นี่เป็นกระทู้แรกของดิฉันนะคะ อยากจะเล่าเรื่องระบายความที่เก็บไว้นานมาก แต่ยังหาทางออกไม่ได้ค่ะ (ยาวมากๆๆนะคะ)
ขอเริ่มเลยนะคะ ช่วงตอนเด็กๆ ประมาณ ม.1 ดิฉันอาศัยอยู่ต่างจังหวัดทั่วไป กับพ่อแม่ พี่สาวและน้องชาย จนวันหนึ่งดิฉันและครอบครัว ออกไปกินข้าวเย็นกัน ระหว่างกินข้าวก็คุยกันไป จนคุณแม่ดิฉันอยู่ๆ ก็พูดว่า "เบื่อพ่อแกที่มีเมียน้อย" ตอนนั้นทุกคนก็เข้าใจว่าพูดเล่น คุณแม่เลยหันมาถามดิฉันว่า "ให้ทายว่าเมียน้อยคนนั้น ชื่ออะไร" ดิฉันก็ตอบไปว่า "น้องกุ้ง น้องมะนาว" แล้วทุกคนก็ขำขันกันไป ซึ่งตอนนั้นดิฉันเข้าใจว่าคุณแม่คงพูดเล่นเพราะคุณแม่เป็นคนชอบพูดเล่นอยู่แล้ว
ทุกอย่างก็ปกติดี ต่อมาคุณแม่ดิฉันได้รู้จักเพื่อนเค้าคนหนึ่ง ชื่อ A โดย A เป็นเพื่อนสมัยมัธยมค่ะ ก็เหมือนทั่วไป คือ เพื่อนเก่าไม่ได้เจอกันเกือบ 15 ปี ซึ่ง A เป็นผู้หญิงที่รวยมาก ตอนนั้น A มีธุรกิจย่อยหลายอย่างมาก ประกอบช่วงนั้นคุณพ่อตกงานอยู่ค่ะ ซึ่งหลังจากที่ท่านลาออกจากบริษัทที่มั่นคงมากๆออกมา ก็อยู่ไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง ร่อนเร่หางาน บางงานอยู่นานหน่อยก็ 2 ปี บางงานก็แค่ 6 เดือนค่ะ เทียวไปเทียวมาระหว่าง กทม. กับจังหวัดที่ดิฉันอยู่ แต่กลับมานอนบ้านทุกวันนะคะ ด้วยความที่แม่กับ A กลับมาสนิทกัน A เลยเสนอว่า จะให้คุณพ่อ คุณแม่และ A เปิดห้างหุ้นส่วนจำกัดร่วมกันค่ะ ธุรกิจก็ค่อนข้างไปได้ด้วยดี
ต่อมา A ก็เสนอว่า จะให้ ตัวดิฉัน และพี่สาว ไปเรียนอยู่กรุงเทพ ซึ่ง A เลยช่วยเหลือตรงนี้ให้ค่ะ เพราะรู้จักกับทางโรงเรียนนี้เป็นอย่างดี (นามสกุล A เป็นนามสกุลดังด้วย) เราสองพี่น้องเลยต้องย้ายเข้ามาและอยู่ในบ้านพักที่ A เคยอยู่ค่ะ คุณแม่และน้องชายก็อยู่ ตจว. เหมือนเดิม ส่วนคุณพ่อนั้น A จะให้ช่วยเรื่องธุระของบริษัท ซึ่งหากต้องเข้ามากรุงเทพ ก็จะมานอนบ้านที่ดิฉันกับพี่สาวอยู่ และถ้าต้องทำที่ ตจว. ก็จะนอนกับแม่ แต่ดิฉันไม่เคยโทรเช็คกับคุณแม่นะคะ ว่าคุณพ่อนอนไหน เพราะทั้งดิฉันและคุณแม่จะเข้าใจว่า ถ้าไม่ได้นอนที่บ้านใดบ้านหนึ่ง แสดงว่านอนอีกบ้าน ซึ่งในช่วงนี้เนื่องจากคุณพ่อต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างสองจังหวัด ก็ได้งานที่เป็น freelance ตามโรงงาน ทำให้มีรายได้มาจุนเจือครอบครัวร่วมด้วย นอกจากนี้ นานๆครั้ง คุณแม่จะเข้ามากับ A และพาพวกเราสองพี่สอง รวมถึงน้องชายและคุณพ่อทานอาหารด้วยกันค่ะ ประมาณ 2-3 เดือน/ครั้ง
4 ปี ต่อมา เป็นช่วงที่ดิฉัน อยู่ ม.6 จู่ๆวันหนึ่ง คุณแม่โทรมาหาดิฉันหลังเลิกเรียนแล้วร้องไห้ พูดไม่รู้เรื่อง พอดิฉันโทรกลับคุณแม่ก็ไม่รับ ประกอบกับช่วงนั้นเป็นวันเสาร์ ดิฉันจึงตัดสินใจกลับบ้าน (พี่สาวไม่ได้กลับเพราะติดงานที่มหาวิทยาลัยค่ะ) พอกลับไปถึง คุณแม่ไม่ได้ร้องไห้แล้ว แต่บ่นว่า คุณพ่อ ควงผู้หญิง สีผิวคล้ำ ไปที่โรงงาน ซึ่งที่โรงงานนั้น มีลูกน้องคุณ A มาบอกคุณ A แล้วคุณ A ก็บอกคุณแม่อีกทีค่ะ ซึ่งตอนนั้นดิฉันก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง แต่ก็ไม่กล้าพูด เพราะพูดว่า คุณ A พูดไม่จริงก็เหมือนใส่ร้ายเค้า และถ้าพูดว่าจริง คุณแม่ก็เสียใจค่ะ ตอนนั้น ดิฉันยอมรับตรงๆเลยว่า ดิฉันค่อนข้างไม่เชื่อคุณแม่ค่ะ เพราะคุณพ่อนั้นดิฉันคิดว่าท่านดีเสมอมา ซึ่งในตอนเด็กดิฉันจะถูกแม่ตีบ่อยๆค่ะ และคนปลอบจะเป็นคุณพ่อ บ่อยครั้งแม้ว่าคุณแม่จะทำโทษดิฉัน แต่ดิฉันกับคุณแม่กลับสนิทกันมาก คุณแม่เป็นคนชอบทำอาหาร บางทีคุณแม่อยากทำขนม คุณ A ก็ไปยืมเตามาให้ค่ะ คุณแม่ชอบสีแดง ท่านเลยซื้อรถสีแดงและฝึกขับค่ะ ตอนนั้น ดิฉันรู้สึกว่า มันเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่มีความสุขมากๆ แม้ว่าดิฉันจะไม่ได้อยู่พร้อมกันทั้งครอบครัวเหมือนเมื่อก่อน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ธุรกิจของคุณแม่ คุณ A และคุณพ่อไปได้สวย คุณแม่ออกงานบ่อยมากที่ศูนย์สิริกิตติ์บ้าง เมืองทองธานีบ้าง ทุกครั้งที่คุณแม่มา จะพาดิฉันและพี่สาวไปทานอาหารด้วยเสมอค่ะ และพี่สาวก็ซื้อชิวาว่าให้คุณแม่ไปเลี้ยงด้วยค่ะ คุณแม่รักสุนัขตัวนี้มาก
หนึ่งปีผ่านไป รอยยิ้มดิฉันก็ต้องจางลง คุณแม่โทรมาหาดิฉัน และร้องไห้อีกครั้ง บอกว่า คุณ A หายตัวไป ไม่รับโทรศัพท์ คุณแม่เครียดมาก ดิฉันก็คุยปลอบคุณแม่ได้ซักพักหนึ่ง คุณแม่ก็บอกว่า ให้ดิฉันกลับไปอ่านหนังสือค่ะ ช่วงนั้นดิฉันเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยได้ และต้องย้ายออกจากบ้านที่อยู่กับพี่สาว มาอยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัยค่ะ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ ดิฉันจะไปนอนบ้านกับพี่สาวค่ะ ทุกวันดิฉันจะคอยถามไถ่กับคุณแม่ถึงเรื่องคุณ A คุณแม่ก็เครียดอยู๋ประมาณ 4-5 เดือน จนมาวันนึงที่คุณแม่ต้องมาออกบูธที่ ตจว. แต่น้องชายอยู่บ้าน คุณ A พาผู้ชายหลายคนเข้ามาในบ้านคุณแม่ค่ะ แล้วเอาทรัพย์สินรวมทั้งโฉนดที่ดินของบ้านที่ดิฉันอยู่ใน ตจว. ไปขายทอดตลาด (ได้ทรัพย์สินกับเงินสดไปร่วม 4 ล้านค่ะ) คุณแม่รู้เรื่องเพราะน้องชายโทรบอก จึงรีบกลับไป แต่พอกลับไปแล้ว พวกทรัพย์สินในห้องนอนของคุณแม่นั้น หายไปเยอะค่ะ แต่ที่ทางบ้านดิฉันไปฟ้อง แจ้งคุณ A ก็เพราะว่า คุณแม่นั้นยังเห็นคุณ A เป็นเพื่อนเสมอ จากนั้นมา คุณแม่ก็เครียดทุกวัน เพราะกลัวบ้านที่โดนขายทอดตลาดจะถูกยึด บริษัทก็ต้องดู และยังคงพยายามติดต่อคุณ A
ปีครึงต่อมา รอยยิ้มก็ต้องหายไปจากใบหน้าดิฉันจนสมบูรณ์ ตอนนั้นดิฉันอ่านหนังสือเตรียมสอบกลางภาคอยู่ จู่ๆ พี่สาวโทรมาหาค่ะ ว่า คุณแม่ป่วยเข้าโรงพยาบาลไม่ได้สติ เพราะหลอดเลือดในสมองแตก วันนั้นดิฉันร้องไห้ทั้งวันค่ะ จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ เพราะสอบพรุ่งนี้และพี่สาวก็บอกว่าจะดูแลให้ จากนั้นอีกประมาณ 24 ชั่วโมง คุณแม่ก็ได้แอดมิดฉุกเฉินที่ รพ. ติดแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อผ่าตัดสมองค่ะ ตอนนั้นจำได้ว่า สัปดาห์สอบกลางภาคนั้น ทุกวันดิฉัน ก็จะไปเยี่ยมคุณแม่และอ่านหนังสือข้างเตียงท่านค่ะ ช่วงนั้นคุณแม่ยังใส่เครื่องช่วยหายใจ แต่ไปเยี่ยมแล้วก็ยังรู้สึกดี ยิ้มได้ อยากให้ทำอะไร ก็จะเขียนในกระดาษค่ะ จนมาวันหนึ่ง คุณแม่เกิดภาวะแทรกซ้อนค่ะ ทำให้ต้องเป็นอัมพาต และพูดไม่ได้ หลังจากรักษาตัวได้ระยะหนึ่ง ก็ต้องย้ายมา รพ. จังหวัดเดิม เพราะสู้ราคาไม่ไหวค่ะ จากนั้นพอทุกอย่างคงที่แล้ว ก็ต้องรับคุณแม่กลับมาดูแลที่บ้านค่ะ ช่วงนั้นพี่สาวเพิ่งได้งานอยู่ที่ กทม. ด้วยค่ะ น้องชายซึ่งยังเรียนอยู่ ม.ปลายและคุณพ่อจึงเป็นคนดูแลหลัก ส่วนดิฉันจะกลับไปหาท่านช่วงสุดสัปดาห์ค่ะ เพราะคณะที่ดิฉันเรียน ปี 1 ปีสุดท้าย ตารางเต็มแน่นค่ะ และสอบบ่อยมากๆ คือ เกือบทุก 2 สัปดาห์ ด้วยความที่คุณแม่ป่วย คุณพ่อจึงต้องปิดบริษัทและปลดพนักงาน ร่วมถึงจ่ายค่าชดเชยบางส่วนให้ค่ะ ทำให้คุณพ่อต้องจ้างคนมาช่วยน้องชายดูแลคุณแม่ ส่วนตัวเองก็วิ่งหางานเหมือนเดิมค่ะ
3 ปีต่อมา เป็นช่วงที่ดิฉันเรียนปีสุดท้ายและเป็นช่วงที่เฟสบุ๊คมีการใช้กันอย่างแพร่หลายมาก ดิฉันเข้าไปปรึกษากับอาจารย์ที่สนิทในคณะ ท่านเห็นว่าดิฉันเรียนเก่ง จึงแนะนำทุนการศึกษาและแนะนำให้เรียนต่อ ป. โท ดิฉันก็ตอบตกลง เพราะอยากเป็นอาจาารย์ในมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ช่วงนั้นดิฉัน เตรียมทำงาน final project เครียดมากและนอนกัดฟันบ่อย ช่วงที่กลับไปบ้านเสาร์-อาทิตย์ จึงกะว่าจะไปหาหมอฟันค่ะ เพราะว่าถูกกว่าใน กทม. มาก จึงขอให้คุณป้าที่เป็นพี่สาวคุณแม่แนะนำค่ะ ระหว่างนั่งรถไป จู่ๆคุณป้าก็บอกดิฉันว่า รู้มั้ยว่า "พ่อแกอะมีเมียน้อย" ตอนนั้นก็ตกใจ เพราะว่าบ้านเราก็แย่อยู่แล้ว ทุกวันนี้ใช้จ่ายเดือนชนเดือน และยังต้องผ่อนหนี้บ้านอีก (ที่เกิดจาก A) ตอนนั้นเลยถามคุณป้าว่า "ทำไมถึงคิดแบบนั้น" คุณป้าก็เสริมว่า "ที่รู้ก็เพราะว่า พ่อแกเอารถแม่แกไปให้มันขับนั่นแหละ และชั้นก็ขับตามไปจนรู้ว่าบ้านมันอยู่ที่.....(จังหวัดเดียวกัน แต่อีกตำบล)" ตอนนั้นหูดิฉัน ไม่ได้ยินอะไรเลย ได้แต่พยักหน้า และหลังจากทำฟันเสร็จ ดิฉัน ไม่ได้สังเกตค่ะ ว่า รถคุณแม่บางทีหายไปไหน เคยถามคุณพ่อ ท่านบอกให้น้องชายของคุณแม่ยืมค่ะ จากนั้นดันจึงกลับ กทม. ก่อน โดยไม่รอให้คุณพ่อกลับจากธุระค่ะ
ต่อมา เป็นช่วงที่ดิฉันเรียนปริญญาโท ซึ่งตอนนั้นก็รับงานพาร์ทไทม์บางเวลาไปด้วยค่ะ ทำให้กลับบ้านบ่อยครั้งลดลง แต่ดิฉัน คุณพ่อ พี่สาวและน้องชาย ก็เล่นเฟสบุ๊คและอัพรูปขึ้นกัน ทำให้เห็นช่วงที่คุณแม่ น้องชายและคนดูแลพาคุณแม่ไปฝึกกายภาพและฝึกพูดบ้าง พอให้หายคิดถึงกันบ้างค่ะ ทุกครั้งที่ดิฉันกลับไปจะช่วยทำกายภาพให้คุณแม่ แต่คนดูแล คุณพ่อและน้องชายจะมาช่วยบ้างแต่ไม่เป็นตัวหลัก จนเวลาล่วงไปไปปีครึ่ง คุณแม่ก็ยังเป็นอัมพาต ส่วนดิฉันก็ต้องทำวิทยานิพนธ์ กว่าจะทำงานเสร็จเกือบเที่ยงคืน เป็นแบบนี้เกือบ 5 เดือนค่ะ ดิฉันก็โทรหาพี่สาวบ้างค่ะ ทำให้พอทราบเรื่องว่า พี่สาวมีปัญหากับคุณป้า เนื่องจากคุณป้านั้น เห็นว่า พี่สาวไม่มาดูแลแม่บ้างช่วงสุดสัปดาห์ จึงยิ่งทำให้พี่สาว ไม่ค่อยกลับบ้านค่ะ จะกลับช่วง สงกรานต์และปีใหม่เท่านั้น ตอนนั้นน้องชายก็จะเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย และคนดูแลแม่กำลังจะลาออกค่ะ ทำให้ตอนนั้นดิฉันคิดว่า เหมือนกับครอบครัวแยกกันไปคนละทางมากๆ แต่ส่วนตัวดิฉันสามารถคุยกับทุกคนได้เหมือนเดิมค่ะ แต่ทุกคนที่ดิฉันคุยนั้น เค้าไม่คุยกันเอง
ช่วงที่เหลือเฉพาะรูปเล่มวิทยานิพนธ์ เป็นช่วงที่ดิฉันเริ่มกลับมากลับบ้านอีกครั้ง คุณพ่อก็นัดรวมญาติฝั่งคุณพ่อที่ ตจว. ค่ะ วันนั้นเราก็คุยกัน มีญาติคนหนึ่งเป็นคุณหมอทางระบบประสาทค่ะ ดิฉันเลยไปปรึกษาเรื่องคุณแม่ คุณหมอบอกว่า โอกาสจะยิ่งน้อยลง ถ้าอายุมากขึ้น แต่คุณหมอก็พูดตามตรงว่า กรณีคุณแม่อาจจะยากมาก ถ้าไม่ทำกายภาพบ่อยๆ ดิฉันจึงกลับมาชวนน้องชายกับกายภาพคุณแม่ทุกครั้งที่กลับบ้านอีกค่ะ แต่จะลำบากท่ายืนหน่อย เพราะว่าสองคนช่วยกันไม่ค่อยไหว คุณแม่น้ำหนักมาก ช่วงนั้นคุณแม่จะทานยาหลายตัวค่ะ แต่คุณพ่อก็จะมีพวกวิตามินเสริมบ้าง จนวันหนึ่ง คุณพ่อแนะนำอาหารเสริมตัวหนึ่งค่ะ คุณพ่อบอกเพื่อนแนะนำมา เป็นแคปซูลสีน้ำตาล ใหญ่มาก และอีกอันเป็นสีเขียว ดิฉันซึ่งพอมีความรู้พวกนี้อยู่บ้างว่า มันไม่ปลอดภัย ก็ห้ามปราม แต่คุณพ่อก็ยังจะยืนยันเอาให้คุณแม่กินค่ะบอกว่า เพื่อนแนะนำมา ดิฉันก็ได้แต่ทำใจ คิดว่าเราห้ามเค้าวันนี้ ตอนเราไม่อยู่เค้าก็เอาให้กินอีกอยู่ดี ดิฉันเลยเดินออกมาเห็นหีบต่อพัสดุ ซึ่งเป็นยี่ห้อเดียวกับอาหารเสริมนี้ มีชื่อผู้ส่งเป็นผู้หญิง และอยู่ในจังหวัดเดียวกันด้วย จึงถามคุณพ่อว่า คนนี้เพื่อนคุณพ่อเหรอคะ? คุณพ่อก็ตอบว่า ใช่ และอีกวันที่อยู่ก็ถามคุณพ่อเรื่องรถคุณแม่ คุณพ่อก็บอกว่า คนรู้จักอีกคนยืมไป พอดิฉันถามว่า คุณน้าหรือเปล่า ท่านก็บ่ายเบี่ยงและเดินไปดูทีวีค่ะ ช่วงที่ดิฉัน เทียวไปเทียวมา คุณพ่อ พอเริ่มมีเงิน ก็มีทีวี สมาร์ทโฟนใหม่ๆ ไอแพดและพวกข้างใช้แปลกๆ พี่สาวและดิฉัน ก็บ่นคุณพ่อว่าซื้อมาทำไม ท่านก็ไม่ฟังค่ะ โทรศัพท์ออกใหม่ก็ซื้อ แต่ไอโฟนรุ่นล่าสุดที่ท่านซื้อมา คือ 6 Plus ค่ะ เป็นสีชมพู และตอนนั่งอยู่ในรถ บางครั้งโทรศัพท์โทรเข้ามาคุณพ่อ จะคุยเหมือนคุยกับผู้ชาย แต่เสียงมันดังออกข้างเป็นเสียงผู้หญิง ทำให้ดิฉันแอบสงสัยมากขึ้น จากที่มันค่อนข้างจะแน่นอนมามากแล้ว แต่ใจก็ไม่อยากคิดอะไร เพราะหลายๆเรื่องก็เครียดมากพอแล้วค่ะ
ต่อในความเห็นที่ 1 อีกนิดนึงค่ะ.....
ขอแท็กสุขภาพจิตด้วยนะคะ
ขอคำปรึกษาค่ะ เรื่อง คุณพ่อมีบ้านเล็กบ้านน้อย
ขอเริ่มเลยนะคะ ช่วงตอนเด็กๆ ประมาณ ม.1 ดิฉันอาศัยอยู่ต่างจังหวัดทั่วไป กับพ่อแม่ พี่สาวและน้องชาย จนวันหนึ่งดิฉันและครอบครัว ออกไปกินข้าวเย็นกัน ระหว่างกินข้าวก็คุยกันไป จนคุณแม่ดิฉันอยู่ๆ ก็พูดว่า "เบื่อพ่อแกที่มีเมียน้อย" ตอนนั้นทุกคนก็เข้าใจว่าพูดเล่น คุณแม่เลยหันมาถามดิฉันว่า "ให้ทายว่าเมียน้อยคนนั้น ชื่ออะไร" ดิฉันก็ตอบไปว่า "น้องกุ้ง น้องมะนาว" แล้วทุกคนก็ขำขันกันไป ซึ่งตอนนั้นดิฉันเข้าใจว่าคุณแม่คงพูดเล่นเพราะคุณแม่เป็นคนชอบพูดเล่นอยู่แล้ว
ทุกอย่างก็ปกติดี ต่อมาคุณแม่ดิฉันได้รู้จักเพื่อนเค้าคนหนึ่ง ชื่อ A โดย A เป็นเพื่อนสมัยมัธยมค่ะ ก็เหมือนทั่วไป คือ เพื่อนเก่าไม่ได้เจอกันเกือบ 15 ปี ซึ่ง A เป็นผู้หญิงที่รวยมาก ตอนนั้น A มีธุรกิจย่อยหลายอย่างมาก ประกอบช่วงนั้นคุณพ่อตกงานอยู่ค่ะ ซึ่งหลังจากที่ท่านลาออกจากบริษัทที่มั่นคงมากๆออกมา ก็อยู่ไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง ร่อนเร่หางาน บางงานอยู่นานหน่อยก็ 2 ปี บางงานก็แค่ 6 เดือนค่ะ เทียวไปเทียวมาระหว่าง กทม. กับจังหวัดที่ดิฉันอยู่ แต่กลับมานอนบ้านทุกวันนะคะ ด้วยความที่แม่กับ A กลับมาสนิทกัน A เลยเสนอว่า จะให้คุณพ่อ คุณแม่และ A เปิดห้างหุ้นส่วนจำกัดร่วมกันค่ะ ธุรกิจก็ค่อนข้างไปได้ด้วยดี
ต่อมา A ก็เสนอว่า จะให้ ตัวดิฉัน และพี่สาว ไปเรียนอยู่กรุงเทพ ซึ่ง A เลยช่วยเหลือตรงนี้ให้ค่ะ เพราะรู้จักกับทางโรงเรียนนี้เป็นอย่างดี (นามสกุล A เป็นนามสกุลดังด้วย) เราสองพี่น้องเลยต้องย้ายเข้ามาและอยู่ในบ้านพักที่ A เคยอยู่ค่ะ คุณแม่และน้องชายก็อยู่ ตจว. เหมือนเดิม ส่วนคุณพ่อนั้น A จะให้ช่วยเรื่องธุระของบริษัท ซึ่งหากต้องเข้ามากรุงเทพ ก็จะมานอนบ้านที่ดิฉันกับพี่สาวอยู่ และถ้าต้องทำที่ ตจว. ก็จะนอนกับแม่ แต่ดิฉันไม่เคยโทรเช็คกับคุณแม่นะคะ ว่าคุณพ่อนอนไหน เพราะทั้งดิฉันและคุณแม่จะเข้าใจว่า ถ้าไม่ได้นอนที่บ้านใดบ้านหนึ่ง แสดงว่านอนอีกบ้าน ซึ่งในช่วงนี้เนื่องจากคุณพ่อต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างสองจังหวัด ก็ได้งานที่เป็น freelance ตามโรงงาน ทำให้มีรายได้มาจุนเจือครอบครัวร่วมด้วย นอกจากนี้ นานๆครั้ง คุณแม่จะเข้ามากับ A และพาพวกเราสองพี่สอง รวมถึงน้องชายและคุณพ่อทานอาหารด้วยกันค่ะ ประมาณ 2-3 เดือน/ครั้ง
4 ปี ต่อมา เป็นช่วงที่ดิฉัน อยู่ ม.6 จู่ๆวันหนึ่ง คุณแม่โทรมาหาดิฉันหลังเลิกเรียนแล้วร้องไห้ พูดไม่รู้เรื่อง พอดิฉันโทรกลับคุณแม่ก็ไม่รับ ประกอบกับช่วงนั้นเป็นวันเสาร์ ดิฉันจึงตัดสินใจกลับบ้าน (พี่สาวไม่ได้กลับเพราะติดงานที่มหาวิทยาลัยค่ะ) พอกลับไปถึง คุณแม่ไม่ได้ร้องไห้แล้ว แต่บ่นว่า คุณพ่อ ควงผู้หญิง สีผิวคล้ำ ไปที่โรงงาน ซึ่งที่โรงงานนั้น มีลูกน้องคุณ A มาบอกคุณ A แล้วคุณ A ก็บอกคุณแม่อีกทีค่ะ ซึ่งตอนนั้นดิฉันก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง แต่ก็ไม่กล้าพูด เพราะพูดว่า คุณ A พูดไม่จริงก็เหมือนใส่ร้ายเค้า และถ้าพูดว่าจริง คุณแม่ก็เสียใจค่ะ ตอนนั้น ดิฉันยอมรับตรงๆเลยว่า ดิฉันค่อนข้างไม่เชื่อคุณแม่ค่ะ เพราะคุณพ่อนั้นดิฉันคิดว่าท่านดีเสมอมา ซึ่งในตอนเด็กดิฉันจะถูกแม่ตีบ่อยๆค่ะ และคนปลอบจะเป็นคุณพ่อ บ่อยครั้งแม้ว่าคุณแม่จะทำโทษดิฉัน แต่ดิฉันกับคุณแม่กลับสนิทกันมาก คุณแม่เป็นคนชอบทำอาหาร บางทีคุณแม่อยากทำขนม คุณ A ก็ไปยืมเตามาให้ค่ะ คุณแม่ชอบสีแดง ท่านเลยซื้อรถสีแดงและฝึกขับค่ะ ตอนนั้น ดิฉันรู้สึกว่า มันเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่มีความสุขมากๆ แม้ว่าดิฉันจะไม่ได้อยู่พร้อมกันทั้งครอบครัวเหมือนเมื่อก่อน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ธุรกิจของคุณแม่ คุณ A และคุณพ่อไปได้สวย คุณแม่ออกงานบ่อยมากที่ศูนย์สิริกิตติ์บ้าง เมืองทองธานีบ้าง ทุกครั้งที่คุณแม่มา จะพาดิฉันและพี่สาวไปทานอาหารด้วยเสมอค่ะ และพี่สาวก็ซื้อชิวาว่าให้คุณแม่ไปเลี้ยงด้วยค่ะ คุณแม่รักสุนัขตัวนี้มาก
หนึ่งปีผ่านไป รอยยิ้มดิฉันก็ต้องจางลง คุณแม่โทรมาหาดิฉัน และร้องไห้อีกครั้ง บอกว่า คุณ A หายตัวไป ไม่รับโทรศัพท์ คุณแม่เครียดมาก ดิฉันก็คุยปลอบคุณแม่ได้ซักพักหนึ่ง คุณแม่ก็บอกว่า ให้ดิฉันกลับไปอ่านหนังสือค่ะ ช่วงนั้นดิฉันเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยได้ และต้องย้ายออกจากบ้านที่อยู่กับพี่สาว มาอยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัยค่ะ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ ดิฉันจะไปนอนบ้านกับพี่สาวค่ะ ทุกวันดิฉันจะคอยถามไถ่กับคุณแม่ถึงเรื่องคุณ A คุณแม่ก็เครียดอยู๋ประมาณ 4-5 เดือน จนมาวันนึงที่คุณแม่ต้องมาออกบูธที่ ตจว. แต่น้องชายอยู่บ้าน คุณ A พาผู้ชายหลายคนเข้ามาในบ้านคุณแม่ค่ะ แล้วเอาทรัพย์สินรวมทั้งโฉนดที่ดินของบ้านที่ดิฉันอยู่ใน ตจว. ไปขายทอดตลาด (ได้ทรัพย์สินกับเงินสดไปร่วม 4 ล้านค่ะ) คุณแม่รู้เรื่องเพราะน้องชายโทรบอก จึงรีบกลับไป แต่พอกลับไปแล้ว พวกทรัพย์สินในห้องนอนของคุณแม่นั้น หายไปเยอะค่ะ แต่ที่ทางบ้านดิฉันไปฟ้อง แจ้งคุณ A ก็เพราะว่า คุณแม่นั้นยังเห็นคุณ A เป็นเพื่อนเสมอ จากนั้นมา คุณแม่ก็เครียดทุกวัน เพราะกลัวบ้านที่โดนขายทอดตลาดจะถูกยึด บริษัทก็ต้องดู และยังคงพยายามติดต่อคุณ A
ปีครึงต่อมา รอยยิ้มก็ต้องหายไปจากใบหน้าดิฉันจนสมบูรณ์ ตอนนั้นดิฉันอ่านหนังสือเตรียมสอบกลางภาคอยู่ จู่ๆ พี่สาวโทรมาหาค่ะ ว่า คุณแม่ป่วยเข้าโรงพยาบาลไม่ได้สติ เพราะหลอดเลือดในสมองแตก วันนั้นดิฉันร้องไห้ทั้งวันค่ะ จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ เพราะสอบพรุ่งนี้และพี่สาวก็บอกว่าจะดูแลให้ จากนั้นอีกประมาณ 24 ชั่วโมง คุณแม่ก็ได้แอดมิดฉุกเฉินที่ รพ. ติดแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อผ่าตัดสมองค่ะ ตอนนั้นจำได้ว่า สัปดาห์สอบกลางภาคนั้น ทุกวันดิฉัน ก็จะไปเยี่ยมคุณแม่และอ่านหนังสือข้างเตียงท่านค่ะ ช่วงนั้นคุณแม่ยังใส่เครื่องช่วยหายใจ แต่ไปเยี่ยมแล้วก็ยังรู้สึกดี ยิ้มได้ อยากให้ทำอะไร ก็จะเขียนในกระดาษค่ะ จนมาวันหนึ่ง คุณแม่เกิดภาวะแทรกซ้อนค่ะ ทำให้ต้องเป็นอัมพาต และพูดไม่ได้ หลังจากรักษาตัวได้ระยะหนึ่ง ก็ต้องย้ายมา รพ. จังหวัดเดิม เพราะสู้ราคาไม่ไหวค่ะ จากนั้นพอทุกอย่างคงที่แล้ว ก็ต้องรับคุณแม่กลับมาดูแลที่บ้านค่ะ ช่วงนั้นพี่สาวเพิ่งได้งานอยู่ที่ กทม. ด้วยค่ะ น้องชายซึ่งยังเรียนอยู่ ม.ปลายและคุณพ่อจึงเป็นคนดูแลหลัก ส่วนดิฉันจะกลับไปหาท่านช่วงสุดสัปดาห์ค่ะ เพราะคณะที่ดิฉันเรียน ปี 1 ปีสุดท้าย ตารางเต็มแน่นค่ะ และสอบบ่อยมากๆ คือ เกือบทุก 2 สัปดาห์ ด้วยความที่คุณแม่ป่วย คุณพ่อจึงต้องปิดบริษัทและปลดพนักงาน ร่วมถึงจ่ายค่าชดเชยบางส่วนให้ค่ะ ทำให้คุณพ่อต้องจ้างคนมาช่วยน้องชายดูแลคุณแม่ ส่วนตัวเองก็วิ่งหางานเหมือนเดิมค่ะ
3 ปีต่อมา เป็นช่วงที่ดิฉันเรียนปีสุดท้ายและเป็นช่วงที่เฟสบุ๊คมีการใช้กันอย่างแพร่หลายมาก ดิฉันเข้าไปปรึกษากับอาจารย์ที่สนิทในคณะ ท่านเห็นว่าดิฉันเรียนเก่ง จึงแนะนำทุนการศึกษาและแนะนำให้เรียนต่อ ป. โท ดิฉันก็ตอบตกลง เพราะอยากเป็นอาจาารย์ในมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ช่วงนั้นดิฉัน เตรียมทำงาน final project เครียดมากและนอนกัดฟันบ่อย ช่วงที่กลับไปบ้านเสาร์-อาทิตย์ จึงกะว่าจะไปหาหมอฟันค่ะ เพราะว่าถูกกว่าใน กทม. มาก จึงขอให้คุณป้าที่เป็นพี่สาวคุณแม่แนะนำค่ะ ระหว่างนั่งรถไป จู่ๆคุณป้าก็บอกดิฉันว่า รู้มั้ยว่า "พ่อแกอะมีเมียน้อย" ตอนนั้นก็ตกใจ เพราะว่าบ้านเราก็แย่อยู่แล้ว ทุกวันนี้ใช้จ่ายเดือนชนเดือน และยังต้องผ่อนหนี้บ้านอีก (ที่เกิดจาก A) ตอนนั้นเลยถามคุณป้าว่า "ทำไมถึงคิดแบบนั้น" คุณป้าก็เสริมว่า "ที่รู้ก็เพราะว่า พ่อแกเอารถแม่แกไปให้มันขับนั่นแหละ และชั้นก็ขับตามไปจนรู้ว่าบ้านมันอยู่ที่.....(จังหวัดเดียวกัน แต่อีกตำบล)" ตอนนั้นหูดิฉัน ไม่ได้ยินอะไรเลย ได้แต่พยักหน้า และหลังจากทำฟันเสร็จ ดิฉัน ไม่ได้สังเกตค่ะ ว่า รถคุณแม่บางทีหายไปไหน เคยถามคุณพ่อ ท่านบอกให้น้องชายของคุณแม่ยืมค่ะ จากนั้นดันจึงกลับ กทม. ก่อน โดยไม่รอให้คุณพ่อกลับจากธุระค่ะ
ต่อมา เป็นช่วงที่ดิฉันเรียนปริญญาโท ซึ่งตอนนั้นก็รับงานพาร์ทไทม์บางเวลาไปด้วยค่ะ ทำให้กลับบ้านบ่อยครั้งลดลง แต่ดิฉัน คุณพ่อ พี่สาวและน้องชาย ก็เล่นเฟสบุ๊คและอัพรูปขึ้นกัน ทำให้เห็นช่วงที่คุณแม่ น้องชายและคนดูแลพาคุณแม่ไปฝึกกายภาพและฝึกพูดบ้าง พอให้หายคิดถึงกันบ้างค่ะ ทุกครั้งที่ดิฉันกลับไปจะช่วยทำกายภาพให้คุณแม่ แต่คนดูแล คุณพ่อและน้องชายจะมาช่วยบ้างแต่ไม่เป็นตัวหลัก จนเวลาล่วงไปไปปีครึ่ง คุณแม่ก็ยังเป็นอัมพาต ส่วนดิฉันก็ต้องทำวิทยานิพนธ์ กว่าจะทำงานเสร็จเกือบเที่ยงคืน เป็นแบบนี้เกือบ 5 เดือนค่ะ ดิฉันก็โทรหาพี่สาวบ้างค่ะ ทำให้พอทราบเรื่องว่า พี่สาวมีปัญหากับคุณป้า เนื่องจากคุณป้านั้น เห็นว่า พี่สาวไม่มาดูแลแม่บ้างช่วงสุดสัปดาห์ จึงยิ่งทำให้พี่สาว ไม่ค่อยกลับบ้านค่ะ จะกลับช่วง สงกรานต์และปีใหม่เท่านั้น ตอนนั้นน้องชายก็จะเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย และคนดูแลแม่กำลังจะลาออกค่ะ ทำให้ตอนนั้นดิฉันคิดว่า เหมือนกับครอบครัวแยกกันไปคนละทางมากๆ แต่ส่วนตัวดิฉันสามารถคุยกับทุกคนได้เหมือนเดิมค่ะ แต่ทุกคนที่ดิฉันคุยนั้น เค้าไม่คุยกันเอง
ช่วงที่เหลือเฉพาะรูปเล่มวิทยานิพนธ์ เป็นช่วงที่ดิฉันเริ่มกลับมากลับบ้านอีกครั้ง คุณพ่อก็นัดรวมญาติฝั่งคุณพ่อที่ ตจว. ค่ะ วันนั้นเราก็คุยกัน มีญาติคนหนึ่งเป็นคุณหมอทางระบบประสาทค่ะ ดิฉันเลยไปปรึกษาเรื่องคุณแม่ คุณหมอบอกว่า โอกาสจะยิ่งน้อยลง ถ้าอายุมากขึ้น แต่คุณหมอก็พูดตามตรงว่า กรณีคุณแม่อาจจะยากมาก ถ้าไม่ทำกายภาพบ่อยๆ ดิฉันจึงกลับมาชวนน้องชายกับกายภาพคุณแม่ทุกครั้งที่กลับบ้านอีกค่ะ แต่จะลำบากท่ายืนหน่อย เพราะว่าสองคนช่วยกันไม่ค่อยไหว คุณแม่น้ำหนักมาก ช่วงนั้นคุณแม่จะทานยาหลายตัวค่ะ แต่คุณพ่อก็จะมีพวกวิตามินเสริมบ้าง จนวันหนึ่ง คุณพ่อแนะนำอาหารเสริมตัวหนึ่งค่ะ คุณพ่อบอกเพื่อนแนะนำมา เป็นแคปซูลสีน้ำตาล ใหญ่มาก และอีกอันเป็นสีเขียว ดิฉันซึ่งพอมีความรู้พวกนี้อยู่บ้างว่า มันไม่ปลอดภัย ก็ห้ามปราม แต่คุณพ่อก็ยังจะยืนยันเอาให้คุณแม่กินค่ะบอกว่า เพื่อนแนะนำมา ดิฉันก็ได้แต่ทำใจ คิดว่าเราห้ามเค้าวันนี้ ตอนเราไม่อยู่เค้าก็เอาให้กินอีกอยู่ดี ดิฉันเลยเดินออกมาเห็นหีบต่อพัสดุ ซึ่งเป็นยี่ห้อเดียวกับอาหารเสริมนี้ มีชื่อผู้ส่งเป็นผู้หญิง และอยู่ในจังหวัดเดียวกันด้วย จึงถามคุณพ่อว่า คนนี้เพื่อนคุณพ่อเหรอคะ? คุณพ่อก็ตอบว่า ใช่ และอีกวันที่อยู่ก็ถามคุณพ่อเรื่องรถคุณแม่ คุณพ่อก็บอกว่า คนรู้จักอีกคนยืมไป พอดิฉันถามว่า คุณน้าหรือเปล่า ท่านก็บ่ายเบี่ยงและเดินไปดูทีวีค่ะ ช่วงที่ดิฉัน เทียวไปเทียวมา คุณพ่อ พอเริ่มมีเงิน ก็มีทีวี สมาร์ทโฟนใหม่ๆ ไอแพดและพวกข้างใช้แปลกๆ พี่สาวและดิฉัน ก็บ่นคุณพ่อว่าซื้อมาทำไม ท่านก็ไม่ฟังค่ะ โทรศัพท์ออกใหม่ก็ซื้อ แต่ไอโฟนรุ่นล่าสุดที่ท่านซื้อมา คือ 6 Plus ค่ะ เป็นสีชมพู และตอนนั่งอยู่ในรถ บางครั้งโทรศัพท์โทรเข้ามาคุณพ่อ จะคุยเหมือนคุยกับผู้ชาย แต่เสียงมันดังออกข้างเป็นเสียงผู้หญิง ทำให้ดิฉันแอบสงสัยมากขึ้น จากที่มันค่อนข้างจะแน่นอนมามากแล้ว แต่ใจก็ไม่อยากคิดอะไร เพราะหลายๆเรื่องก็เครียดมากพอแล้วค่ะ
ต่อในความเห็นที่ 1 อีกนิดนึงค่ะ.....
ขอแท็กสุขภาพจิตด้วยนะคะ