ตอนสุดท้ายของการใช้ชีวิตในแดนกีวี่ค่า
EP5 : Part time staff
พอย้ายเข้ามาในเมือง ชีวิตเริ่มเข้าที่มากขึ้นเราก็จะขอพูดถึงเรื่องการหางานทำ ซึ่งพูดเลยว่าเป็นใจความสำคัญไม่แพ้การมาเรียน เพราะจะเป็น ปสก ที่ใหม่มากสำหรับงานที่หาได้ที่นี่ 5555 เพราะอยู่ที่ไทยเราไม่เคยได้ทำงานนี้แน่นวล จริงๆเราหางานทำตั้งแต่อยู่กับโฮสต์แล้วล่ะค่ะ อย่างที่บอก ที่นี่งานหายาก เราอยู่กับโฮสต์ได้ 1 อาทิตย์ก็เริ่มหางานค่ะ เราตั้งเป้าว่าต้องหางานให้ได้ก่อนย้าย เพราะมันจะมีค่าใช่จ่ายตามมา เช่น ค่าเช่า ค่ากิน ที่เราต้องจ่ายเองแล้ว เพราะตอนอยู่กับโฮสต์มันถูกจ่ายทั้งก้อนตั้งแต่ตอนแรกรวมกับค่าใช้จ่ายๆอื่นที่เราจ่ายก่อนมา
วิธีหางานของเรา ตอนแรกก็ นี่เลยค่ะ เดินถามและส่ง CV ตามร้านในเมืองที่เขาแปะป้าย Staff Wanted พวกร้านขาย giftshop ต่างๆ ตอนแรกไม่ได้มองงานเสริฟร้านอาหารไทยเลย เพราะคิดว่าภาษาเราก็ดีพอสื่อสารได้ 5555 มั่นมาก แต่สุดท้ายเราก็ค้นพบสัจธรรมที่ว่า Part time ที่จะทำได้สำหรับเด็กนักเรียนที่เรียนเต็มวันนั้นไม่พ้นงานร้านอาหาร เพราะเป็นงานเดียวที่เปิดเย็น สามารถทำหลังเลิกเรียนได้ งานอื่น แม้จะบอกว่า part time แต่ต้องมาได้ตอนบ่ายโมงถึงบ่ายสี่ อะไรแบบนี้ และร้านขายของที่นี่ แม้แต่ห้าง ปิดตอน 1 ทุ่ม ไม่มีใครรับคนที่มาทำงานได้แค่ 2-3 ชั่โมงหรอกค่ะ เสียเวลา เหรือไม่อย่างนั้นก็งานทำความสะอาดออฟฟิศ ซึ่งเป็นงานที่ทำกลางดึก หรือทำความสะอาดบาร์ ที่ทำกันเช้ามืด อีกอย่าง ร้านที่เป็นฝรั่งมักจะไม่รับเด็กพาร์ไทม์ที่แค่พอสื่อสารได้ แต่ต้องการที่สื่อสารได้เลยตะหาก ไอ้มั่นหน้า หมั่นกะโหลกเลยต้องรีบเปลี่ยนแผน
เราหางานจาก community คนไทยในโอ๊คแลนด์ ที่นี่จะมีพี่น้องคนไทยมาหาแรงงานหรือมาขายของในนี้เสมอๆ รวมทั้งสอบถามเรื่องราวต่างๆ ถือว่าเป็นที่ที่ใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันระหว่างคนไทย โดยเราใช้วิธีจดเบอร์และชื่อร้านออกมา และโทรถาม อย่างที่บอก การหางานที่นี่ ถ้าไม่มีคนรู้จักแนะนำก็ต้องอาศัยดวงอย่างเดียว เราโชคดีโทรไปเจอร้านไทยที่ต้องการ พนง เสริฟ พาร์ทไทม์พอดี ที่สำคัญเขาให้เราไปวันนั้น ตอนนั้นเลย เรางี้ทั้งตกใจและดีใจ แม้ว่าจะไปไม่ถูก เพราะเพิ่งมาอยู่ได้ 2 อาทิตย์และร้านก็อยู่นอกเมือง แต่เราก็จะไป โอกาสมาแล้วต้องคว้าไว้ค่ะ น้องเจ้าของร้านโทรบอกว่านั่งบัสสายอะไร ตรงไหน เราก็ยัง งง งง แล้วเขาก็โทรมาอีกทีบอกว่า เดี๋ยวให้น้องผู้ชายอีกคนที่เป็นเสิรฟที่ร้านเหมือนกัน และอาศัยอยู่ในเมืองเหมือนกัน มาพาเราไป และให้เบอร์โทรคุยกันเสร็จสรรพ สรุปวันนั้น ได้น้องผู้ชายมาพาไป พอไปถึง เราขอฝึกงาน 2 คนเลย เพราะเราเอาแฟนไปด้วย ทั้งที่จริงๆแล้วเขาต้องการเราแค่คนเดียว แต่เขาก็ใจดี ไหนๆก็มาแล้ว ก็ให้ทำทั้งคู่เลย และโชคเรายังดีอีกอย่างคือ ตอนกลับ อย่างที่บอกว่าตอนที่เราได้งานนั้นยังอยู่กับโฮสต์ที่โอนีฮังงา แต่ร้านที่ได้อยู่ เตฮาตาตู ซึ่งจากโอนีฯ เข้าเมืองใช้เวลา 30 นาที จากเมืองที่ทำงาน 40 นาที ขากลับนี้ นรกอ่ะ ถ้ากลับเอง เพราะรถเมล์เที่ยวสุดท้ายที่เตฮาตาตูคือห้าทุ่ม กว่าจะถึงเมือง กว่าจะหารถจากเมืองไปบ้าน แต่อย่างที่บอกว่าโชคเรายังดีที่มี Kitchen Hand คนหนึ่งที่ทำที่ร้านนั้น บ้านอยู่ทางเดียวกับเรา และเขามีรถ!!! เราเลยกลับกับเขาทุกครั้งที่มาทำงานค่ะ เห็นไม๊คะ การหางานที่นี่ต้องอาศัยดวงล้วนๆ ^^
เมื่อหญิงสาววัยเกิน 35 ลุกขึ้นมาตามหาความฝันกับการใช้ชีวิตเป็นนักเรียนอีกครั้งบนดินแดนแห่งฝันของใครหลายๆคนNZ ตอน5 จบ
EP5 : Part time staff
พอย้ายเข้ามาในเมือง ชีวิตเริ่มเข้าที่มากขึ้นเราก็จะขอพูดถึงเรื่องการหางานทำ ซึ่งพูดเลยว่าเป็นใจความสำคัญไม่แพ้การมาเรียน เพราะจะเป็น ปสก ที่ใหม่มากสำหรับงานที่หาได้ที่นี่ 5555 เพราะอยู่ที่ไทยเราไม่เคยได้ทำงานนี้แน่นวล จริงๆเราหางานทำตั้งแต่อยู่กับโฮสต์แล้วล่ะค่ะ อย่างที่บอก ที่นี่งานหายาก เราอยู่กับโฮสต์ได้ 1 อาทิตย์ก็เริ่มหางานค่ะ เราตั้งเป้าว่าต้องหางานให้ได้ก่อนย้าย เพราะมันจะมีค่าใช่จ่ายตามมา เช่น ค่าเช่า ค่ากิน ที่เราต้องจ่ายเองแล้ว เพราะตอนอยู่กับโฮสต์มันถูกจ่ายทั้งก้อนตั้งแต่ตอนแรกรวมกับค่าใช้จ่ายๆอื่นที่เราจ่ายก่อนมา
วิธีหางานของเรา ตอนแรกก็ นี่เลยค่ะ เดินถามและส่ง CV ตามร้านในเมืองที่เขาแปะป้าย Staff Wanted พวกร้านขาย giftshop ต่างๆ ตอนแรกไม่ได้มองงานเสริฟร้านอาหารไทยเลย เพราะคิดว่าภาษาเราก็ดีพอสื่อสารได้ 5555 มั่นมาก แต่สุดท้ายเราก็ค้นพบสัจธรรมที่ว่า Part time ที่จะทำได้สำหรับเด็กนักเรียนที่เรียนเต็มวันนั้นไม่พ้นงานร้านอาหาร เพราะเป็นงานเดียวที่เปิดเย็น สามารถทำหลังเลิกเรียนได้ งานอื่น แม้จะบอกว่า part time แต่ต้องมาได้ตอนบ่ายโมงถึงบ่ายสี่ อะไรแบบนี้ และร้านขายของที่นี่ แม้แต่ห้าง ปิดตอน 1 ทุ่ม ไม่มีใครรับคนที่มาทำงานได้แค่ 2-3 ชั่โมงหรอกค่ะ เสียเวลา เหรือไม่อย่างนั้นก็งานทำความสะอาดออฟฟิศ ซึ่งเป็นงานที่ทำกลางดึก หรือทำความสะอาดบาร์ ที่ทำกันเช้ามืด อีกอย่าง ร้านที่เป็นฝรั่งมักจะไม่รับเด็กพาร์ไทม์ที่แค่พอสื่อสารได้ แต่ต้องการที่สื่อสารได้เลยตะหาก ไอ้มั่นหน้า หมั่นกะโหลกเลยต้องรีบเปลี่ยนแผน
เราหางานจาก community คนไทยในโอ๊คแลนด์ ที่นี่จะมีพี่น้องคนไทยมาหาแรงงานหรือมาขายของในนี้เสมอๆ รวมทั้งสอบถามเรื่องราวต่างๆ ถือว่าเป็นที่ที่ใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันระหว่างคนไทย โดยเราใช้วิธีจดเบอร์และชื่อร้านออกมา และโทรถาม อย่างที่บอก การหางานที่นี่ ถ้าไม่มีคนรู้จักแนะนำก็ต้องอาศัยดวงอย่างเดียว เราโชคดีโทรไปเจอร้านไทยที่ต้องการ พนง เสริฟ พาร์ทไทม์พอดี ที่สำคัญเขาให้เราไปวันนั้น ตอนนั้นเลย เรางี้ทั้งตกใจและดีใจ แม้ว่าจะไปไม่ถูก เพราะเพิ่งมาอยู่ได้ 2 อาทิตย์และร้านก็อยู่นอกเมือง แต่เราก็จะไป โอกาสมาแล้วต้องคว้าไว้ค่ะ น้องเจ้าของร้านโทรบอกว่านั่งบัสสายอะไร ตรงไหน เราก็ยัง งง งง แล้วเขาก็โทรมาอีกทีบอกว่า เดี๋ยวให้น้องผู้ชายอีกคนที่เป็นเสิรฟที่ร้านเหมือนกัน และอาศัยอยู่ในเมืองเหมือนกัน มาพาเราไป และให้เบอร์โทรคุยกันเสร็จสรรพ สรุปวันนั้น ได้น้องผู้ชายมาพาไป พอไปถึง เราขอฝึกงาน 2 คนเลย เพราะเราเอาแฟนไปด้วย ทั้งที่จริงๆแล้วเขาต้องการเราแค่คนเดียว แต่เขาก็ใจดี ไหนๆก็มาแล้ว ก็ให้ทำทั้งคู่เลย และโชคเรายังดีอีกอย่างคือ ตอนกลับ อย่างที่บอกว่าตอนที่เราได้งานนั้นยังอยู่กับโฮสต์ที่โอนีฮังงา แต่ร้านที่ได้อยู่ เตฮาตาตู ซึ่งจากโอนีฯ เข้าเมืองใช้เวลา 30 นาที จากเมืองที่ทำงาน 40 นาที ขากลับนี้ นรกอ่ะ ถ้ากลับเอง เพราะรถเมล์เที่ยวสุดท้ายที่เตฮาตาตูคือห้าทุ่ม กว่าจะถึงเมือง กว่าจะหารถจากเมืองไปบ้าน แต่อย่างที่บอกว่าโชคเรายังดีที่มี Kitchen Hand คนหนึ่งที่ทำที่ร้านนั้น บ้านอยู่ทางเดียวกับเรา และเขามีรถ!!! เราเลยกลับกับเขาทุกครั้งที่มาทำงานค่ะ เห็นไม๊คะ การหางานที่นี่ต้องอาศัยดวงล้วนๆ ^^