ลุ้นมาก ปรกติเราจะรอดูย้อนหลังเพราะอยู่ตปท. แต่รอบชิงนี้เราถึงกับตั้งปลุกตื่นขึ้นมาดูสดทางเฟสบุ๊คเลย ส่วนตัวเชียร์เชฟเมย์มาตลอด รักเชฟเมย์ แต่ชอบเชฟตาม ก่อนแข่งนี่เราว่าเชฟเมย์ชนะแน่ ตอนที่เชฟเมย์เลือกลูกทีมเราลุ้นมากว่าอย่าให้มีเชฟแม่อ้อย เดี๋ยวจะบอกเหตุผลว่าเพราะอะไร แต่ตอนที่เชฟตามเลือเชฟต้นเราโคตรดีใจ แล้วดราม่าก็เกิดขึ้นจนได้ในทีมเชฟเมย์ เกิดตรงเชฟอ้อยด้วย ส่วนเชฟต้นก็มีสติหลุดๆบ้าง แต่ตอนท้ายรายการที่เชฟวิลแมนพูดว่า "ไปคนเดียวไปได้ไว
ไปหลายคนไปได้ไกล" เป็นจริงที่สุดเพราะคอร์สที่สามของทุกคนมีข้อกังขาเหมือนกันทั้งคู่ นอกนั้นสูสีและดีงาม ดังนั้นก็ต้องตัดสินกันด้วย kitchen performance และการจัดการในครัวที่ถือเป็นอีกหนึ่งความสำคัญของการเป็นเชฟที่ต้องดีพอๆกับเมนูและรสชาติ
เชฟเมย์เป็นเชฟเจ้าของร้าน ลูกทีมของเชฟเมย์ทุกคนเป็นหมายเลขหนึ่งหมด การบริหารงานกับคนที่ทุกคนก็รู้ว่าตัวเองมีดี ตัวเองเป็นที่สุด เป็นเรื่องยาก ตัวเชฟเมย์เองก็เคยมีข้อขัดใจกับเชฟโฟล์คเนื่องจากเชฟโฟล์คเป็นคนไม่มีการจัดการที่ดี เชฟอ้อยเองก็เคยแสดงให้เราเห็นว่าเป็นผู้ใหญ่ไม่เปิดใจ ใครเด็กกว่าคือด้อย ดราม่าออกตอนที่เชฟอ้อยหายไป ในขณะที่เชฟตามเป็นรองหัวหน้าเชฟ เชฟตามคุ้นเคยกับการได้รับคำสั่ง ดังนั้นเชฟตามจะรู้ว่ากริยาการสั่งแบบไหนลูกทีมรับได้ เร่งงานแบบไหนลูกทีมรับไม่ได้เพราะตัวเองคุ้นชินกับการเป็นลูกทีมดี จึงรู้ว่าทัศนคติแบบไหนแสดงออกแล้วทีมหยุด แบบไหนทีมเดิน และการสื่อสารตลอดเป็นสิ่งสำคัญ ต่างกับตอนที่เชฟเมย์ลงมือทำทาร์ตเองทั้งๆที่มอบหมายให้เชฟอ้อยแล้ว ตัวเชฟอ้อยเองก็ถือว่าตัวเองเจ๋งอยู่แล้ว มาเจอแบบนี้บรรยากาศก็มาคุสิ ส่วนเชฟต้นที่ใครๆก็มองว่าเป็นจอมโว ไม่นิ่ง เชฟตามเาไม่อยู่แน่ แต่เราเห็นตั้งแต่ตอนที่เชฟต้นได้คู่กับเชฟอ้อยในเทปแรกๆแล้ว เชฟต้นยอมรับเชฟอ้อย เข้าใจดีว่าตัวเองไม่ถนัดอาหารไทย ยกให้เชฟอ้อยเป็นผู้นำส่วนตัวเองเป็นผู้ช่วย ถึงจะดูอีโก้แรงแต่ก็รู้จักกลไกของการทำงานดี มาร่วมงานกับเชฟตามก็มีการยอมรับในตัวหัวหน้าทีม และการบริหารรวมทั้งการสื่อสารของเชฟตามดีมาก ใช้คำพูดและน้ำเสียงที่ดีตลอด ใครก็อยากทำงานให้ ในขณะที่เชฟเมย์พอเครียดก็มีเสียงแข็งเป็นระยะๆ
ตรงนี้แหละที่เชฟตามเฉือนเชฟเมย์ไปได้ ถ้ามองที่จานอาหารอาจดูว่าสูสี แต่มองที่การบริหารงานครัวเชฟตามกินขาดเลย ไม่แปลกใจที่ได้ตำแหน่ง Top Chef คนแรกของประเทศไทยทั้งที่เป็นผู้เข้าแข่งขันที่อายุน้อยที่สุด
....................
กลับมาดูกระทู้อีกทีได้ขึ้นแนะนำด้วย เขินนนนน
สิ่งที่เราชอบมากๆๆๆๆของรายการนี้ คือประสบการณ์ชีวิตของกรรมการและผู้เข้าแข่งขัน คณะกรรมการถ้าไม่นับเชฟวิลแมน รู้สึกว่าเชฟอาร์ตจะอายุเยอะที่สุด ส่วนเชฟอ้อยอายุเยอะสุดในบรรดาผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งทั้งคู่อายุห่างจากเราไม่มาก เชฟอาร์ตน่าจะเป็นพี่เรา 2 ปี ส่วนเชฟอ้อย 7-8ปี สำหรับอายุเชฟอ้อยฝรั่งจะถือว่า mid 40s ไม่ใช่วัยแก่เฒ่าอะไรเลยแต่เป็นวัยกำลังมันส์กับการทำงาน ถ้าย้อนไปสมัยเชฟอาร์ตกับเชฟอ้อยเป็นวัยรุ่น ผู้ชายต้องพยายามเอนท์เข้าหมอ ผู้หญิงต้องเรียนบัญชี ถ้าจะไปอาชีวะสายคหกรรมก็ได้ แต่พ่อแม่ก็มักจะมองอะไรไม่ออกว่าจะไปทำอะไรกินเป็นชิ้นเป็นอัน ผู้เข้าแข่งขันและกรรมการท่านอื่นก็อายุ 30 กลางๆกว่าๆ ซึ่งก็อยู่ในยุคนิยมไม่แพ้กัน ต้องไปเรียนติวสยามเพื่อสอบเข้า หมอ วิศวะ ฐาปัตย์ อักษร อะไรก็ว่ากันไป จะมาเป็นเชฟทำอาหารหน้ามัน พ่อแม่ของคนรุ่นนั้นมองยังไงก็มองไม่ออก แต่ทั้งเชฟและทั้งผู้เข้าแข่งขันแสดงให้เราเห็นว่าการทำอาหารระดับนี้ไม่ใช่แค่อยู่หน้าเตา เช้าผัดเย็นทอด ไหนจะต้องคำนวนต้นทุน ต้องบริหารจัดการงานในครัว กว่าทั้งกรรมการทั้งผู้เข้าแข่งขันจะมาอยู่ตรงนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
และรายการก็ไม่นำเสนอแง่มุมดราม่า แต่ให้ทั้งกรรมการและผู้เข้าแข่งขันแสดงออกฝีมือออกมาล้วนๆ ขายความสามารถให้สมกับที่เป็นเชฟระดับต้นๆ เด็กรุ่นใหม่รุ่นอายุ25ลงมา เริ่มโตมากับการเห็น celebrity chefs มากมายแล้ว ความคุ้นชินกับอาชีพนี้ก็มีมากขึ้นก็อาจจะมองว่านี่เป็นรายการแข่งทำอาหารธรรมดา สำหรับเราซึ่งอายุปลาย30 มองว่าการที่ทุกคนมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เราจึงชอบที่รายการนำเสนอความจริงของการเข้าครัวและอาชีพเชฟมากกว่าจะขายดราม่าเหมือนรายการอื่น
ถ้าใครเคยดูรายการทำอาหารของต่างประเทศ เวลาสัมภาษณ์ผู้เข้าแข่งขันจะดราม่าและ competitive มาก แบบ "ผมมาเพื่อชนะ ผมนี่แหละคือtop chef" แม้แต่รายการประกวดร้องเพลงบ้านเราเดี๋ยวนี้ก็ไม่เน่นขายอะไรนอกจากดราม่ากับพยายามดันให้ผู้เข้าแข่งขันพูดจาaggressive ซึ่งเราจะไม่เห็นความอยากชนะจนเกินงามในผู้เข้าแข่งขันในรายการนี้ มีบรรยากาศการคุยโวของเชฟต้นบ้าง ระหว่างการแข่งขันมีคุยอวดข้ามกันไปมาบ้าง แต่บรรยากาศคุมโทนแบบไทยๆไว้ เวลาแพ้ต้องออกจากการแข่งขันทุกคนก็ยอมรับและเดินออกจากรายการด้วยความสง่างามออกไป ไม่ได้ร้องไห้ ตีหน้าเศร้า ไม่เลียนแบบรายการของต่างประเทศมากจนเกินไป ตรงนี้แหละที่ทำให้เรารักรายการนี้ อยากดูซีซั่น 2แล้ว คิดถึงเชฟวิลแมนมากกกกกกกกกกก อิอิ
ไปคนเดียวไปได้ไว ไปหลายคนไปได้ไกล เชฟตามพิสูจน์แล้วว่าจริง ควรค่ากับตำแหน่ง Top Chef Thailand
ไปหลายคนไปได้ไกล" เป็นจริงที่สุดเพราะคอร์สที่สามของทุกคนมีข้อกังขาเหมือนกันทั้งคู่ นอกนั้นสูสีและดีงาม ดังนั้นก็ต้องตัดสินกันด้วย kitchen performance และการจัดการในครัวที่ถือเป็นอีกหนึ่งความสำคัญของการเป็นเชฟที่ต้องดีพอๆกับเมนูและรสชาติ
เชฟเมย์เป็นเชฟเจ้าของร้าน ลูกทีมของเชฟเมย์ทุกคนเป็นหมายเลขหนึ่งหมด การบริหารงานกับคนที่ทุกคนก็รู้ว่าตัวเองมีดี ตัวเองเป็นที่สุด เป็นเรื่องยาก ตัวเชฟเมย์เองก็เคยมีข้อขัดใจกับเชฟโฟล์คเนื่องจากเชฟโฟล์คเป็นคนไม่มีการจัดการที่ดี เชฟอ้อยเองก็เคยแสดงให้เราเห็นว่าเป็นผู้ใหญ่ไม่เปิดใจ ใครเด็กกว่าคือด้อย ดราม่าออกตอนที่เชฟอ้อยหายไป ในขณะที่เชฟตามเป็นรองหัวหน้าเชฟ เชฟตามคุ้นเคยกับการได้รับคำสั่ง ดังนั้นเชฟตามจะรู้ว่ากริยาการสั่งแบบไหนลูกทีมรับได้ เร่งงานแบบไหนลูกทีมรับไม่ได้เพราะตัวเองคุ้นชินกับการเป็นลูกทีมดี จึงรู้ว่าทัศนคติแบบไหนแสดงออกแล้วทีมหยุด แบบไหนทีมเดิน และการสื่อสารตลอดเป็นสิ่งสำคัญ ต่างกับตอนที่เชฟเมย์ลงมือทำทาร์ตเองทั้งๆที่มอบหมายให้เชฟอ้อยแล้ว ตัวเชฟอ้อยเองก็ถือว่าตัวเองเจ๋งอยู่แล้ว มาเจอแบบนี้บรรยากาศก็มาคุสิ ส่วนเชฟต้นที่ใครๆก็มองว่าเป็นจอมโว ไม่นิ่ง เชฟตามเาไม่อยู่แน่ แต่เราเห็นตั้งแต่ตอนที่เชฟต้นได้คู่กับเชฟอ้อยในเทปแรกๆแล้ว เชฟต้นยอมรับเชฟอ้อย เข้าใจดีว่าตัวเองไม่ถนัดอาหารไทย ยกให้เชฟอ้อยเป็นผู้นำส่วนตัวเองเป็นผู้ช่วย ถึงจะดูอีโก้แรงแต่ก็รู้จักกลไกของการทำงานดี มาร่วมงานกับเชฟตามก็มีการยอมรับในตัวหัวหน้าทีม และการบริหารรวมทั้งการสื่อสารของเชฟตามดีมาก ใช้คำพูดและน้ำเสียงที่ดีตลอด ใครก็อยากทำงานให้ ในขณะที่เชฟเมย์พอเครียดก็มีเสียงแข็งเป็นระยะๆ
ตรงนี้แหละที่เชฟตามเฉือนเชฟเมย์ไปได้ ถ้ามองที่จานอาหารอาจดูว่าสูสี แต่มองที่การบริหารงานครัวเชฟตามกินขาดเลย ไม่แปลกใจที่ได้ตำแหน่ง Top Chef คนแรกของประเทศไทยทั้งที่เป็นผู้เข้าแข่งขันที่อายุน้อยที่สุด
....................
กลับมาดูกระทู้อีกทีได้ขึ้นแนะนำด้วย เขินนนนน
สิ่งที่เราชอบมากๆๆๆๆของรายการนี้ คือประสบการณ์ชีวิตของกรรมการและผู้เข้าแข่งขัน คณะกรรมการถ้าไม่นับเชฟวิลแมน รู้สึกว่าเชฟอาร์ตจะอายุเยอะที่สุด ส่วนเชฟอ้อยอายุเยอะสุดในบรรดาผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งทั้งคู่อายุห่างจากเราไม่มาก เชฟอาร์ตน่าจะเป็นพี่เรา 2 ปี ส่วนเชฟอ้อย 7-8ปี สำหรับอายุเชฟอ้อยฝรั่งจะถือว่า mid 40s ไม่ใช่วัยแก่เฒ่าอะไรเลยแต่เป็นวัยกำลังมันส์กับการทำงาน ถ้าย้อนไปสมัยเชฟอาร์ตกับเชฟอ้อยเป็นวัยรุ่น ผู้ชายต้องพยายามเอนท์เข้าหมอ ผู้หญิงต้องเรียนบัญชี ถ้าจะไปอาชีวะสายคหกรรมก็ได้ แต่พ่อแม่ก็มักจะมองอะไรไม่ออกว่าจะไปทำอะไรกินเป็นชิ้นเป็นอัน ผู้เข้าแข่งขันและกรรมการท่านอื่นก็อายุ 30 กลางๆกว่าๆ ซึ่งก็อยู่ในยุคนิยมไม่แพ้กัน ต้องไปเรียนติวสยามเพื่อสอบเข้า หมอ วิศวะ ฐาปัตย์ อักษร อะไรก็ว่ากันไป จะมาเป็นเชฟทำอาหารหน้ามัน พ่อแม่ของคนรุ่นนั้นมองยังไงก็มองไม่ออก แต่ทั้งเชฟและทั้งผู้เข้าแข่งขันแสดงให้เราเห็นว่าการทำอาหารระดับนี้ไม่ใช่แค่อยู่หน้าเตา เช้าผัดเย็นทอด ไหนจะต้องคำนวนต้นทุน ต้องบริหารจัดการงานในครัว กว่าทั้งกรรมการทั้งผู้เข้าแข่งขันจะมาอยู่ตรงนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
และรายการก็ไม่นำเสนอแง่มุมดราม่า แต่ให้ทั้งกรรมการและผู้เข้าแข่งขันแสดงออกฝีมือออกมาล้วนๆ ขายความสามารถให้สมกับที่เป็นเชฟระดับต้นๆ เด็กรุ่นใหม่รุ่นอายุ25ลงมา เริ่มโตมากับการเห็น celebrity chefs มากมายแล้ว ความคุ้นชินกับอาชีพนี้ก็มีมากขึ้นก็อาจจะมองว่านี่เป็นรายการแข่งทำอาหารธรรมดา สำหรับเราซึ่งอายุปลาย30 มองว่าการที่ทุกคนมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เราจึงชอบที่รายการนำเสนอความจริงของการเข้าครัวและอาชีพเชฟมากกว่าจะขายดราม่าเหมือนรายการอื่น
ถ้าใครเคยดูรายการทำอาหารของต่างประเทศ เวลาสัมภาษณ์ผู้เข้าแข่งขันจะดราม่าและ competitive มาก แบบ "ผมมาเพื่อชนะ ผมนี่แหละคือtop chef" แม้แต่รายการประกวดร้องเพลงบ้านเราเดี๋ยวนี้ก็ไม่เน่นขายอะไรนอกจากดราม่ากับพยายามดันให้ผู้เข้าแข่งขันพูดจาaggressive ซึ่งเราจะไม่เห็นความอยากชนะจนเกินงามในผู้เข้าแข่งขันในรายการนี้ มีบรรยากาศการคุยโวของเชฟต้นบ้าง ระหว่างการแข่งขันมีคุยอวดข้ามกันไปมาบ้าง แต่บรรยากาศคุมโทนแบบไทยๆไว้ เวลาแพ้ต้องออกจากการแข่งขันทุกคนก็ยอมรับและเดินออกจากรายการด้วยความสง่างามออกไป ไม่ได้ร้องไห้ ตีหน้าเศร้า ไม่เลียนแบบรายการของต่างประเทศมากจนเกินไป ตรงนี้แหละที่ทำให้เรารักรายการนี้ อยากดูซีซั่น 2แล้ว คิดถึงเชฟวิลแมนมากกกกกกกกกกก อิอิ