เรื่องของศาสนาฮินดูนี้ เห็นคนไทยเขียนหนังสือกันมามากต่อมาก แต่พอคนฮินดูแท้ๆเชื้อสายอารยันหลายๆคนมาอ่าน กลับเป็นที่น่าเอือมระอามากกว่าน่าอ่านต่อ เพราะที่ผ่านมา คนไทยเขียนเรื่องงเกี่ยวกับศาสนาฮินดูผิดพลาดตั้งแต่ในหนังสือเรียนวิชาสังคมศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่6แล้ว
เริ่มต้นตั้งแต่ที่บอกว่า
1.ศาสนาฮินดูเป็นพหุเทวนิยม แต่ในความเป็นจริงคือศาสนาฮินดูมีเทพเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียยวคือ มหาปรมาตมันหรือพรหมาตมัน หรือไกรรวัลย์เพียงองค์เดียว แต่เป็นพหุภาคี ภาคอวาตารก็ล้วนแต่แยกออกาจากพระเป็นเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียวทั้งสิ้น มีกล่าวไว้ชัดเจนในคัมภีร์ภควัตคีตาและอุปนิษัท ซึ่งในลักษระของพระเจ้าองค์เดียวแต่เป็นพหุภาคีนี้ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับศาสนาของกรีกหรืออียิปต์หรือลัทธิเต๋าที่เทพเจ้าแต่ละองค์แยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
2.คัมภีร์พระเวท หรือพระเวทย์ คนไทยสอนต่อๆกันมาว่า คัมภีร์พระเวทย์ของศาสนาพราหมณ์ฮินดูนั้นมีแค่4เล่มคือ สามเวท ฤคเวท ยัชุรเวท และ อาถรรพ์เวท แต่ในความเป็นจริงคือ คัมภีร์พระเวทยังมีอีกหลายเล่มหลายเรื่องราว เช่น โหราเวทย์(วิชาดาราศาสตร์) ธนุรเวทย์(วิชายิงธนู) อายุรเวท(วิชาแพทย์) ฯลฯ อะไรก็ตามที่เป็นศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องใดๆที่สอนอย่างละเอียดลึกซึ้งจนถึงที่สุดจะมีคำว่าเวทต่อท้ายทุกชนิดค่ะ เพราะคำว่า เวท หรือ เวทย์ ในที่นี้ คือคำที่มาจากคำว่า เวทยะ หรือวิทยะ หรือเป็นคำเดียวกับคำว่า วิชชา ซึ่งแปลว่าความรู้แจ้ง ซึ่งจะรู้แจ้งในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้นก็แล้วแต่ว่าคัมภีร์พระเวทย์เเล่มนั้สอนเกี่ยวกับเรื่องอะไร
3.ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาที่สอนปรัชญาเป็นหลัก การผูกเรื่องาวต่างๆขึ้นมาในนิทานเทวะนั้น ก็ล้วนแต่เป็นการผูกเรื่องโดยใช้ปรัชญาเป็นตัวตั้งต้น แต่คนฮินดูแท้จริงเขาก็ไม่เคยยึดถือเทพเจ้าในลักษณะเป็นรูปนะ แต่การรักษาเทวรูปนั้นมีสาเหตุก็เพื่อเทิดทูนรักษาไว้ซึ่งที่ซ่อนหลักปรัชญาคำสอนต่างหาก การสรงน้ำเทวรูปของคนอินเดียล้วนแต่สรงน้ำด้วยสิ่งที่มีคุณสมบัติทำให้โลหะและศิลามีความเป็นเงาดูใหม่อยู่เสมอ การบูชาไฟด้วยไม้ที่มียางชันในเนื้ไม้ เพราะควันจากยางชันและควันธูปขับไล่ความอับชื้นและแมลงรวมทั้งทำลายแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิดได้ คนฮินดูทำทุกอย่างแฝงเร้นด้วยปรัชญาและหลักการที่ดีที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต
4.การแบ่งวรรณะ ในส่วนของการแบ่งวรรณะของคนอินเดียนั้น จุดมุ่งหมายเดิมที่แท้จริงก็เพื่อการจัดระเบียบสังคม วรรณะกษัตริย์ในสังคมอินเดียโบราณไม่ได้มีแต่พระราชากับราชวงศ์แต่ยังหมายรวมถึงพวกที่ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยให้แก่บ้านเมืองด้วย ส่วนวรรณะพราหมณ์ก็จะมีครู นักบวช นักบุญ เหล่านี้เป็นผู้ทำหน้าที่สอนจริยธรรมคุณธรรมให้กับประชาชนทุกวรรณะ วรรณะแพศย์คือคนทั่วไป วรรณะศูทร คือคนที่ไม่มีความรู้ จิตใจหยาบช้า การแบ่งวรรณะก็แบ่งเพื่อมิให้ก้าวก่ายหน้าที่ ไม่ให้ละทิ้งหน้าที่ ตัวอย่างเช่น ถ้ากษัตริย์ใจบุญสุนทานจนไม่กล้าสั่งประหารนักโทษคดีอาญาร้ายแรง แล้วความเดือดร้อนจะตกอยู่ที่ใคร ตัวอย่างเรื่องนี้มีใจประวัติพระเตมีย์ในนิทานทศชาติชาดก พะเตมีย์ท่านเล็งเห็นแล้วว่าการฆ่าคนฆ่าสัตว์ไม่ว่าจะด้วยหน้าที่ใดๆก็ย่อมมีบาปเกิดขึ้นทั้งสิ้น ท่านจึงไม่อยากจะเป็นกษัตริย์จึงแกล้งทำตัวบ้าใบ้มาตั้งแต่เด็กจนโต สุดท้ายบั้นปลายชีวิตได้ออกบวชเป็นนักพรตเพราะท่านรู้ดีว่าการครองวรรณะกษัตริย์ไม่เหมาะกับท่านอย่างนี้เป็นต้น นี่คือตัวอย่างของการแบ่งวรรณะแบบเดิมแท้ของคนอินเดีย ก็ทำเพื่อจัดะเบียบของสังคม
5.ศาสนาฮินดูซ่อนปรัชญาในธรรมชาติไว้เยอะแยะมากมายในเทวรูป เช่น ศิวลึงค์และฐานโยนี สองสิ่งนี้คือพลังแห่งความเป็นชายและหญิงในธรรมชาติ อันว่าธรรมชาตินี้ไม่แบ่งแยกเพศและสามารถสร้างสรรสรรพสิ่งทั้งปวงทั้งรูปและนามได้เอง จึงมีคุณสมบัติของความเป็นชายและหญิงอยู่ในตัวเปริศนานี้ถูกแสดงออกผ่านทางศิวลึงค์ที่เป็นเครื่องหมายรูปอวัยวะเพศชายและหญิงที่เามาไว้ร่วมกันในแท่นบูชาอันเดียว หรือรูปของอรรถนารีศวรที่เป็นรูปของครึ่งศิวะครึ่งอุมาก็เป็นปรัชญาตัวเดียวกัน และยังสอนจริยธรรมต่อไปอีกว่า พลังแห่งเพศชายและหญิงที่เป็นเครื่องสร้างสรรให้เกิดตัวเราขึ้นมาก็คือบิดามารดา บิดามารดาจึงเป็นส่วนหนึ่งของพระเป็นเจ้า เพราะฉะนั้นการบูชาพระเป็นเจ้าแม้จะบูชาได้มากมายดีเลิศยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด แต่ถ้าไม่เคารพบูชาบิดามารดา ก็ถือว่าไม่สำเร็จอย่างสมบูรณ์ไปได้เลย
ปรัชญาอีกอย่างหนึ่งในศาสนาฮินดู คือ การสร้างสรรทุกสรรพสิ่งจะต้องสร้างโดยผู้ที่มีความรู้ในสิ่งนั้นๆ เมื่อรู้รอบเห็นรอบจึงจะสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงได้ พระพรหมเทพมหาบิดรแห่งสรรพสิ่งทั้งรูปและนามจึงปั้นเป็นรูปคนมีสี่หน้า คัมภีร์ที่ถือคือความรู้(แจ้ง)เวทย์ ประคำคือความสงบสมาธิ พระนารายณ์ถือกงจักรที่หมุนวนไปตลอดเวลาก็คือการตั้งอยู่ของสรรพสิ่งชั่วระยะเวลาหนึ่ง และในขณะที่กำลังตั้งอยู่ดำรงอยู่นั้น ก็จะต้องเปลี่ยนแปลงหมุนวนไปตามกฎเกณฑ์อันเป็นวัฏฏจักรในธรรมชาติ พระศิวะถูกแต่งตั้งให้มีตาที่สามเป็นไฟประไลยกัลป์ด้วยเพระาเหมายถึงการสิ้นสุดของสรรพสิ่งเมื่อถึงเวลาที่จะต้องดับไปไม่ว่ารูปหรือนามไม่ว่าวัตถุหรือแม้แต่กระทั่งความรู้สึกก็เช่นเดียวกันทั้งหมด แต่อำนาจแห่งการสร้างสรรค์ ดูแลรักษาและการทำลายล้างของธรรมชาติทั้งสามส่วนนี้ มาแต่ธรรมชาติเพียงหนึ่งเดียว จึงมีปางที่เทพเจ้าพรหมา วิษณุ และศิวะ เข้ารวมกันเป็นองค์เดียวเรียกว่าพระตรีมูรติ และผู้ที่เห็นและให้ทัศนะว่า ธรรมชาติมีแค่หนึ่งเดียว แต่มีอำนาจหลักๆถึงสามส่วนก็คือฤาษีอาตริย์หรือฤาษีอาเตรย์ เมื่อทฤษฎีความเชื่อนี้เกิดขึ้นและถ่ายทอดออกจากปากของพระฤาษีอาเตรยะมุนี ก็ได้เกิดนิทานขึ้นมาเรื่องหนึ่งที่เล่าว่าพระตรีมูรติเป็นบุตรของฤาษีอาเตรยะ จึงได้ชื่อว่า พระทัตตาเตรยะ มาจากคำว่า ทัตตะ+อาเตรยะ รวมเป็นทัตตาเตรยะ ทัตตะคือบุตร ทัตตาเตรยะจึงหมายถึงบุตรของอาเตรยะ
6.ป่าหิมพานต์ ป่าอาถรรพ์ที่มีจริงแต่ไม่มีจริง คนที่ลองปีนเขาไกรลาสในเทือกเขาหิมาลัยขึ้นไปที่สูงๆจนเกินมนุษย์ทั่วไปจะขึ้นได้ ลองทำดูก็จะทราบความจริงทันทีว่าป่าหิมพานต์มีจริงแต่ไม่มีจริง เพราะเมื่อขึ้นที่สูงมากเกินไปอากาศเบาบาง ออกซิเจนมีน้อย ก็จะเริ่มมึนหัว ปวดหัว อาเจียน เริ่มเกิดภาพหลอน ใครฝังใจเรื่องอะไรก็เกิดภาพหลอนอย่างนัน นี่แหละคือช่วงเวลาที่ป่าหิมพานต์จะโผล่ออกมาเล่นกับคุณ นี่ล่ะคือสภาพที่บอกว่า ป่าหิมพานต์คือ่าอาถรรพ์ มีจริงแต่ไม่มีจริง แต่ไม่ต้องเล่าอะไรให้มากมายล่ะ ลองทดสอบดูเองได้เลย
นี้เป็นแค่ปรัชญาบางส่วนที่ค้นหาได้ในสิ่งรายรอบกาย เมื่อได้ศึกษาคัมภีร์พระเวทอย่างละเอียดลึกซึ้งอย่างแท้จริง คัมภีร์เวทางคศาสตร์และภควัตคีตา มีให้ท่านสามารถดาวน์โหลดได้ใน Google Playstore โดยค้นหาคำว่าพระเวท หรือ Vedh
เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่มาจากการค้นหาความจริงด้วยตัวเองจากวิถีชีวิตของคนอินเดีย โดยศึกษาร่วมกันทั้งหมดจาก วิถีชีวิตที่แท้จริงของคนฮินดู และวิเคราะห์ร่วมกันไปเรื่อยๆโดยเอาชีวิตจริงของคนอารยัน มาเปรียบเทียบกับ มหาภารตะ รามายณะ เวทางคศาสตร์ ภควัตคีตา จนได้ความจริงออกมาตามที่เล่าให้ฟังมาทั้งหมดนี้ล่ะ
ศาสนาฮินดู
เริ่มต้นตั้งแต่ที่บอกว่า
1.ศาสนาฮินดูเป็นพหุเทวนิยม แต่ในความเป็นจริงคือศาสนาฮินดูมีเทพเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียยวคือ มหาปรมาตมันหรือพรหมาตมัน หรือไกรรวัลย์เพียงองค์เดียว แต่เป็นพหุภาคี ภาคอวาตารก็ล้วนแต่แยกออกาจากพระเป็นเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียวทั้งสิ้น มีกล่าวไว้ชัดเจนในคัมภีร์ภควัตคีตาและอุปนิษัท ซึ่งในลักษระของพระเจ้าองค์เดียวแต่เป็นพหุภาคีนี้ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับศาสนาของกรีกหรืออียิปต์หรือลัทธิเต๋าที่เทพเจ้าแต่ละองค์แยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
2.คัมภีร์พระเวท หรือพระเวทย์ คนไทยสอนต่อๆกันมาว่า คัมภีร์พระเวทย์ของศาสนาพราหมณ์ฮินดูนั้นมีแค่4เล่มคือ สามเวท ฤคเวท ยัชุรเวท และ อาถรรพ์เวท แต่ในความเป็นจริงคือ คัมภีร์พระเวทยังมีอีกหลายเล่มหลายเรื่องราว เช่น โหราเวทย์(วิชาดาราศาสตร์) ธนุรเวทย์(วิชายิงธนู) อายุรเวท(วิชาแพทย์) ฯลฯ อะไรก็ตามที่เป็นศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องใดๆที่สอนอย่างละเอียดลึกซึ้งจนถึงที่สุดจะมีคำว่าเวทต่อท้ายทุกชนิดค่ะ เพราะคำว่า เวท หรือ เวทย์ ในที่นี้ คือคำที่มาจากคำว่า เวทยะ หรือวิทยะ หรือเป็นคำเดียวกับคำว่า วิชชา ซึ่งแปลว่าความรู้แจ้ง ซึ่งจะรู้แจ้งในเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้นก็แล้วแต่ว่าคัมภีร์พระเวทย์เเล่มนั้สอนเกี่ยวกับเรื่องอะไร
3.ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาที่สอนปรัชญาเป็นหลัก การผูกเรื่องาวต่างๆขึ้นมาในนิทานเทวะนั้น ก็ล้วนแต่เป็นการผูกเรื่องโดยใช้ปรัชญาเป็นตัวตั้งต้น แต่คนฮินดูแท้จริงเขาก็ไม่เคยยึดถือเทพเจ้าในลักษณะเป็นรูปนะ แต่การรักษาเทวรูปนั้นมีสาเหตุก็เพื่อเทิดทูนรักษาไว้ซึ่งที่ซ่อนหลักปรัชญาคำสอนต่างหาก การสรงน้ำเทวรูปของคนอินเดียล้วนแต่สรงน้ำด้วยสิ่งที่มีคุณสมบัติทำให้โลหะและศิลามีความเป็นเงาดูใหม่อยู่เสมอ การบูชาไฟด้วยไม้ที่มียางชันในเนื้ไม้ เพราะควันจากยางชันและควันธูปขับไล่ความอับชื้นและแมลงรวมทั้งทำลายแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิดได้ คนฮินดูทำทุกอย่างแฝงเร้นด้วยปรัชญาและหลักการที่ดีที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต
4.การแบ่งวรรณะ ในส่วนของการแบ่งวรรณะของคนอินเดียนั้น จุดมุ่งหมายเดิมที่แท้จริงก็เพื่อการจัดระเบียบสังคม วรรณะกษัตริย์ในสังคมอินเดียโบราณไม่ได้มีแต่พระราชากับราชวงศ์แต่ยังหมายรวมถึงพวกที่ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยให้แก่บ้านเมืองด้วย ส่วนวรรณะพราหมณ์ก็จะมีครู นักบวช นักบุญ เหล่านี้เป็นผู้ทำหน้าที่สอนจริยธรรมคุณธรรมให้กับประชาชนทุกวรรณะ วรรณะแพศย์คือคนทั่วไป วรรณะศูทร คือคนที่ไม่มีความรู้ จิตใจหยาบช้า การแบ่งวรรณะก็แบ่งเพื่อมิให้ก้าวก่ายหน้าที่ ไม่ให้ละทิ้งหน้าที่ ตัวอย่างเช่น ถ้ากษัตริย์ใจบุญสุนทานจนไม่กล้าสั่งประหารนักโทษคดีอาญาร้ายแรง แล้วความเดือดร้อนจะตกอยู่ที่ใคร ตัวอย่างเรื่องนี้มีใจประวัติพระเตมีย์ในนิทานทศชาติชาดก พะเตมีย์ท่านเล็งเห็นแล้วว่าการฆ่าคนฆ่าสัตว์ไม่ว่าจะด้วยหน้าที่ใดๆก็ย่อมมีบาปเกิดขึ้นทั้งสิ้น ท่านจึงไม่อยากจะเป็นกษัตริย์จึงแกล้งทำตัวบ้าใบ้มาตั้งแต่เด็กจนโต สุดท้ายบั้นปลายชีวิตได้ออกบวชเป็นนักพรตเพราะท่านรู้ดีว่าการครองวรรณะกษัตริย์ไม่เหมาะกับท่านอย่างนี้เป็นต้น นี่คือตัวอย่างของการแบ่งวรรณะแบบเดิมแท้ของคนอินเดีย ก็ทำเพื่อจัดะเบียบของสังคม
5.ศาสนาฮินดูซ่อนปรัชญาในธรรมชาติไว้เยอะแยะมากมายในเทวรูป เช่น ศิวลึงค์และฐานโยนี สองสิ่งนี้คือพลังแห่งความเป็นชายและหญิงในธรรมชาติ อันว่าธรรมชาตินี้ไม่แบ่งแยกเพศและสามารถสร้างสรรสรรพสิ่งทั้งปวงทั้งรูปและนามได้เอง จึงมีคุณสมบัติของความเป็นชายและหญิงอยู่ในตัวเปริศนานี้ถูกแสดงออกผ่านทางศิวลึงค์ที่เป็นเครื่องหมายรูปอวัยวะเพศชายและหญิงที่เามาไว้ร่วมกันในแท่นบูชาอันเดียว หรือรูปของอรรถนารีศวรที่เป็นรูปของครึ่งศิวะครึ่งอุมาก็เป็นปรัชญาตัวเดียวกัน และยังสอนจริยธรรมต่อไปอีกว่า พลังแห่งเพศชายและหญิงที่เป็นเครื่องสร้างสรรให้เกิดตัวเราขึ้นมาก็คือบิดามารดา บิดามารดาจึงเป็นส่วนหนึ่งของพระเป็นเจ้า เพราะฉะนั้นการบูชาพระเป็นเจ้าแม้จะบูชาได้มากมายดีเลิศยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด แต่ถ้าไม่เคารพบูชาบิดามารดา ก็ถือว่าไม่สำเร็จอย่างสมบูรณ์ไปได้เลย
ปรัชญาอีกอย่างหนึ่งในศาสนาฮินดู คือ การสร้างสรรทุกสรรพสิ่งจะต้องสร้างโดยผู้ที่มีความรู้ในสิ่งนั้นๆ เมื่อรู้รอบเห็นรอบจึงจะสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงได้ พระพรหมเทพมหาบิดรแห่งสรรพสิ่งทั้งรูปและนามจึงปั้นเป็นรูปคนมีสี่หน้า คัมภีร์ที่ถือคือความรู้(แจ้ง)เวทย์ ประคำคือความสงบสมาธิ พระนารายณ์ถือกงจักรที่หมุนวนไปตลอดเวลาก็คือการตั้งอยู่ของสรรพสิ่งชั่วระยะเวลาหนึ่ง และในขณะที่กำลังตั้งอยู่ดำรงอยู่นั้น ก็จะต้องเปลี่ยนแปลงหมุนวนไปตามกฎเกณฑ์อันเป็นวัฏฏจักรในธรรมชาติ พระศิวะถูกแต่งตั้งให้มีตาที่สามเป็นไฟประไลยกัลป์ด้วยเพระาเหมายถึงการสิ้นสุดของสรรพสิ่งเมื่อถึงเวลาที่จะต้องดับไปไม่ว่ารูปหรือนามไม่ว่าวัตถุหรือแม้แต่กระทั่งความรู้สึกก็เช่นเดียวกันทั้งหมด แต่อำนาจแห่งการสร้างสรรค์ ดูแลรักษาและการทำลายล้างของธรรมชาติทั้งสามส่วนนี้ มาแต่ธรรมชาติเพียงหนึ่งเดียว จึงมีปางที่เทพเจ้าพรหมา วิษณุ และศิวะ เข้ารวมกันเป็นองค์เดียวเรียกว่าพระตรีมูรติ และผู้ที่เห็นและให้ทัศนะว่า ธรรมชาติมีแค่หนึ่งเดียว แต่มีอำนาจหลักๆถึงสามส่วนก็คือฤาษีอาตริย์หรือฤาษีอาเตรย์ เมื่อทฤษฎีความเชื่อนี้เกิดขึ้นและถ่ายทอดออกจากปากของพระฤาษีอาเตรยะมุนี ก็ได้เกิดนิทานขึ้นมาเรื่องหนึ่งที่เล่าว่าพระตรีมูรติเป็นบุตรของฤาษีอาเตรยะ จึงได้ชื่อว่า พระทัตตาเตรยะ มาจากคำว่า ทัตตะ+อาเตรยะ รวมเป็นทัตตาเตรยะ ทัตตะคือบุตร ทัตตาเตรยะจึงหมายถึงบุตรของอาเตรยะ
6.ป่าหิมพานต์ ป่าอาถรรพ์ที่มีจริงแต่ไม่มีจริง คนที่ลองปีนเขาไกรลาสในเทือกเขาหิมาลัยขึ้นไปที่สูงๆจนเกินมนุษย์ทั่วไปจะขึ้นได้ ลองทำดูก็จะทราบความจริงทันทีว่าป่าหิมพานต์มีจริงแต่ไม่มีจริง เพราะเมื่อขึ้นที่สูงมากเกินไปอากาศเบาบาง ออกซิเจนมีน้อย ก็จะเริ่มมึนหัว ปวดหัว อาเจียน เริ่มเกิดภาพหลอน ใครฝังใจเรื่องอะไรก็เกิดภาพหลอนอย่างนัน นี่แหละคือช่วงเวลาที่ป่าหิมพานต์จะโผล่ออกมาเล่นกับคุณ นี่ล่ะคือสภาพที่บอกว่า ป่าหิมพานต์คือ่าอาถรรพ์ มีจริงแต่ไม่มีจริง แต่ไม่ต้องเล่าอะไรให้มากมายล่ะ ลองทดสอบดูเองได้เลย
นี้เป็นแค่ปรัชญาบางส่วนที่ค้นหาได้ในสิ่งรายรอบกาย เมื่อได้ศึกษาคัมภีร์พระเวทอย่างละเอียดลึกซึ้งอย่างแท้จริง คัมภีร์เวทางคศาสตร์และภควัตคีตา มีให้ท่านสามารถดาวน์โหลดได้ใน Google Playstore โดยค้นหาคำว่าพระเวท หรือ Vedh
เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่มาจากการค้นหาความจริงด้วยตัวเองจากวิถีชีวิตของคนอินเดีย โดยศึกษาร่วมกันทั้งหมดจาก วิถีชีวิตที่แท้จริงของคนฮินดู และวิเคราะห์ร่วมกันไปเรื่อยๆโดยเอาชีวิตจริงของคนอารยัน มาเปรียบเทียบกับ มหาภารตะ รามายณะ เวทางคศาสตร์ ภควัตคีตา จนได้ความจริงออกมาตามที่เล่าให้ฟังมาทั้งหมดนี้ล่ะ