นไม่ใช่เวลา แต่เป็นกระแสเวลา (หรืออะไรสักอย่างที่ทำให้สิ่งต่างๆ ไม่ต้องหยุดนิ่ง – ก็แล้วแต่คุณจะเรียกละกัน) ดังนั้นเมื่อกระแสเวลาขยับ จึงจำต้องชดเชยด้วยค่าบางอย่างที่ทำให้เวลานั้นกลับสู่ค่าเดิม ค่านี้เองที่ทำให้เวลาเป็นค่าคงที่(งงอีกแล้วสินะ อ่านๆ ไปเหอะ เพราะผมไม่งง)
Space หรือมิติที่ 1 ตั้งอยู่บนแผ่นน้ำนิ่งเรียบที่เป็นมิติที่ 2 (พลังงาน A) แล้วเราก็จะเรียกมันว่าจักวาล
เริ่มแรกเดิมทีจักวาลนั้นนิ่งสนิท ครั้งเมื่อเกิด big bang พื้นที่เกิดการสั่นไหว แรงกระเพื่อมของพลังงาน A ส่งถ่ายให้ Space สั่นสะเทือนและสะท้อนไปมา(space มีอยู่แล้วในทุกที่)จนเกิดความโกลาหลบนแผ่นพื้นน้ำที่เคยนิ่งสนิทนั้น เกิดเป็นกาลอวกาศ ขยายตัวออกไปเรื่อยๆ แรงกระเพื่อมจะแผ่ขยายและลดระดับพลังงาน A จนสุดท้ายก็จะนิ่งหายไป นี่คือทฤษฏี big bang เพราะเราพยายามจะเอาเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะเมื่อถูกสังเกต ขอบเขตของการสังเกตจะแผ่ขยายออกไปตามมิติเวลาเพราะเราอยู่ในมิติที่มีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่เมื่อคิดว่าเวลาเป็นสิ่งคงที่ เราก็จะตัดมิติเวลาออกให้เหลือแค่ 2 มิติ
แต่จริงๆ แล้วแผ่นน้ำที่ Space ตั้งอยู่นั้นประสานเข้าหากันเป็น 1 เดียวทั้งหมด ในแค่ 2 มิติ มันจะเป็นทั้งจุดเริ่ม และจุดจบ รวมทั้งเวลาเองก็ด้วย เมื่อยึดตามหลักเทอโมไดนามิกส์ แผ่นน้ำนั้นจะสั่นไหวด้วยพลังงาน A อยู่แล้ว และมันก็จะสั่นไหวอยู่แบบนั้นไปตลอด เพราะกฎทรงมวลและพลังงาน
หากว่าจักรวาลไม่ได้ว่างเปล่า แต่เต็มไปด้วย Space แล้วหากพลังงาน A แพร่กระจายไปเรื่อยๆ(วงน้ำขยายขึ้น) Space ก็จะลดระดับของพลังงาน A ลง ควบแน่นจนเกิดเป็น Mass ไอ้ช่องว่างที่หายไปของ Space นี่เอง จึงได้เกิดเป็นสนามความโน้มถ่วง ดึงดูด Space ข้างๆ ให้ไหลเข้ามาหา
และหากพลังงานอื่นหรือคลื่นใดๆ จำเป็นต้องเดินทางผ่านตัวกลางต่างๆ แล้ว แม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งมีพลังงานสูงมากจึงเดินทางผ่าน Space ได้โดยไม่ต้องมีสื่ออื่นใดเพิ่มเติม เพราะ Space เป็นทั้งตัวตนของมิติ และเป็นตัวกลางของพลังงานเหล่านั้น
หากคิดในรูปแบบที่ว่า แรงแม่เหล็กและไฟฟ้าอาจจะไม่ได้ตั้งฉากกัน แต่ invert กันโดยสมบูรณ์ เช่นเดียวกับแสง ที่ invert กันในรูปแบบของพลังงานและมวล จนมีคุณสมบัติของ ทั้ง 2 สิ่งอยู่ในตัว จึงเดินทางได้โดยไม่ต้องมีตัวกลาง(แต่จริงๆแล้วผ่าน Space) แต่พลังงานคลื่นอื่นๆ ที่พลังงานต่ำกว่าจำเป็นต้องเดินทางผ่าน Mass เพราะรูปแบบความหนาแน่นของ Mass ที่สูงทำให้เดินทางผ่านได้ง่ายกว่า
หากคุณสมบัติของแม่เหล็ก และไฟฟ้ามีส่วนเหนี่ยวนำต่างกันกล่าวคือ พลังงานแม่เหล็ก ส่งผลต่อ Mass และ พลังงานไฟฟ้า ส่งผลต่อ Space กระแสไฟฟ้าจึงต้องมีตัวกลางเพื่อส่งผ่าน และเมื่อถึงปลายทาง พลังงานที่เก็บกักไว้จึงปลดปล่อยออกมาในรูปของพลังงานแม่เหล็ก(พลังงานจาก....อะไรสักอย่างที่ส่งพลังงานให้สิ่งต่างๆ) กำเนิดเป็นคลื่นหรือพลังงานจลน์ พลังงานกล และพลังงานศักดิ์ พลังงานแสง หรือพลังงานใดๆ ที่ส่งถ่ายผ่าน อิเล็กตรอนหรือไอออนอะไรก็แล้วแต่
เมื่อคิดในรูป 2 มิติ แล้วให้เวลาเป็นสิ่งคงที่ เวลาที่ผ่านไปจะต้องถูกชดเชยด้วย กระแสเวลา ความเร็วของแสงและแม่เหล็กไฟฟ้าจึงหยุดอยู่แค่ตัวเวลา ไม่สามารถเกินไปกว่านั้นได้ แสงและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจึงเร็วได้แค่นั้น
หากมองในแง่การที่ทฤษฏีจักวาลขยายตัวได้เกินกว่าความเร็วแสงนั่นเป็นเพราะว่า นอกอาณาเขตของกระแสเวลา Space นั้นไม่ได้มีสิ่งใดอยู่ พลังงาน A จึงไหลไปได้โดยไม่มีเวลาเป็นตัวกำหนด แต่เมื่อใดที่เกิดกระแสเวลาขึ้นแล้ว ความเร็วของพลังงานอื่นๆ ก็จะค้างไว้ที่ความเร็วแสงเท่านั้น
เมื่อพลังงาน A ลดต่ำลงจนถึงจุดหนึ่งจนส่งผลให้ความยาวคลื่นกว้างมากจนเกือบเป็นเส้นตรงในระดับอนุภาค การสั่นพ้องของพลังงาน A มากมายจึงแปลงสภาพเป็นสนามพลังงานที่เรียกว่าควอนตัมฟิลด์
ควอนตั้มฟิลด์ที่สั่นพ้อง ณ จุดใดจุดหนึ่งอย่างรุนแรงจะเกินการควบแน่น Space ให้กลายเป็นอนุภาคพื้นฐานต่างๆ ในสนามพลังงานควอนตัม และทำให้เกิด Mass ขึ้น Mass ที่เกิดขึ้นก็ดึงเอาช่องว่างของ Space ที่หายไปให้กลายเป็นความโน้มถ่วง อนุภาคพื้นฐานใดๆ และพลังงานใด ที่ก่อตัวขึ้นจึงเป็นแค่ผลของพลังงานในรูปแบบ 2 มิตินี้ จาก Space และ พลังงาน A เพียงเท่านั้น( นึกถึงกราฟ 2มิติรูปภูเขายอดสูงปริ๊ด แต่เล็กจิ๋ว จนมองไม่เห็น)
และอนุภาคก็คือสนามควอนตัมที่สั่นสะเทือนด้วยค่าคงระดับหนึ่งที่จนอยู่ตัว มีความถี่และพลังงานในมิติที่ 2 ที่สูงมาก แต่ จนเมื่อเกิดการแทรกแซงพลังงานอย่างกะทันหันในอนุภาคของ Mass จะทำให้เกิดการพลิกกลับของความถี่และพลังงาน ทำให้ Mass นั้นหายไป และการที่ Mass หายไปนั้นกลับคืนช่องว่างของ Space กลับมาให้ด้วยจึงเกิดเป็นแรงพลังงานเกือบค่าอนันต์หรือสมการ e=mc2 ที่รู้จักกันของไอน์สไตน์(นึกถึงหากยอดเขาสูงปริ๊ดถล่มลงมาใส่ทะเล ก็ซึนามิดีๆนี่ล่ะ)
แต่หากอนุภาคกับอนุภาคส่งพลต่อกันในระดับที่ไม่แทรกแซงต่อกันจนโครงสร้างไม่เสียหายก็จะประสานหรือควบรวมส่วนหนึ่งของ Space เข้าด้วยกัน ทำให้เกิดเป็นคุณสมบัติของวัตถุขึ้น อนุภาคพื้นฐานต่างๆ อะตอมและสะสาร และแปรสภาพ Mass บางส่วนที่เป็นส่วนเกินหรือขาด เกิดเป็นการดูดและคายพลังงานในสมการฟิสิกส์ต่างๆ เฉกเช่นทฤษฎีสตริง
เพราะเหตุนี้การพิสูจน์สมการต่างๆ ของไอน์สไตน์เป็นการพิสูจน์ในรูปแบบสมการหลายมิติ (กาล-อวกาศ-พลังงาน ที่มี 4 มิติหรือมากกว่า) จึงมีคำตอบที่แน่นอนให้กับสเกลขนาดใหญ่
แต่การสังเกตการณ์ควอนตัมนั้นเป็นไปไม่ได้ในมิติที่ 4 แบบเรา เพราะเป็นมิติคนละแบบ
การพิสูจน์สมการต่างๆ ด้วยควอนตัมนั้นจึงเป็นการพิสูจน์ในรูปแบบสมการ 2 มิติ คำตอบของมันจึงไม่แน่นอนเมื่อเลือกตัวแปรจากคนละมิติมาเข้าสมการ จึงหาคำตอบให้ตัวแปรสุดท้ายที่อยู่ในมิติที่ 3 ไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องโดยเฉพาะการที่เรากำหนดให้เวลามีการเปลี่ยนแปลง
และควอนตัมจึงเป็นสิ่งที่มี ที่อยู่บนสิ่งที่ไม่มี ซึ่งก่อนหน้านั้นมันก็มีอยู่ของมันอยู่แล้ว และมันก็จะมีแบบนั้นทั้งที่เห็นว่าไม่มี
จักวาล 2 มิติ จึงทำให้ควอนตัมเป็นแค่การคงสมดุลของ Space และพลังงาน A เท่านั้น ผ่านการสั่นสะเทือนและแลกเปลี่ยนพลังงานกับอนุภาคให้กันและกัน แต่คุณจะไม่มีวันหาพวกมันเจอ เพราะมันคือมิติ มันไม่มีตัวตนแต่มันก็อยู่ตรงนั้น ถึงคุณรู้ว่ามันอยู่ที่นั่น และคุณอาจแก้สมการเพื่อให้รู้ว่ามันมีอยู่ที่จุดนั้นได้ แต่คุณก็จะไม่สามารถมองเห็นหรือตรวจสอบได้ เพราะทุกอย่างมันคือสิ่งเดียวกันทั้งหมดประสานรวมกันเป็นแผ่นผืนเดียวกันขนาดใหญ่
และเมื่อเอาเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มิติที่มีแค่ 2 แบบวงแหวนโมบิอุสก็จะวนกลับสู่จุดเดิมของมันแบบซ้ำไปซ้ำมาจนเกิดความสมดุลแบบเดิม เช่นแบบสั้นๆ (หากไม่นับเวลา) ก็คือยังไงมันต้องเป็นไปแบบที่มันต้องเป็นไป หรือแบบยาวๆ (มีเวลาเป็นพันปี) ก็คืออดีตส่งผลถึงอนาคตแบบไหนก็แบบนั้น
ตามแนวคิดนี้ ถึงแม้เราจะรบกวนกระแสกาลเวลาจนเกิดเป็นเส้นกระแสกาลเวลาใหม่สักเท่าไรหรือทฤษฎีโลกคู่ขนานจะทำให้เกิดเส้นเวลาแตกแขนงมากเท่าไหร่ ในที่สุด ธรรมชาติของมันจะค่อยๆ ชดเชยความต่างของเส้นกระแสเวลาต่างๆ จนสุดท้ายเส้นเวลาก็จะกลับมาบรรจบกัน ณ จุดใดจุดหนึ่งอยู่ดี
สิ่งที่แนวคิดนี้น่าจะให้คำตอบได้
1 ทำไมก่อน big bang จึงไม่มีเวลาและพื้นที่? เพราะคุณเอามิติเวลาไปเป็นตัววัดสิ่งที่มีอยู่แล้ว คุณจึงพบกับขีดจำกัดที่เวลานั้นไปถึง และเมื่อวันหนึ่งพลังงาน A สิ้นสุดการสั่นไหว ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเข้าสู่สภาวะ Mass ดึงทุกอย่างกลับเข้าหากันแต่ในเมื่อมันเป็นแค่ 2 มิติ มันก็จะอยู่แบบนั้นของมันนั่นล่ะ(งงมั้ย? น่าจะงงอยู่ 555+ แต่ในความคิดผม ผมไม่งงนะ) และเมื่อทุกอย่างอัดแน่นเกินขีดก็ระเบิดพลังงาน A ออกมาใหม่
2 สภาวะพัวพันของควอนตัมเกิดขึ้นได้อย่างไร? เพราะมันคือการสั่นพ้องของควอนตัมในระดับ 2 มิติ ที่ไม่มีเวลามาเกี่ยวข้องซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกันทุกที่ที่มี Space
3 สสารมืดคืออะไร? หากคุณเปลี่ยนคำว่า space เป็น X ดังนั้น X ก็จะเป็น สสารมืดที่ทำให้เกิดทั้ง “ที่ว่าง” และ “มวล” จึงตอบได้ด้วยว่า สสารมืดที่หากันอยู่หายไปไหน และพลังงาน A ก็คือพลังงานมืดที่จะทำให้เกิดพลังงานอื่นๆ นั่นล่ะ
4 ความโน้นถ่วงเกิดขึ้นได้อย่างไร? มันคือช่องว่างที่หายไปของ Space เกิดเป็นแรงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพลังงาน A ที่ใช้ดึงและส่งผลต่อ Space และ Mass อื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ให้ดึงทุกอย่างให้เข้าหา เป็นกาลอวกาศของไอน์สไตน์ และเป็นแรงที่กระทำต่ออนุภาคของควอนตัม
5 แสงมีความเร็วคงที่ในสุญญากาศแต่กลับลดลงเมื่อผ่านตัวกลางอื่นๆ นั่นเพราะถูกรบกวนโดยความถี่ของพลังงาน A โดยรอบที่ต่ำกว่าทำให้ตัวของแสงเสียความเร็วไป
6 อุณหภูมิ 0 องศาสมบูรณ์ คือสภาวะที่ทุกอย่างหยุดนิ่ง พลังงานที่ต่ำจน Space และ Mass หยุดนิ่ง อะตอมเองก็เข้าสู่สภาวะเรียบเพราะพลังงานทุกอย่างถูกดึงออกไปจนหมดรวมทั้งพลังงาน A
7 แสงไม่ได้มีความเร็วคงที่ แต่เป็น เวลาต่างหาก ที่คงที่ เราจึงไม่สามารถข้ามเวลาหรือย้อนเวลาได้ (แต่เราอาจจะเคลื่อนที่เร็วเกินความเร็วแสงได้ – ไม่รู้สินะ)
8 แต่เมื่อคุณเดินทางด้วยความเร็วที่มากยิ่งขึ้น พลังงานที่ต้องใช้เพื่อเปลี่ยนการกระจัดของคุณบนมิติ Space ยิ่งต้องใช้มากขึ้น เพื่อแทรกผ่าน Space ที่ขวางทางคุณอยู่ พลังงานที่ต้องใช้อาจถึงค่าอนันต์(แล้วจะเอาที่ไหนมาใช้)
9 พลังงานที่ใช้ไป(อนันต์) สมดุลที่คุณต้องแลกคือกระแสเวลา การเดินทางความเร็วสูงจะทำให้คุณสูญเสียกระแสเวลาเป็นการชดเชย แต่เนื่องด้วยเวลานั้นคงที่ คุณจึงรู้สึกว่ากระแสเวลาของคุณเท่าเดิม แต่ทำให้วัตถุที่มีไม่ใช่ตัวคุณรู้สึกว่าเวลาเดินไวกว่า
10 ส่วนการเดินทางด้วยความเร็วมากๆ ในสนามความโน้มถ่วงมากๆ จะยิ่งเป็นการใช้พลังงานที่มากขึ้นไปด้วย เพราะช่องว่างของ Space ที่ยืดออก ทำให้ระยะทางมากขึ้น
11 ทำไมพลังงานและอนุภาคถึงเป็นสิ่งเดียวกันได้ เพราะ Space และ Mass คือ สิ่งเดียวกัน(งงมั้ย?)
12 ทำไมแสงถึงบิดงอได้ในสนามความโน้มถ่วงทั้งที่ในสุญญากาศมันมีคุณสมบัติเป็นคลื่น เพราะแสงเดินทางใน Space ที่เป็นตัวกลางที่ถูกยืดหดด้วย
13 การที่อะตอมต้องเคลื่อนไหว(กระเพื่อม)อยู่ตลอดเวลา เพราะมันคือกึ่งของพลังงาน A และ Space-Mass เช่นเดียวกับการที่ กลศาสตร์ควอนตัมต้อง
อธิบายการโคจรของอิเล็กตรอนเป็นกลุ่มหมอกก็เพราะ มันคือสิ่งที่อยู่ระหว่าง 2 มิติ ของ Space และ Mass โดยมี พลังงาน A เป็นตัวกำหนดระดับพลังงาน
14 ควอนตัมมีทุกอย่างที่อยู่ตรงข้ามเสมอ ก็มันมีแค่ 2 มิติไง
15 ถ้ามีแค่ 2 มิติ ตัวแปรก็มีแค่นั้น สร้างทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง (Theory of everything) ง่ายๆ เลยนะ Space คูณด้วย พลังงานA เท่ากับเวลาที่เป็นค่าคงที่
(หรือมันอาจจะเป็นค่าคงที่ e ก็ได้ ถึงได้ ทำให้สมการออยเลอร์งดงามซะขนาดนั้น)
จบการลากยาวความคิดแบบชวนงง 555+ และจากแนวคิดนี้ เราจะเหลือสิ่งเดียวที่ไม่รู้ก็คือ “เวลา” คืออะไร?
ออกแนวขำๆ แต่ผมจริงจังนะ
ปล. แค่แนวคิดนะครับ ผมไม่หวังให้มันถูกต้องอยู่แล้ว และยังไม่ได้เป็น ทฤษฎีด้วย แค่ว่าแนวคิดนี้อาจจะตอบคำถามหลายๆอย่างที่ยังตอบไม่ได้ และมันยังต้องถูกปรับปรุงอีกมาก ถ้านะครับถ้า ถ้ามันเป็นจริงผมคงไม่อยู่บนโลกนี้แล้วมั้ง