สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
****ก๊อปเขามา
Peter Thiel

เกิดเมื่อ: 11 ตุลาคม 2510 (อายุ 49), แฟรงก์เฟิร์ต, เยอรมนี
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 2.7 พันล้าน USD (พ.ศ. 2560) ฟอบส์
ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel) “ประธานาธิบดีโลกไร้เงินสด” และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Facebook
คำถาม ถ้าคุณต้องเดินทางไปยังเกาะแห่งหนึ่ง
แต่พาหนะเพียงอย่างเดียวที่คนมักใช้เพื่อข้ามไปยังเกาะแห่งนั้น มีเพียง ‘เรือ’ ซึ่งปฎิเสธคุณ
คุณคิดว่าการเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้วหรือยัง หรือมันแค่จุดเริ่มต้นของอีกสิ่งหนึ่ง?
วันที่สตีฟ จอบส์ ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาสร้างมาด้วยน้ำมือตัวเอง ใครหลายคนอาจคิดว่า เส้นทางธุรกิจของเขา มาถึงตอนจบแล้ว แต่ใครจะคิดว่านั่น เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆ ของ สินค้าเปลี่ยนโลก ที่ชื่อ ไอแพค ไอโฟน
เมื่อ 12 ปีให้หลัง สตีฟ ถูกเรียกกลับเข้ามาให้ฟื้นอาณาจักร Apple Inc ที่กำลังล่มสลาย
เช่นกันกับ วันที่อดีตนักศึกษากฏหมายคนหนึ่ง ถูกปฏิเสธเข้ารับการทำงาน ในการสัมภาษณ์รอบสุดท้าย จากศาลสูงสุดของประเทศ ซึ่งเปรียบเสมือนความฝันของนักศึกษากฏหมายหลายคน เพราะมันหมายถึงหลักประกันความมั่นคงไปตลอดชีวิต
มองย้อนกลับไป
บางทีวันนั้นเขาอาจรู้สึกเส้นทางชีวิตเขามาถึงทางตันแล้ว แต่ใครจะรู้ ว่านั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้น ของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า เมื่อโลกพบเทคโนโลยีใหม่ เรือยนต์ถูกแทนที่เรือพาย เลยมาจนถือกำเนิดยุค Baby Boomer (ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุคที่นิยมมีลูกหลายๆ คน หลายประเทศเศรษฐกิจจึงเติบโตตามจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น)
เรื่อยมาจนเจนเนเรชั่น X ยุคที่ความขยันคือโอกาส ยุคที่ Demand มากกว่า Supply มาก ๆ
ยุคที่คนที่ผลิตอะไรออกมาก็มีโอกาสขายได้ง่าย หรือขยันจนจบการศึกษาสูง ๆ ก็จะมีงานทำดี ๆ ก้าวหน้าในบริษัท
แต่เมื่อเรือที่ใช้เชื้อเพลิงกำลังถูกแทนที่ด้วยพลังงานชนิดใหม่ พร้อมกับการเติบโตของคนเจเนอเรชั่น Y ถึง Z ยุคที่เมื่อมองไปทางไหน ก็มีคนเหมือนกันกับเราไปหมด
ระบบการศึกษาหลายปีที่ผ่านมาผลิตคนที่เหมือนกันออกมาเต็มไปหมด
ยุคที่ความขยันไม่ใช่โอกาสอีกแล้ว
เพราะคนขยันทำซ้ำในเรื่องเดียวกันเต็มไปหมด อีกอย่างก็คือคนรุ่นก่อนที่ทำงาน องค์กรบางแห่ง บริษัทแทบจะเลี้ยงไปจนเกษียณอายุ แต่ความมั่นคงในยุคหนึ่ง ไม่ใช่ความมั่นคงในอีกยุค
ยิ่งคนรุ่นใหม่หลายคนรู้ดีว่าพวกเทคโนโลยีอีกอย่าง ที่กำลังขโมยงานเขา ยกเว้นเขาจะร่วมหัวจมท้ายไปกับมัน โต๊ะทำงานจึงเป็นสิ่งที่บอกความฝัน ที่แตกต่างของคน ต่างยุคได้ดี
คนยุคก่อนฝันจะนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานในห้องใหญ่โตบนสำนักงานหรู ขณะที่คนยุคใหม่ฝันถึงการทำงานโดยไม่ต้องมีโต๊ะทำงาน ทำงานที่บ้าน หรือทำงานไปด้วยเดินทางไปด้วยยิ่งดี
นี่จึงเหตุผลที่คนรุ่นเก่ามองคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบออกมาไม่ได้เรื่อง มาทำงานไม่ขยัน ไม่อดทน มาเดี๋ยวก็ลาออก
ขณะที่คนรุ่นใหม่มองกลับไปที่องค์กรว่าไม่สามารถตอบสนอง Need เขาได้ เพราะคุณรุ่นใหม่ อยากมีความเป็นเอกลักษณ์ตัวเองมากขึ้น ทั้งที่บางทีเขาเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าตัวเองจะไปทางไหน
นี่ถึงอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมกระแส Start up กับ Freelance ถึงมาแรง เพราะมันตอบโจทย์ชีวิตเขาได้มากกว่า
อีกทั้งไม่กี่ปีก่อน ความฝันของนักศึกษาจบใหม่ๆ คือมีตำแหน่งบนนามบัตรว่า ซีอีโอ ในองค์กรใหญ่ ๆ เพราะคือความเท่ห์ ความคูล แต่ไม่กี่ปีถัดมา การได้ชื่อว่าเป็น ‘ผู้ก่อตั้ง’, ‘ผู้ร่วมก่อตั้ง’ กลับมาแทนที่
Peter Thiel ผู้สร้าง Paypal
มองย้อนกลับวันนั้น วันที่ชายชื่อ ‘Peter Thiel’ ถูกปฏิเสธการเข้าทำงานในศาลสูง เขาจะรู้หรือไม่ มันคือการสิ้นสุดของสิ่งหนึ่ง เพื่อเริ่มต้นอีกสิ่งหนึ่ง เพราะไม่กี่ปีให้หลัง เขาคือผู้สร้าง ‘Paypal’ การชำระเงินโดยไร้เงินสด และยังมีส่วนสำคัญในการสร้างเว๊ปไซด์ที่มีคนใช้มากที่สุดในโลกที่ชื่อ ‘Facebook’
เมื่อเขาตัดสินใจยัดเงินให้ มาร์ค ซักเกอร์เบอร์ก เพื่อเป็นทุนตั้งแต่ยังอยู่ระยะตั้งไข่ อยู่ในหอพัก ก่อนปัจจุบันจะผันตัวมารับอีกบทบาทหนึ่งในฐานะอาจารย์สอนผู้ประกอบการ หรือจะเรียกว่า “อาจารย์ Start Up” ก็ไม่ผิด
อะไรที่อยู่เบื้องหลังความคิดของอาจารย์ผู้นี้ ที่สามารถมองเห็นความสามารถในตัวคน ที่คนบางคน บอกว่าประหลาด สุดโต่ง หรือมีบุคลิกแปลกแยกกับสังคม แต่เขากับพร้อมที่ยัดเงินใส่มือคนพวกนั้น เพื่อให้นำไปสร้างนวัตกรรมเปลี่ยนโลก
ขณะที่คนอื่นอาจมองพวกนั้น แล้วเห็นแต่ตัวประหลาด จนไปถึงหัวเราะเย้ยหยัน ขณะเดียวกันกับที่เขามองซีอีโอบริษัทพวกเทคโนโลยี ที่ใส่สูทเนี้ยบหรูแบบพิมพ์นิยม เป็นพวกนักขายชั้นกระจอก และหลีกเลี่ยงการลงทุนกับบริษัทที่มีซีอีโอลักษณะเช่นนั้น
อะไรคือสิ่งที่พระอาจารย์ผู้นี้จะชี้ทางแก่ศิษย์ยานุศิษย์
เริ่มต้นด้วยคำถาม?
คำถามที่ดีมักนำสู่คำตอบที่ดี ถ้าคำถามยุคเรือพาย ของเซอร์ไอแซค นิวตัว ว่า…
“ทำไมผลแอพเปิลถึงตกลงพื้น ทำไมไม่ลอยขึ้นฟ้า” นำไปสู่การค้นพบ ‘กฏแรงโน้มถ่วงของโลก’
คำถามของปีเตอร์ ธีล ที่ว่า…
“มีเรื่องอะไรบ้างที่คุณคิดว่าสำคัญและเป็นความจริง แต่ไม่ค่อยมีใครเห็นด้วย?”
นี่อาจเป็นคำถามในการค้นพบธุรกิจที่สร้างนวัตกรรม
เพราะมันเป็นคำถามที่ท้าทายสติปัญญา ความรู้ที่ร่ำเรียนกันมา ที่คนเรียนมาเหมือน ๆ กัน และเห็นพ้องต้องกัน อีกทั้งมันยังท้าทายภาวะจิตใจของผู้ตอบ เพราะมันหมายถึงต้องพยายามพูดในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย
ปีเตอร์ ธีล บอกว่า…
“ทักษะการคิดอันชาญฉลาดหายากก็จริง แต่ที่หายากกว่าคือ ความกล้า”
ในความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าการที่ใครพยายามขบคิด
เพื่อให้ได้คำตอบแตกต่างจากคนอื่น บางทีมันอาจนำไปสู่การคิดถึง ‘ในสิ่งที่ไม่เคยมี’ หรือที่ปีเตอร์ ธีล เรียกว่าความก้าวหน้าแนวดิ่ง คือ การทำสิ่งใหม่ แตกต่างจาก ความก้าวหน้าในแนวราบ คือการเลียนแบบสิ่งที่ใช้ได้ผลอยู่แล้ว
โดยปีเตอร์ ยกตัวอย่าง…
ถ้าคุณมีเครื่องพิมพ์ดีด 1 ตัว แล้วผลิตออกมาอีกเป็น 100 อัน นั่นคือการสร้างความก้าวหน้าแนวราบ แต่ถ้าคุณมีเครื่องพิมพ์ดีด แล้วสร้างโปรแกรมพิมพ์งาน นั่นคือความคิดแนวดิ่ง
Monopoly ไม่ใช่ความผิดปกติ แต่คือเงื่อนไขของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
เมื่อพูดถึง Monopoly คนส่วนใหญ่มักคิดถึงการผูกขาดที่มักเกิดจากอำนาจรัฐ หรือสัญญาสัมปทาน เพราะอาจเคยชินกับภาพสมัยก่อน (โดยเฉพาะประเทศแถวตะวันออกเฉียงใต้ ที่เดี๋ยวนี้ก็ยังเห็นอยู่)
หรือผูกขาดเพราะเข้ามาสู่ตลาดก่อน
แต่ Monopoly ของปีเตอร์ คือ การผูกขาดด้วยการทำผลิตภัณฑ์ที่ดีจนคู่แข่งไม่สามารถแข่งขันได้ หรือแบบที่ไม่ใช่ลงไปในสนามรบเดิม ที่ผู้ชนะด้วยการฆ่าคู่ต่อสู้ให้ตายในสนามรบ
แต่คือสร้างสนามรบขึ้นมาใหม่ โดยสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าให้กับผู้บริโภค ถ้าให้ยกตัวอย่างก็คงเทียบได้กับไอโฟนที่สร้างสนามรบใหม่ด้วยการย่นย่อมือถือให้ลงมาอยู่ในมือถือเครื่องเดียว แทนการต่อสู้ในตลาดมือถือเดิม Cellularที่เน้นเรื่องสัญญาณการสื่อสารเป็นหลัก (คือสร้างสนามรบใหม่เพื่อทำลายสนามรบเดิม)
บวกทัศนคติของปีเตอร์ ที่เชื่อว่าบริษัทผูกขาดใดที่พยายามขัดขวางความก้าวหน้าของสังคม จากประวัติศาสตร์ท้ายที่สุด บริษัทนั้นจะอยู่ไม่ได้ เพราะจะมีบริษัทผู้ผูกขาดที่ดีกว่ามาแย่งบัลลังก์ไป
ปีเตอร์ยังบอกด้วยว่า
บริษัทในโลกธุรกิจมีอยู่ 2 แบบ
หนึ่งคือบริษัทที่เงินเป็นสิ่งสำคัญ กับ บริษัทที่เงินเป็นทุกอย่าง
บริษัทที่ผูกขาดนั้นสามารถคิดอย่างอื่นได้นอกจากการทำเงิน (คิดนวัตกรรม)
ขณะที่บริษัทที่เงินคือทุกสิ่งจะถูกให้จมจ่ออยู่กับกำไรระยะสั้น จนไม่มีพื้นที่ให้กับแผนระยะยาว
เริ่มจากแคบ แล้วค่อยไปกว้าง
มันเป็นเรื่องยากมากที่จะหวังทุกๆ คนมาเป็นลูกค้าของเรา เราจึงต้องกำหนดกลุ่มลูกค้าหรือตลาดให้ชัดเจนก่อน โดยควรเริ่มจากตลาดที่เล็กก่อน เพื่อจะได้โฟกัสและทุ่มทรัพยากรที่มีจำกัดลงไป เหตุผลคือการครอบครองตลาดเล็กไม่ยากเท่ากับตลาดใหญ่และการเรียกร้องความสนใจจากคนนับพันง่ายกว่าคนนับล้าน
พอยึดครองตลาดเล็กได้แล้ว ถึงค่อยขยับขึ้นไป ตัวอย่างที่เห็นได้ดีที่สุดคือ
บริษัทเอเมซอน ของเจฟฟ์ เบซอส ที่มีเป้าหมายจะเป็นเบอร์หนึ่งในการขายสินค้าออนไลน์ทุกชนิด แต่เริ่มจากการขาย ‘หนังสือ’ ก่อน ก่อนที่ตอนหลังจะเริ่มค่อย ๆ ขยับไปสู่สินค้าที่ใกล้เคียง แล้วค่อย ๆ
เพิ่มสินค้าอื่นขึ้นเรื่อย ๆ
ผลิตภัณฑ์ต่อให้ดีแค่ไหน ก็ต้องการการขาย
ปีเตอร์บอกว่า…
ความผิดพลาดอย่างหนึ่งก็คือ การคิดว่า สร้างผลิตภัณฑ์ที่ออกมายอดเยี่ยมได้ก็พอแล้ว เพราะถ้าผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมก็สามารถขายได้ด้วยตัวเอง
แต่จริง ๆ แล้วใครที่บอกกับคนอื่นว่าผลิตภัณฑ์ของตัวเองยอดเยี่ยมถึงขั้นนั้น บางทีเขาไม่หลอกคนอื่นอยู่ ก็กำลังหลอกตัวเอง เพราะผลิตภัณฑ์ต่อให้ดีแค่ไหน ก็ต้องการการขาย และการขายที่ดีจะต้องแนบเนียน
และจะได้ผลมากก็จะซับซ้อนมากถึงขั้นเมื่อคุณ ‘ไม่มีพนักงานขาย’
โดยยกตัวอย่างบริษัท พาลันเทียร์
บริษัทที่เขาร่วมก่อตั้ง ทำผลิตภัณฑ์ระบบวิเคราะห์ข้อมูล เขาไม่ได้จ้างพนักงานขายมารับผิดชอบเลย แต่ปล่อยให้เป็น หน้าที่ของซีอีโอ อเล็กซ์ คอร์ป ผู้ร่วมก่อตั้ง
เพราะของที่ขายมีราคาตั้งแต่ล้านดอลล่าร์ขึ้นไป และแน่นอนลูกค้าซื้อของราคาขนาดนี้ ต้องการคุยกับซีอีโอ มากกว่ารองประธานฝ่ายขาย
การขายแนบเนียน ที่ผมเคยเจอและคิดว่าจำเป็นมาก ก็คือการขายตัวเอง
ลองคิดว่าถ้าเป็นผู้หญิง แล้วเราจะทำให้ผู้ชายสักคนสนใจตัวเรา การจะพรีเซนต์ตัวเองว่าดีอย่างนู้นอย่าง ก็ใช่ที่ มันดูไม่ดี จะให้ดีต้องให้คนอื่นมาโปรโมทให้แทน
ความสำเร็จไม่สูตรสำเร็จ
ปีเตอร์ ธีล บอกว่า
“สูตรสำเร็จของการเป็นผู้ประกอบการนั้นไม่มีอยู่จริง”
(คือไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวนั่นเอง)
เพราะนวัตกรรมทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งใหม่และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงไม่สามารถกำหนดเป็นขั้นเป็นตอนได้
“แบบแผนอย่างเดียวที่ค้นพบ คือ คนที่สำเร็จจะมองเห็นคุณค่า ในที่ที่คาดไม่ถึง”
และพวกเขาทำเช่นนั้นบนฐานของ ‘หลักการคิด’ เรื่องธุรกิจ ‘ไม่ใช่สูตรสำเร็จ’
บางทีถ้าความสำเร็จ หรือ ความมั่นคง เป็นเหมือน เกาะ ๆ หนึ่ง เกาะ ๆ นั้น คงมีหลายเส้นทางให้เราเลือกไปยังเกาะ ซึ่งแต่ละเส้นทางไม่เหมือนกัน (ถึงแม้คนส่วนใหญ่นิยมไปทางเรือ)
วันที่ปีเตอร์ ธีล ถูกปฎิเสธให้ขึ้นเรือลำนั้นมันอาจหมายถึงถูกปฏิเสธแค่ขึ้นเรือลำหนึ่งเท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายเส้นทางให้เราเลือกไป ถ้าเรายังคิดจะไปยังเกาะนั้น
ซึ่งเส้นทางของแต่ละคนที่ไปยังเกาะ ย่อมไม่เหมือนกัน อยู่ที่ใครจะเลือกเส้นทางไหน บางทีเราต้องเลือกเส้นทางของเราเอง ที่บางทีอาจไม่เหมือนคนอื่น หรือสร้างเส้นทางใหม่ขึ้นมา
ส่วนสำหรับปีเตอร์ ธีล เมื่อถูกปฏิเสธขึ้นเรือ เขาเลือก…ที่จะสร้างเกาะแห่งใหม่ขึ้นมา!
*สามารถหาอ่านหนังสือ Zero to One ที่ปีเตอร์ ธีลเป็นผู้เขียนได้ โดยมีแปลเป็นภาษาไทยแล้ว.
Credit : Leaderwings
อ่านเพิ่มได้ที่ https://www.leaderwings.co/business/peter-thiel-2/

Bye ....
Peter Thiel

เกิดเมื่อ: 11 ตุลาคม 2510 (อายุ 49), แฟรงก์เฟิร์ต, เยอรมนี
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ: 2.7 พันล้าน USD (พ.ศ. 2560) ฟอบส์
ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel) “ประธานาธิบดีโลกไร้เงินสด” และผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Facebook
คำถาม ถ้าคุณต้องเดินทางไปยังเกาะแห่งหนึ่ง
แต่พาหนะเพียงอย่างเดียวที่คนมักใช้เพื่อข้ามไปยังเกาะแห่งนั้น มีเพียง ‘เรือ’ ซึ่งปฎิเสธคุณ
คุณคิดว่าการเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้วหรือยัง หรือมันแค่จุดเริ่มต้นของอีกสิ่งหนึ่ง?
วันที่สตีฟ จอบส์ ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาสร้างมาด้วยน้ำมือตัวเอง ใครหลายคนอาจคิดว่า เส้นทางธุรกิจของเขา มาถึงตอนจบแล้ว แต่ใครจะคิดว่านั่น เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆ ของ สินค้าเปลี่ยนโลก ที่ชื่อ ไอแพค ไอโฟน
เมื่อ 12 ปีให้หลัง สตีฟ ถูกเรียกกลับเข้ามาให้ฟื้นอาณาจักร Apple Inc ที่กำลังล่มสลาย
เช่นกันกับ วันที่อดีตนักศึกษากฏหมายคนหนึ่ง ถูกปฏิเสธเข้ารับการทำงาน ในการสัมภาษณ์รอบสุดท้าย จากศาลสูงสุดของประเทศ ซึ่งเปรียบเสมือนความฝันของนักศึกษากฏหมายหลายคน เพราะมันหมายถึงหลักประกันความมั่นคงไปตลอดชีวิต
มองย้อนกลับไป
บางทีวันนั้นเขาอาจรู้สึกเส้นทางชีวิตเขามาถึงทางตันแล้ว แต่ใครจะรู้ ว่านั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้น ของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า เมื่อโลกพบเทคโนโลยีใหม่ เรือยนต์ถูกแทนที่เรือพาย เลยมาจนถือกำเนิดยุค Baby Boomer (ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุคที่นิยมมีลูกหลายๆ คน หลายประเทศเศรษฐกิจจึงเติบโตตามจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น)
เรื่อยมาจนเจนเนเรชั่น X ยุคที่ความขยันคือโอกาส ยุคที่ Demand มากกว่า Supply มาก ๆ
ยุคที่คนที่ผลิตอะไรออกมาก็มีโอกาสขายได้ง่าย หรือขยันจนจบการศึกษาสูง ๆ ก็จะมีงานทำดี ๆ ก้าวหน้าในบริษัท
แต่เมื่อเรือที่ใช้เชื้อเพลิงกำลังถูกแทนที่ด้วยพลังงานชนิดใหม่ พร้อมกับการเติบโตของคนเจเนอเรชั่น Y ถึง Z ยุคที่เมื่อมองไปทางไหน ก็มีคนเหมือนกันกับเราไปหมด
ระบบการศึกษาหลายปีที่ผ่านมาผลิตคนที่เหมือนกันออกมาเต็มไปหมด
ยุคที่ความขยันไม่ใช่โอกาสอีกแล้ว
เพราะคนขยันทำซ้ำในเรื่องเดียวกันเต็มไปหมด อีกอย่างก็คือคนรุ่นก่อนที่ทำงาน องค์กรบางแห่ง บริษัทแทบจะเลี้ยงไปจนเกษียณอายุ แต่ความมั่นคงในยุคหนึ่ง ไม่ใช่ความมั่นคงในอีกยุค
ยิ่งคนรุ่นใหม่หลายคนรู้ดีว่าพวกเทคโนโลยีอีกอย่าง ที่กำลังขโมยงานเขา ยกเว้นเขาจะร่วมหัวจมท้ายไปกับมัน โต๊ะทำงานจึงเป็นสิ่งที่บอกความฝัน ที่แตกต่างของคน ต่างยุคได้ดี
คนยุคก่อนฝันจะนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานในห้องใหญ่โตบนสำนักงานหรู ขณะที่คนยุคใหม่ฝันถึงการทำงานโดยไม่ต้องมีโต๊ะทำงาน ทำงานที่บ้าน หรือทำงานไปด้วยเดินทางไปด้วยยิ่งดี
นี่จึงเหตุผลที่คนรุ่นเก่ามองคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบออกมาไม่ได้เรื่อง มาทำงานไม่ขยัน ไม่อดทน มาเดี๋ยวก็ลาออก
ขณะที่คนรุ่นใหม่มองกลับไปที่องค์กรว่าไม่สามารถตอบสนอง Need เขาได้ เพราะคุณรุ่นใหม่ อยากมีความเป็นเอกลักษณ์ตัวเองมากขึ้น ทั้งที่บางทีเขาเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าตัวเองจะไปทางไหน
นี่ถึงอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมกระแส Start up กับ Freelance ถึงมาแรง เพราะมันตอบโจทย์ชีวิตเขาได้มากกว่า
อีกทั้งไม่กี่ปีก่อน ความฝันของนักศึกษาจบใหม่ๆ คือมีตำแหน่งบนนามบัตรว่า ซีอีโอ ในองค์กรใหญ่ ๆ เพราะคือความเท่ห์ ความคูล แต่ไม่กี่ปีถัดมา การได้ชื่อว่าเป็น ‘ผู้ก่อตั้ง’, ‘ผู้ร่วมก่อตั้ง’ กลับมาแทนที่
Peter Thiel ผู้สร้าง Paypal
มองย้อนกลับวันนั้น วันที่ชายชื่อ ‘Peter Thiel’ ถูกปฏิเสธการเข้าทำงานในศาลสูง เขาจะรู้หรือไม่ มันคือการสิ้นสุดของสิ่งหนึ่ง เพื่อเริ่มต้นอีกสิ่งหนึ่ง เพราะไม่กี่ปีให้หลัง เขาคือผู้สร้าง ‘Paypal’ การชำระเงินโดยไร้เงินสด และยังมีส่วนสำคัญในการสร้างเว๊ปไซด์ที่มีคนใช้มากที่สุดในโลกที่ชื่อ ‘Facebook’
เมื่อเขาตัดสินใจยัดเงินให้ มาร์ค ซักเกอร์เบอร์ก เพื่อเป็นทุนตั้งแต่ยังอยู่ระยะตั้งไข่ อยู่ในหอพัก ก่อนปัจจุบันจะผันตัวมารับอีกบทบาทหนึ่งในฐานะอาจารย์สอนผู้ประกอบการ หรือจะเรียกว่า “อาจารย์ Start Up” ก็ไม่ผิด
อะไรที่อยู่เบื้องหลังความคิดของอาจารย์ผู้นี้ ที่สามารถมองเห็นความสามารถในตัวคน ที่คนบางคน บอกว่าประหลาด สุดโต่ง หรือมีบุคลิกแปลกแยกกับสังคม แต่เขากับพร้อมที่ยัดเงินใส่มือคนพวกนั้น เพื่อให้นำไปสร้างนวัตกรรมเปลี่ยนโลก
ขณะที่คนอื่นอาจมองพวกนั้น แล้วเห็นแต่ตัวประหลาด จนไปถึงหัวเราะเย้ยหยัน ขณะเดียวกันกับที่เขามองซีอีโอบริษัทพวกเทคโนโลยี ที่ใส่สูทเนี้ยบหรูแบบพิมพ์นิยม เป็นพวกนักขายชั้นกระจอก และหลีกเลี่ยงการลงทุนกับบริษัทที่มีซีอีโอลักษณะเช่นนั้น
อะไรคือสิ่งที่พระอาจารย์ผู้นี้จะชี้ทางแก่ศิษย์ยานุศิษย์
เริ่มต้นด้วยคำถาม?
คำถามที่ดีมักนำสู่คำตอบที่ดี ถ้าคำถามยุคเรือพาย ของเซอร์ไอแซค นิวตัว ว่า…
“ทำไมผลแอพเปิลถึงตกลงพื้น ทำไมไม่ลอยขึ้นฟ้า” นำไปสู่การค้นพบ ‘กฏแรงโน้มถ่วงของโลก’
คำถามของปีเตอร์ ธีล ที่ว่า…
“มีเรื่องอะไรบ้างที่คุณคิดว่าสำคัญและเป็นความจริง แต่ไม่ค่อยมีใครเห็นด้วย?”
นี่อาจเป็นคำถามในการค้นพบธุรกิจที่สร้างนวัตกรรม
เพราะมันเป็นคำถามที่ท้าทายสติปัญญา ความรู้ที่ร่ำเรียนกันมา ที่คนเรียนมาเหมือน ๆ กัน และเห็นพ้องต้องกัน อีกทั้งมันยังท้าทายภาวะจิตใจของผู้ตอบ เพราะมันหมายถึงต้องพยายามพูดในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย
ปีเตอร์ ธีล บอกว่า…
“ทักษะการคิดอันชาญฉลาดหายากก็จริง แต่ที่หายากกว่าคือ ความกล้า”
ในความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าการที่ใครพยายามขบคิด
เพื่อให้ได้คำตอบแตกต่างจากคนอื่น บางทีมันอาจนำไปสู่การคิดถึง ‘ในสิ่งที่ไม่เคยมี’ หรือที่ปีเตอร์ ธีล เรียกว่าความก้าวหน้าแนวดิ่ง คือ การทำสิ่งใหม่ แตกต่างจาก ความก้าวหน้าในแนวราบ คือการเลียนแบบสิ่งที่ใช้ได้ผลอยู่แล้ว
โดยปีเตอร์ ยกตัวอย่าง…
ถ้าคุณมีเครื่องพิมพ์ดีด 1 ตัว แล้วผลิตออกมาอีกเป็น 100 อัน นั่นคือการสร้างความก้าวหน้าแนวราบ แต่ถ้าคุณมีเครื่องพิมพ์ดีด แล้วสร้างโปรแกรมพิมพ์งาน นั่นคือความคิดแนวดิ่ง
Monopoly ไม่ใช่ความผิดปกติ แต่คือเงื่อนไขของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
เมื่อพูดถึง Monopoly คนส่วนใหญ่มักคิดถึงการผูกขาดที่มักเกิดจากอำนาจรัฐ หรือสัญญาสัมปทาน เพราะอาจเคยชินกับภาพสมัยก่อน (โดยเฉพาะประเทศแถวตะวันออกเฉียงใต้ ที่เดี๋ยวนี้ก็ยังเห็นอยู่)
หรือผูกขาดเพราะเข้ามาสู่ตลาดก่อน
แต่ Monopoly ของปีเตอร์ คือ การผูกขาดด้วยการทำผลิตภัณฑ์ที่ดีจนคู่แข่งไม่สามารถแข่งขันได้ หรือแบบที่ไม่ใช่ลงไปในสนามรบเดิม ที่ผู้ชนะด้วยการฆ่าคู่ต่อสู้ให้ตายในสนามรบ
แต่คือสร้างสนามรบขึ้นมาใหม่ โดยสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าให้กับผู้บริโภค ถ้าให้ยกตัวอย่างก็คงเทียบได้กับไอโฟนที่สร้างสนามรบใหม่ด้วยการย่นย่อมือถือให้ลงมาอยู่ในมือถือเครื่องเดียว แทนการต่อสู้ในตลาดมือถือเดิม Cellularที่เน้นเรื่องสัญญาณการสื่อสารเป็นหลัก (คือสร้างสนามรบใหม่เพื่อทำลายสนามรบเดิม)
บวกทัศนคติของปีเตอร์ ที่เชื่อว่าบริษัทผูกขาดใดที่พยายามขัดขวางความก้าวหน้าของสังคม จากประวัติศาสตร์ท้ายที่สุด บริษัทนั้นจะอยู่ไม่ได้ เพราะจะมีบริษัทผู้ผูกขาดที่ดีกว่ามาแย่งบัลลังก์ไป
ปีเตอร์ยังบอกด้วยว่า
บริษัทในโลกธุรกิจมีอยู่ 2 แบบ
หนึ่งคือบริษัทที่เงินเป็นสิ่งสำคัญ กับ บริษัทที่เงินเป็นทุกอย่าง
บริษัทที่ผูกขาดนั้นสามารถคิดอย่างอื่นได้นอกจากการทำเงิน (คิดนวัตกรรม)
ขณะที่บริษัทที่เงินคือทุกสิ่งจะถูกให้จมจ่ออยู่กับกำไรระยะสั้น จนไม่มีพื้นที่ให้กับแผนระยะยาว
เริ่มจากแคบ แล้วค่อยไปกว้าง
มันเป็นเรื่องยากมากที่จะหวังทุกๆ คนมาเป็นลูกค้าของเรา เราจึงต้องกำหนดกลุ่มลูกค้าหรือตลาดให้ชัดเจนก่อน โดยควรเริ่มจากตลาดที่เล็กก่อน เพื่อจะได้โฟกัสและทุ่มทรัพยากรที่มีจำกัดลงไป เหตุผลคือการครอบครองตลาดเล็กไม่ยากเท่ากับตลาดใหญ่และการเรียกร้องความสนใจจากคนนับพันง่ายกว่าคนนับล้าน
พอยึดครองตลาดเล็กได้แล้ว ถึงค่อยขยับขึ้นไป ตัวอย่างที่เห็นได้ดีที่สุดคือ
บริษัทเอเมซอน ของเจฟฟ์ เบซอส ที่มีเป้าหมายจะเป็นเบอร์หนึ่งในการขายสินค้าออนไลน์ทุกชนิด แต่เริ่มจากการขาย ‘หนังสือ’ ก่อน ก่อนที่ตอนหลังจะเริ่มค่อย ๆ ขยับไปสู่สินค้าที่ใกล้เคียง แล้วค่อย ๆ
เพิ่มสินค้าอื่นขึ้นเรื่อย ๆ
ผลิตภัณฑ์ต่อให้ดีแค่ไหน ก็ต้องการการขาย
ปีเตอร์บอกว่า…
ความผิดพลาดอย่างหนึ่งก็คือ การคิดว่า สร้างผลิตภัณฑ์ที่ออกมายอดเยี่ยมได้ก็พอแล้ว เพราะถ้าผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมก็สามารถขายได้ด้วยตัวเอง
แต่จริง ๆ แล้วใครที่บอกกับคนอื่นว่าผลิตภัณฑ์ของตัวเองยอดเยี่ยมถึงขั้นนั้น บางทีเขาไม่หลอกคนอื่นอยู่ ก็กำลังหลอกตัวเอง เพราะผลิตภัณฑ์ต่อให้ดีแค่ไหน ก็ต้องการการขาย และการขายที่ดีจะต้องแนบเนียน
และจะได้ผลมากก็จะซับซ้อนมากถึงขั้นเมื่อคุณ ‘ไม่มีพนักงานขาย’
โดยยกตัวอย่างบริษัท พาลันเทียร์
บริษัทที่เขาร่วมก่อตั้ง ทำผลิตภัณฑ์ระบบวิเคราะห์ข้อมูล เขาไม่ได้จ้างพนักงานขายมารับผิดชอบเลย แต่ปล่อยให้เป็น หน้าที่ของซีอีโอ อเล็กซ์ คอร์ป ผู้ร่วมก่อตั้ง
เพราะของที่ขายมีราคาตั้งแต่ล้านดอลล่าร์ขึ้นไป และแน่นอนลูกค้าซื้อของราคาขนาดนี้ ต้องการคุยกับซีอีโอ มากกว่ารองประธานฝ่ายขาย
การขายแนบเนียน ที่ผมเคยเจอและคิดว่าจำเป็นมาก ก็คือการขายตัวเอง
ลองคิดว่าถ้าเป็นผู้หญิง แล้วเราจะทำให้ผู้ชายสักคนสนใจตัวเรา การจะพรีเซนต์ตัวเองว่าดีอย่างนู้นอย่าง ก็ใช่ที่ มันดูไม่ดี จะให้ดีต้องให้คนอื่นมาโปรโมทให้แทน
ความสำเร็จไม่สูตรสำเร็จ
ปีเตอร์ ธีล บอกว่า
“สูตรสำเร็จของการเป็นผู้ประกอบการนั้นไม่มีอยู่จริง”
(คือไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวนั่นเอง)
เพราะนวัตกรรมทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งใหม่และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงไม่สามารถกำหนดเป็นขั้นเป็นตอนได้
“แบบแผนอย่างเดียวที่ค้นพบ คือ คนที่สำเร็จจะมองเห็นคุณค่า ในที่ที่คาดไม่ถึง”
และพวกเขาทำเช่นนั้นบนฐานของ ‘หลักการคิด’ เรื่องธุรกิจ ‘ไม่ใช่สูตรสำเร็จ’
บางทีถ้าความสำเร็จ หรือ ความมั่นคง เป็นเหมือน เกาะ ๆ หนึ่ง เกาะ ๆ นั้น คงมีหลายเส้นทางให้เราเลือกไปยังเกาะ ซึ่งแต่ละเส้นทางไม่เหมือนกัน (ถึงแม้คนส่วนใหญ่นิยมไปทางเรือ)
วันที่ปีเตอร์ ธีล ถูกปฎิเสธให้ขึ้นเรือลำนั้นมันอาจหมายถึงถูกปฏิเสธแค่ขึ้นเรือลำหนึ่งเท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายเส้นทางให้เราเลือกไป ถ้าเรายังคิดจะไปยังเกาะนั้น
ซึ่งเส้นทางของแต่ละคนที่ไปยังเกาะ ย่อมไม่เหมือนกัน อยู่ที่ใครจะเลือกเส้นทางไหน บางทีเราต้องเลือกเส้นทางของเราเอง ที่บางทีอาจไม่เหมือนคนอื่น หรือสร้างเส้นทางใหม่ขึ้นมา
ส่วนสำหรับปีเตอร์ ธีล เมื่อถูกปฏิเสธขึ้นเรือ เขาเลือก…ที่จะสร้างเกาะแห่งใหม่ขึ้นมา!
*สามารถหาอ่านหนังสือ Zero to One ที่ปีเตอร์ ธีลเป็นผู้เขียนได้ โดยมีแปลเป็นภาษาไทยแล้ว.
Credit : Leaderwings
อ่านเพิ่มได้ที่ https://www.leaderwings.co/business/peter-thiel-2/

Bye ....
แสดงความคิดเห็น
ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 25/6/2017 - 12 เรื่องสยองและลึกลับ
ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ
1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีครับ
วันนี้ ไปเก็บภาพ และเรื่องราวของ 12 เรื่องลึกลับ จากยูทูป มาฝากกันครับ มีอะไรกันบ้าง ลึกลับขนาดไหน สยองเพียงใด มาชมกันเลยครับ
(1) นาฬิกาในสุสานโบราณ
ในปี 2008 นักโบราณคดีของจีน ได้ทำการขุดสำรวจ สุสาน "จ้านสี" ซึ่งมีอายุกว่า 400 ปี และสิ่งที่ค้นพบในสุสานที่ชวนตกตะลึงก็คือ วัตถุที่เหมือนแหวน แต่มีลักษณะคล้ายคลึงกับนาฬิกาข้อมือ แถมด้านหลัง มีอักษรสลักเป็นคำว่า "สวิส" อีกต่างหาก ซึ่งเมื่อ 400 ปีก่อนนั้น แน่นอนว่า นาฬิกาสวิส ยังไม่เกิดขึ้นมาในโลก แม้กระทั่งประเทศสวิสเอง ก็ยังมิได้เกิดด้วยซ้ำ !!!
(2) จากภาพยนตร์เรื่อง Three Men & A Baby ในปี 1987
ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนว Comedy แท้ๆ ต้องกลายเป็นแนว HORROR หรือสยองขวัญไปเสียฉิบ เมื่อมีฉากหนึ่งซึ่งนักแสดงกำลังเดินอยู่ในบ้าน กลับมีร่างของเด็กน้อยคนหนึ่งยืนแอบอยู่หลังผ้าม่าน ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน (ขวัญอ่อน อย่าเปิดดู !!!)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซึ่งในระหว่างการถ่ายทำ ไม่มีใครเห็นเด็กคนนี้มาก่อน และไม่รู้ด้วยว่าเขามาจากไหน, ในเวลาต่อมา ก็มีข่าวลือว่า เด็กน้อยเคยถูกฆาตกรรมในบ้านหลังนี้มาก่อน นานมาแล้ว และดวงวิญญาณก็ยังไม่ไปไหน
(3) "แคทโบโรซอรัส"
ปี 1907 ชาวประมง 9 คน ได้จับ สัตว์ประหลาด ที่พวกเขาอ้างว่า มันคือ "แคทโบโรซอรัส" ที่สูญพันธ์ไปนานมากแล้ว นักวิทยาศาสตร์พยายามหาที่มาของภาพนี้ แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอต้นตอ และมีคนบางพวกก็สันนิษฐานว่า อาจจะเป็นเรื่องหลอกลวงกันเท่านั้น
(4) นักบินอวกาศปริศนา
หลังจากที่ จิม เท็มเพอร์ตั้น และภรรยาของเขา ได้ถ่ายภาพลูกสาวแล้วล้างฟิล์มอัดรูปออกมา ปรากฏว่า มีคนใส่ชุดขาวและสวมหมวกเหมือนนักบินอวกาศปรากฏอยู่ด้านหลังของเด็กสาวตัวน้อย สองสามีภรรยา ยืนยันว่า ในขณะที่กำลังถ่ายรูปอยู่นั้น ไม่มีใครเลยที่ยืนอยู่ข้างหลังลูกสาว และทั้งสองพยายามทำการติดต่อกับบริษัท โกดัก จำกัด เพื่อขอคำอธิบาย ทางโกดักตรวจสอบและยืนยันว่า ภาพนี้ ไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่มีใครทำการปลอมแปลงอะไรเข้าไปในภาพ แน่นอน จึงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ว่า มนุษย์อวกาศผู้ลึกลับนั้น มาจากไหน มาได้ยังไง ?
(5) นายทหารที่จากไป (ขวัญอ่อน อย่าเปิดดู !!!)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นี่คือภาพถ่ายจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ถ้าดูแบบผิวเผิน ดูผ่านๆไป ก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติ แต่เมื่อสังเกตให้ดี จะเห็นนักบินอีกคนหนึ่ง แอบอยู่ข้างหลังนักบินคนที่ 4 (แถวหลัง นับจากซ้ายไปขวา) และเขาผู้ที่อยู่ข้างหลังนั้น มีชื่อว่า เฟรดดี้ แจ๊คสัน ซึ่งตายไปนานแล้ว งานศพของเขาถูกจัดขึ้นในวันเดียวกันกับที่ถ่ายภาพนี้
(6) หญิงลึกลับ วันลอบสังหาร
ในปี 1963 ในวันที่ จอห์น เอฟ เคเนดี้ ประธานาธิบดีผู้โด่งดังของสหรัฐถูกลอบยิงเสียชีวิต ปรากฏมีหญิงคนหนึ่งใส่เสื้อโค้ท ใส่แว่นอำพรางใบหน้า และเธอตกเป็นผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์ลอบสังหารครั้งนี้ แต่ F.B.I. ไม่เคยหาเธอพบเลย ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน มีคนบางคนออกมาแอบอ้างว่าเป็นเธออยู่บ้างเหมือนกัน แต่เมื่อสอบสวนดูแล้วก็พบพิรุธกลายเป็นพวกหลอกลวงไปหมด หญิงลึกลับ ซึ่งถูกขนานนามว่า "บาบุสก้า เลดี้" จึงเป็นหญิงปริศนาจากวันลอบสังหาร JFK จนถึงทุกวันนี้
(7) วิญญาณเด็กน้อย(ขวัญอ่อน อย่าเปิดดู !!!)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปี 1945 คุณแม่ชาวออสเตรเลียคนหนึ่ง ได้ถ่ายภาพลูกสาวที่เสียชีวิตไปแล้วที่หลุมฝังศพของลูกน้อยเป็นครั้งสุดท้าย แต่พอได้เห็นภาพถ่ายแล้วเธอก็ต้องช็อก เพราะปรากฏร่างเด็กน้อยคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่ลูกของเธออยู่ข้างหลุมศพลูกสาว ต่อมาภายหลังจึงได้รู้ว่า ข้างๆตรงนั้น มีศพเด็กผู้หญิงสองคนฝังอยู่ ดังนั้น เด็กที่ปรากฏตัวให้เห็นในภาพ อาจเป็นหนึ่งในสองคนนั้น
(8) HELP !!! ช่วยฉันด้วย !!!
นี่คือ ภาพซากปรักหักพังส่วนหนึ่งของตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ ที่ถูกเครื่องบินพุ่งชนครั้งแรก ในเหตุการณ์ 911 ในภาพคือหญิงคนหนึ่งที่ยังรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์ ออกมายืนร้องขอความช่วยเหลือ และมีคนถ่ายภาพนี้ไว้ได้ ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นใคร ชื่ออะไร และหลังจากเหตุการณ์ 911 ผ่านพ้นไป ก็ไม่มีใครรู้ได้ว่า เธอจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ?
(9) วิญญาณชายถูกแขวน (ขวัญอ่อน อย่าเปิดดูโดยเด็ดขาด น่ากลัวมาก !!!)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ครอบครัว "คูเปอร์" ได้พากันย้ายบ้าน เข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ และร่วมกันถ่ายภาพหมู่อยู่ในห้องอาหาร หลังจากภาพถ่ายออกมาแล้ว ปรากฏมีภาพชายห้อยหัวลงมาจากเพดานเป็นเงาดำมืดอยู่ด้านซ้าย ทุกคนในครอบครัวยืนยันว่าในขณะที่ร่วมกันถ่ายภาพ ไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นแน่นอน และภาพนี้ ถูกกล่าวขวัญกันว่า เป็น "ภาพผีที่หลอนที่สุดในประวัติศาสตร์"
(10) วิญญาณแม่ชี (ขวัญอ่อน อย่าเปิดดู !!!)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ภาพนี้ ถูกถ่ายในโบสถ์วอททรีท เมืองนอร์ธโฟลค์ ประเทศอังกฤษ ปีเตอร์ เบอร์เทลอท ถ่ายภาพ ไดแอน ผู้เป็นภรรยาที่กำลังนั่งหลับอยู่ที่ม้านั่งยาวในโบสถ์ และเมื่ออัดภาพออกมาก็พบว่ามีร่างสีขาวของผู้หญิงอีกคนหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหลังภรรยาของเขา แล้วจึงได้ทราบต่อมาว่า วิญญาณที่ปรากฏในภาพนี้ ชาวบ้านเรียกขานกันว่า ไว้ท์ เลดี้ ที่เรียกกันอย่างนี้เพราะพวกชาวบ้านเชื่อว่า เธอคือแม่ชีที่เคยอยู่ในโบสถ์แห่งนี้มาก่อน
(11) ใบหน้าคนบนคลื่นทะเล (ขวัญอ่อน อย่าเปิดดู !!!)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ขณะที่ เจมส์ คอสนีย์ และ ไมเคิล มีฮาน กำลังทำความสะอาดคลังสินค้าบนเรือ พวกเขาทั้งสองบังเอิญถูกแก๊สพิษที่รั่วไหลออกมา และเสียชีวิตทั้งคู่ และศพของพวกเขาก็ถูกฝังไว้ใต้ทะเล และหลังจากนั้น ทุกคนบนเรือ ต่างได้เห็นใบหน้าของทั้งคู่ ปรากฏอยู่บนคลื่นทะเลตลอดเวลา และวันหนึ่ง คีธ เทซี่ กับตันเรือ ตัดสินใจซื้อกล้องถ่ายรูปมาเพื่อจะถ่ายเก็บภาพการเดินทางของตน แต่ก็ต้องมาเจอภาพสยองของคนสองคนนี้เป็นคอลเล็คชั่นเสริม
(12) ผู้มาจากอนาคต
ภาพนี้ถูกถ่ายเอาไว้ได้ในปี 1941 ที่สะพานซอฟฟอฟ ประเทศแคนาดา ซึ่งปรากฏภาพชายคนหนึ่งซึ่งดูแตกต่างจากคนอื่นๆในภาพเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทรงผม แว่นตาที่ใส่ เสื้อ และกล้องที่ถืออยู่ในมือก็ดูเหมือนกล้องยุคไฮเทค ต่างจากกล้องคนอื่นเขา จึงสงสัยกันว่า บางที เขาอาจจะเดินทางข้ามกาลเวลามาอยู่ในปีนั้นก็เป็นได้
ขอบคุณ ข้อมูลจาก ยูทูป และผู้เล่าเรื่อง = https://www.youtube.com/watch?v=wruc2TuR6-M
โลกนี้ ยังมีสิ่งลึกลับ เรื่องเหลือเชื่อมหัศจรรย์ อีกมากมาย MC จะพยายามหาอะไรแปลกๆ แบบนี้มาฝากอีก ในครั้งต่อๆไป
พบกันใหม่ เสาร์ อาทิตย์หน้าครับ