ให้ดวงตาเป็นพยาน
Katy Perry นักร้องสาว
California Gurls สังกัดค่าย
Capitol Records กลับมาอีกครั้งในปี 2017 หลังจากห่างหายในวงการเพลงถึง
4 ปี กลับมาครั้งนี้มาพร้อมกับอัลบั้มใหม่
Witness เป็นการกลับมาหลังจากอัลบั้ม
PRISM ที่นางได้มีซิงเกิ้ลฮิตถล่มทลายในปี 2013 อย่าง
Roar และ
Dark Horse
หลังจากสาวผู้หื่นกระหายในรสจูบของผู้หญิง
I Kissed a Girl ซิงเกิ้ลแรกที่แจ้งเกิดในนามของศิลปินเต็มตัว
Katy Perry
สู่สาวป๊อปทีนกับฝันหวานของวัยรุ่น
Teenage Dream ที่มาตอกย้ำความปังกับการทำลายสถิติอัลบั้มของศิลปินหญิงคนแรกที่มีซิงเกิ้ลฮิตติดอันดับ
#1 บน Billboard Hot 100 มากที่สุดถึง
5 เพลงในอัลบั้มเดียว เทียบเท่ากับ
King of Pop อย่าง
Michael Jackson
และยังกลับมาคำรามดังกึกก้องอีกครั้งในเพลง
Roar และ
Dark Horse ที่ทำสถิติเอ็มวีของศิลปินหญิงคนแรกที่ได้ยอดวิวมากที่สุดถึง
1 พันล้านวิวใน
Vevo และในปีนี้เองนางก็ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับผมบลอนด์แถมหั่นสั้นกุดเผยให้เห็นกับลุคใหม่และอะไรใหม่ๆ
ที่ตามมาด้วยในอัลบั้มนี้..
Witness อย่างที่นางเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าอัลบั้มนี้จะมาในคอนเซ็ปต์
Purposeful Pop คือจะเป็นแนวป๊อปที่ดูโตขึ้น และยังฉีกแนวจากอัลบั้มทั้ง 3 ชุดที่แล้วพอสมควร เพลงในอัลบั้มจะมีความเป็นแนว
Pop, Disco แถมบางเพลงยังมี
Explicit (คำหยาบ) มากถึง 6 เพลง ส่วนศิลปินที่มาร่วม
featuring ด้วยก็ขนแร็ปเปอร์กันมาเยอะมาก เช่น
Nicki Minaj, Migos และ
Skip Marley
อัลบั้มนี้ยังได้ทำลายสถิติเป็นอัลบั้มที่เดบิวต์อยู่อันดับ
#1 iTunes US ได้เร็วที่สุด ใช้เวลาแค่ 10 นาที โค่นจากสถิติเก่าของอัลบั้มที่แล้วอย่าง
Britney Jean ที่ทำเอาไว้ 19 นาที ส่วนเรื่องกระแสของอัลบั้มนี้ถึงแม้ทีมงานนางจะโปรโมทแบบชุดใหญ่ยังไงก็ตาม แต่ซิงเกิ้ลในอัลบั้ม
Witness กระแสก็ยังไม่เปรี้ยงปร้างเท่าอัลบั้มที่ผ่านๆมา แต่มองข้ามเรื่องกระแสไปค่ะ เรามาทำการรีวิวเพลงในอัลบั้มนี้กันดีกว่า
คุมงานโปรดิวซ์โดย Duke Dumont & Shellback , Max Martin และอื่นๆอีกมากมาย
Witness เริ่มอินโทรเปิดอัลบั้มนี้ด้วยไตเติ้ลแทร็คที่เป็น Unreleased จากอัลบั้ม PRISM ที่เคยหลุดออกมาให้ฟังก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ก็ได้นำมา Re-record ใหม่เพื่อใส่ในอัลบั้มนี้ เพลงนี้เลยจะมีกลิ่นจากอัลบั้มที่แล้วมานิดหน่อย จังหวะเพลงจะค่อยๆเป็นค่อยๆไปก่อนที่จะตบด้วยบีทที่หนักขึ้นและเริ่มคลายลงในท่อนฮุก ส่วนท่อนหลังเองจะมีเสียง Whistling ให้ผู้ฟังได้เคลิ้มพอเป็นพิธีแล้วพร้อมกับร่วมเป็นพยานในอัลบั้มนี้ด้วย
Hey Hey Hey เป็นเพลงพลังบวกของผู้หญิงที่เวลาได้ฟังแล้วจะต้องร้อง Hey! Hey! Hey! ตามเลย เพราะเพลงนี้มีเนื้อหาที่ต้องการจะสื่อให้เหล่าผู้หญิงทั้งหลายตะโกนบอกกับโลกใบนี้ว่าถึงแม้ว่าเราจะเป็นผู้หญิงที่นุ่มนวล แต่เราก็ไม่ได้อ่อนแอหรือเปราะบางเสมอไป แถมเราเองยังมีความ Strong อยู่เยอะด้วย ถือว่าเป็นเพลงที่ใช้ปลุกพลังเพื่อนหญิงดีๆนี่เอง
Roulette ชื่อเพลงรูเล็ต ก็คือ เกมส์วงล้อเล็กๆที่นิยมใช้เล่นกันในคาสิโน หน้าตาของเจ้ารูเล็ตก็จะเป็นวงกลมๆโดยรอบๆวงกลมก็จะมีตัวเลขกำกับอยู่เพื่อให้ผู้เล่นเองได้ทายผล หรือ เดิมพัน ซึ่งเพลงนี้เองก็กล่าวถึงความรักที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราและเราจะใช้ให้มันเป็นโอกาสที่เราจะได้สนุกไปกับความรักครั้งนี้ แถมปล่อยตัวไปให้มันส์ๆหมุนไปกับเสียงเพลงนี้เหมือนวงล้อรูเล็ต และเกมส์รูเล็ตนี้เองอาจจะหมุนความโชคดีมาให้เราก็ได้
Swish Swish (feat. Nicki Minaj) ซิงเกิ้ลที่ 3 ของอัลบั้มที่มีเนื้อหาสื่อถึง
Represent Liberation หรือเป็นการปลดปล่อยจาก
ความเกลียดชัง แถมยังเป็นการได้ร่วมงานกันครั้งแรกกับ Nicki Minaj เป็นการ Collab ที่ทำเอาแฟนๆช็อคไปตามๆกัน ทั้งเนื้อหาในเพลงนี้เองก็ไม่รู้ว่าแต่งมาเพื่อ Shade ใครอยู่รึป่าว? ไม่รู้ว่าแต่งมาให้คู่อริหรือเหล่า Haters กันแน่ แต่โดยรวมแล้วคือเพลงนี้แซ่บและเผ็ชที่สุด ท่อนแร็ปก็เริ่ดไม่หยุด ถือได้ว่าเป็นเพลงสำหรับเหล่าเก้งกวางบ่างชะนีที่เวลาได้ฟังแล้วต้องร้องและเต้นตามกันเลยทีเดียว!
Déjà Vu เดจาวูในภาษาฝรั่งเศสคืออาการที่คล้ายกับเคยพบเห็น เคยอยู่ในสถานที่ต่างๆ ทั้งที่ไม่เคยไปมาก่อน หรือรู้สึกว่าเหตุการณ์ปัจจุบันได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต รู้สึกคุ้นเคยแบบแปลกๆ เพลงนี้เองเป็นเพลงแนว R&B ที่ผสมผสานไปกับแนว Electro ที่ให้รู้สึกถึงซาวด์เก่าๆ และเพลงนี้เองก็สื่อถึงความสัมพันธ์ของคู่รักที่นิ่งนอนไม่ขยับ ได้แต่ทะเลาะกันไปมาซึ่งประเด็นต่างๆก็ซ้ำไปซ้ำมาวนลูปเหมือนกับอาการเดจาวู
Power เพลงที่สื่อถึง Feminine หรือพลังอำนาจของผู้หญิง ที่เปิดอินโทรด้วยการมาแบบเนิบๆก่อนที่จะรัวกลองแบบกระหน่ำพร้อมกับบีทที่หนักแน่นยิ่งขึ้น เป็นเพลงที่ปลุกอำนาจในการแสดงพลังและความแข็งแกร่งของเหล่าผู้หญิงได้อย่างดีเยี่ยม
Mind Maze เพลงที่สื่อถึงการสูญเสียหรือการหลงทางเข้าไปสู่ในเขาวงกตของตัวเองแล้วก็ได้พยายามเพื่อหาทางออกจากเขาวงกตนี้ เป็นเพลงที่ปรับเสียง Auto-tune เยอะมาก เลยทำให้บางคนอาจะไม่ชอบเพลงนี้ไปเลย แต่พอฟังเพลงนี้ดีๆมันก็ยังมีความ Interesting อยู่ไม่น้อย
Miss You More เป็นเพลงแนวป็อบบัลลาดเศร้าๆ ที่พูดถึงคนรักเก่าที่ผ่านมาและได้นึกถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้คิดถึงตอนที่อยู่ด้วยกัน เป็นเพลงที่ฟังแล้วก็ทำให้เราอดคิดถึงใครบางคนที่เราเคยรักไม่ได้ ถือว่าเป็นเป็นเพลงช้าที่เอาไว้ฟังเวลาเหงาๆได้ดีเลย
Chained to the Rhythm (feat. Skip Marley) ซิงเกิ้ลเปิดของอัลบั้มชุดนี้ที่มีเนื้อหาเพลงที่สื่อถึง
Political Liberation
ตัวเพลงเองมีกลิ่นอายแนวดิสโก้นิดๆ จังหวะชวนโยก ฟังครั้งเดียวก็ติดหูร้องตามได้เลย แถมเพลงนี้ยังได้ร่วมงานกับศิลปินชาวจาไมก้า Skip Marley ที่มาร่วมแร็ปด้วย และยังมีนักแต่งเพลงมือดีอย่างป้า Sia ที่มาช่วยแต่งให้อีกแรง ส่วนทั้งหมดทั้งมวลในเนื้อหาและเอ็มวีของเพลงนี้ก็คือการเสียดสีสังคมถึงเรื่องการเมืองของชาวอเมริกันที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
Tsunami เพลงนี้จะมีกลิ่นป๊อปของยุค 80’s ซาวด์จะเก่าๆหน่อย จังหวะเนิบๆเอาไว้ฟังยามสบายๆตอนไปทะเลหรือเดินเล่นริมหาดชิวๆ และเพลงนี้เองยังเกี่ยวกับเรื่องความรักและเรื่องเซ็กส์ ที่เหมือนกับการว่ายน้ำในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่และได้เจอกับความรักที่ถาโถมเข้ามาใส่เหมือนกับเกลียวคลื่นใหญ่ของสึนามิ
Bon Appétit (feat. Migos) ซิงเกิ้ลที่ 2 ของอัลบั้ม เพลงนี้คือฉีกลุคของนางที่สุด ทั้งในแง่เนื้อหาเพลงที่สื่อถึง
Sexual Liberation
และเอ็มวีที่มาในคอนเซ็ปต์ Food Porn ที่จะเสิร์ฟกันแบบร้อนๆ บนโต๊ะอาหารสุดหรู และก่อนหน้านี้เพลงนี้เองก็มีข่าวลือว่าได้สาวน้อยอย่าง Ariana Grande มาร่วมร้องด้วย แต่ความจริงดันกลายเป็น 3 หนุ่มแร็ปเปอร์แทน แต่โดยรวมแล้วเพลงนี้อร่อยค่ะ จังหวะสนุกๆและยังมีความ Summer Vibe อยู่หน่อยๆ เป็นเพลงที่เร็วสุดในอัลบั้มนี้เลยก็ว่าได้
Bigger Than Me เป็นเพลงที่สะท้อนถึงตัวนางเองในการหาจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่านางจากอัลบั้มนี้ และยังเป็นเพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการสูญเสียของ Hillary Clinton ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 อีกด้วย
Save As Draft แทร็คเปิดขึ้นพร้อมกับเสียงกดบนแป้นพิมพ์ เป็นแนวป๊อบบัลลาดช้าๆอีกเพลงที่ความมี Emotional มากๆ เพลงนี้สื่อถึงการพิมพ์ความในใจที่อยากส่งให้กับคนรักได้อ่าน แต่ในที่สุดก็ได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับบันทึกร่างเก็บเอาไว้ และเพลงนี้เองยังสื่อถึงโลก Social ที่นางอาศัยอยู่อย่างเช่น Twitter เพื่อถ่ายทอดถึงการต่อสู้ของนางต่อการโดน Comment ในแง่ลบต่างๆ
Pendulum เพลงจังหวะสนุกๆ ที่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่ได้ฟังเพลงนี้และเตือนให้เราเป็นตัวของตัวเองเหมือนกับลูกตุ้มที่หมุนไปหมุนมาและปล่อยให้มันหมุนพาชีวิตเราไปในทางที่ดีถึงแม้จะเจออุปสรรคก็ให้มันเหวี่ยงใส่แรงกระเด็นไปเลย แถมเพลงนี้นางยังได้ใช้นักร้องประสานเสียงมาช่วยร้องเป็น Backup Vocals ให้ด้วย
Into Me You See แทร็คสุดท้ายปิดท้ายอัลบั้มนี้ เพลงแนวป๊อบบัลลาดช้าๆ ที่มีเนื้อหาในการพูดถึงคนอื่นที่สามารถทำลายกำแพงที่เราสร้างไว้ได้ คนที่เห็นในตัวตนของเราจริงๆ ถือว่าเป็นเพลงที่ปิดอัลบั้มนี้ได้ดีเลย
Witness สำหรับอัลบั้มชุดนี้ แนวเพลงอาจจะไม่ใช่สาวป๊อปเพลงลูกกวาดคนเดิม แต่ก็ถือว่านางไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย เพราะนางยังคงรักษาคุณภาพไว้ได้ บวกกับวางแทร็คได้ลงตัว และยังมีเนื้อหาที่แฝง
Message ให้ผู้ฟังได้ดีเยี่ยม แต่สิ่งที่ชอบมากๆคือการไม่ตามกระแสจนเกินไป บางเพลงเองก็เลยไม่ได้ฟังง่ายเท่าชุดที่ผ่านๆมาเท่าไหร่ เพราะซาวด์ดนตรีจะมีกลิ่นเอนเอียงไปในทางยุค
80’s - 90’s ซะส่วนใหญ่ แต่ถึงยังไงนางก็ยังคุมคอนเซปต์ของอัลบั้มได้ดีนี่คือเสน่ห์ของนาง และอัลบั้มนี้ก็ยังแสดงให้เห็นถึงงานด้านภาคดนตรีกับเนื้อหาที่โตขึ้นและแตกต่างจากอัลบั้มชุดก่อนๆอย่างเห็นได้ชัด
เอาจริงๆอยากให้แฟนๆทุกคนเปิดใจกับแขคนใหม่คนนี้ ส่วนบางคนที่ยังอยากให้นางกลับไปทำเพลงแบบอัลบั้ม
Teenage Dream อาจจะไม่ค่อยชอบอัลบั้มนี้เท่าไหร่ แต่เชื่อว่าคนที่อยากให้นางก้าวออกจากโซนเดิมๆและลองอะไรใหม่ๆ อาจจะต้องปลื้มกับอัลบั้มชุดนี้แน่นอน ถึงแม้ว่าซิงเกิ้ลใน
Witness จะไม่ได้กลับมาถล่มชาร์ทเพลงเหมือนทุกๆครั้งที่ผ่านมา แต่ก็ยังถือว่าประสบความสำเร็จสำหรับตัวนางเองที่กล้าอยากจะลองทำสิ่งใหม่ๆ สิ่งที่แตกต่างและท้าทายจากที่เคยทำมา ไม่แน่อัลบั้มหน้าเราอาจจะได้เห็นนางได้ทำแนวเพลงอะไรใหม่ๆกว่านี้ก็เป็นไปได้ “นางอาจจะไม่ได้ทำอะไรถูกใจไปซะทุกอย่าง เพราะนางคือ
Katy Perry และนางเองก็ไม่ได้มีให้เห็นแค่นี้”
แกรมมี่ต้องได้ ถ้าไม่ได้ต้องฟาด
WITNESS
Top Track : Witness , Swish Swish , Roulette , Déjà Vu , Power , Tsunami , Pendulum , Bon Appétit
Give 7/10
[CR] [รีวิวอัลบั้ม] Witness - Katy Perry
Katy Perry นักร้องสาว California Gurls สังกัดค่าย Capitol Records กลับมาอีกครั้งในปี 2017 หลังจากห่างหายในวงการเพลงถึง
4 ปี กลับมาครั้งนี้มาพร้อมกับอัลบั้มใหม่ Witness เป็นการกลับมาหลังจากอัลบั้ม PRISM ที่นางได้มีซิงเกิ้ลฮิตถล่มทลายในปี 2013 อย่าง Roar และ Dark Horse
หลังจากสาวผู้หื่นกระหายในรสจูบของผู้หญิง I Kissed a Girl ซิงเกิ้ลแรกที่แจ้งเกิดในนามของศิลปินเต็มตัว Katy Perry
สู่สาวป๊อปทีนกับฝันหวานของวัยรุ่น Teenage Dream ที่มาตอกย้ำความปังกับการทำลายสถิติอัลบั้มของศิลปินหญิงคนแรกที่มีซิงเกิ้ลฮิตติดอันดับ #1 บน Billboard Hot 100 มากที่สุดถึง 5 เพลงในอัลบั้มเดียว เทียบเท่ากับ King of Pop อย่าง Michael Jackson
และยังกลับมาคำรามดังกึกก้องอีกครั้งในเพลง Roar และ Dark Horse ที่ทำสถิติเอ็มวีของศิลปินหญิงคนแรกที่ได้ยอดวิวมากที่สุดถึง
1 พันล้านวิวใน Vevo และในปีนี้เองนางก็ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับผมบลอนด์แถมหั่นสั้นกุดเผยให้เห็นกับลุคใหม่และอะไรใหม่ๆ
ที่ตามมาด้วยในอัลบั้มนี้..
Witness อย่างที่นางเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าอัลบั้มนี้จะมาในคอนเซ็ปต์ Purposeful Pop คือจะเป็นแนวป๊อปที่ดูโตขึ้น และยังฉีกแนวจากอัลบั้มทั้ง 3 ชุดที่แล้วพอสมควร เพลงในอัลบั้มจะมีความเป็นแนว Pop, Disco แถมบางเพลงยังมี Explicit (คำหยาบ) มากถึง 6 เพลง ส่วนศิลปินที่มาร่วม featuring ด้วยก็ขนแร็ปเปอร์กันมาเยอะมาก เช่น Nicki Minaj, Migos และ Skip Marley
อัลบั้มนี้ยังได้ทำลายสถิติเป็นอัลบั้มที่เดบิวต์อยู่อันดับ #1 iTunes US ได้เร็วที่สุด ใช้เวลาแค่ 10 นาที โค่นจากสถิติเก่าของอัลบั้มที่แล้วอย่าง Britney Jean ที่ทำเอาไว้ 19 นาที ส่วนเรื่องกระแสของอัลบั้มนี้ถึงแม้ทีมงานนางจะโปรโมทแบบชุดใหญ่ยังไงก็ตาม แต่ซิงเกิ้ลในอัลบั้ม Witness กระแสก็ยังไม่เปรี้ยงปร้างเท่าอัลบั้มที่ผ่านๆมา แต่มองข้ามเรื่องกระแสไปค่ะ เรามาทำการรีวิวเพลงในอัลบั้มนี้กันดีกว่า
Witness เริ่มอินโทรเปิดอัลบั้มนี้ด้วยไตเติ้ลแทร็คที่เป็น Unreleased จากอัลบั้ม PRISM ที่เคยหลุดออกมาให้ฟังก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ก็ได้นำมา Re-record ใหม่เพื่อใส่ในอัลบั้มนี้ เพลงนี้เลยจะมีกลิ่นจากอัลบั้มที่แล้วมานิดหน่อย จังหวะเพลงจะค่อยๆเป็นค่อยๆไปก่อนที่จะตบด้วยบีทที่หนักขึ้นและเริ่มคลายลงในท่อนฮุก ส่วนท่อนหลังเองจะมีเสียง Whistling ให้ผู้ฟังได้เคลิ้มพอเป็นพิธีแล้วพร้อมกับร่วมเป็นพยานในอัลบั้มนี้ด้วย
Hey Hey Hey เป็นเพลงพลังบวกของผู้หญิงที่เวลาได้ฟังแล้วจะต้องร้อง Hey! Hey! Hey! ตามเลย เพราะเพลงนี้มีเนื้อหาที่ต้องการจะสื่อให้เหล่าผู้หญิงทั้งหลายตะโกนบอกกับโลกใบนี้ว่าถึงแม้ว่าเราจะเป็นผู้หญิงที่นุ่มนวล แต่เราก็ไม่ได้อ่อนแอหรือเปราะบางเสมอไป แถมเราเองยังมีความ Strong อยู่เยอะด้วย ถือว่าเป็นเพลงที่ใช้ปลุกพลังเพื่อนหญิงดีๆนี่เอง
Roulette ชื่อเพลงรูเล็ต ก็คือ เกมส์วงล้อเล็กๆที่นิยมใช้เล่นกันในคาสิโน หน้าตาของเจ้ารูเล็ตก็จะเป็นวงกลมๆโดยรอบๆวงกลมก็จะมีตัวเลขกำกับอยู่เพื่อให้ผู้เล่นเองได้ทายผล หรือ เดิมพัน ซึ่งเพลงนี้เองก็กล่าวถึงความรักที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราและเราจะใช้ให้มันเป็นโอกาสที่เราจะได้สนุกไปกับความรักครั้งนี้ แถมปล่อยตัวไปให้มันส์ๆหมุนไปกับเสียงเพลงนี้เหมือนวงล้อรูเล็ต และเกมส์รูเล็ตนี้เองอาจจะหมุนความโชคดีมาให้เราก็ได้
Swish Swish (feat. Nicki Minaj) ซิงเกิ้ลที่ 3 ของอัลบั้มที่มีเนื้อหาสื่อถึง Represent Liberation หรือเป็นการปลดปล่อยจาก
ความเกลียดชัง แถมยังเป็นการได้ร่วมงานกันครั้งแรกกับ Nicki Minaj เป็นการ Collab ที่ทำเอาแฟนๆช็อคไปตามๆกัน ทั้งเนื้อหาในเพลงนี้เองก็ไม่รู้ว่าแต่งมาเพื่อ Shade ใครอยู่รึป่าว? ไม่รู้ว่าแต่งมาให้คู่อริหรือเหล่า Haters กันแน่ แต่โดยรวมแล้วคือเพลงนี้แซ่บและเผ็ชที่สุด ท่อนแร็ปก็เริ่ดไม่หยุด ถือได้ว่าเป็นเพลงสำหรับเหล่าเก้งกวางบ่างชะนีที่เวลาได้ฟังแล้วต้องร้องและเต้นตามกันเลยทีเดียว!
Déjà Vu เดจาวูในภาษาฝรั่งเศสคืออาการที่คล้ายกับเคยพบเห็น เคยอยู่ในสถานที่ต่างๆ ทั้งที่ไม่เคยไปมาก่อน หรือรู้สึกว่าเหตุการณ์ปัจจุบันได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต รู้สึกคุ้นเคยแบบแปลกๆ เพลงนี้เองเป็นเพลงแนว R&B ที่ผสมผสานไปกับแนว Electro ที่ให้รู้สึกถึงซาวด์เก่าๆ และเพลงนี้เองก็สื่อถึงความสัมพันธ์ของคู่รักที่นิ่งนอนไม่ขยับ ได้แต่ทะเลาะกันไปมาซึ่งประเด็นต่างๆก็ซ้ำไปซ้ำมาวนลูปเหมือนกับอาการเดจาวู
Power เพลงที่สื่อถึง Feminine หรือพลังอำนาจของผู้หญิง ที่เปิดอินโทรด้วยการมาแบบเนิบๆก่อนที่จะรัวกลองแบบกระหน่ำพร้อมกับบีทที่หนักแน่นยิ่งขึ้น เป็นเพลงที่ปลุกอำนาจในการแสดงพลังและความแข็งแกร่งของเหล่าผู้หญิงได้อย่างดีเยี่ยม
Mind Maze เพลงที่สื่อถึงการสูญเสียหรือการหลงทางเข้าไปสู่ในเขาวงกตของตัวเองแล้วก็ได้พยายามเพื่อหาทางออกจากเขาวงกตนี้ เป็นเพลงที่ปรับเสียง Auto-tune เยอะมาก เลยทำให้บางคนอาจะไม่ชอบเพลงนี้ไปเลย แต่พอฟังเพลงนี้ดีๆมันก็ยังมีความ Interesting อยู่ไม่น้อย
Miss You More เป็นเพลงแนวป็อบบัลลาดเศร้าๆ ที่พูดถึงคนรักเก่าที่ผ่านมาและได้นึกถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้คิดถึงตอนที่อยู่ด้วยกัน เป็นเพลงที่ฟังแล้วก็ทำให้เราอดคิดถึงใครบางคนที่เราเคยรักไม่ได้ ถือว่าเป็นเป็นเพลงช้าที่เอาไว้ฟังเวลาเหงาๆได้ดีเลย
Chained to the Rhythm (feat. Skip Marley) ซิงเกิ้ลเปิดของอัลบั้มชุดนี้ที่มีเนื้อหาเพลงที่สื่อถึง Political Liberation
ตัวเพลงเองมีกลิ่นอายแนวดิสโก้นิดๆ จังหวะชวนโยก ฟังครั้งเดียวก็ติดหูร้องตามได้เลย แถมเพลงนี้ยังได้ร่วมงานกับศิลปินชาวจาไมก้า Skip Marley ที่มาร่วมแร็ปด้วย และยังมีนักแต่งเพลงมือดีอย่างป้า Sia ที่มาช่วยแต่งให้อีกแรง ส่วนทั้งหมดทั้งมวลในเนื้อหาและเอ็มวีของเพลงนี้ก็คือการเสียดสีสังคมถึงเรื่องการเมืองของชาวอเมริกันที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
Tsunami เพลงนี้จะมีกลิ่นป๊อปของยุค 80’s ซาวด์จะเก่าๆหน่อย จังหวะเนิบๆเอาไว้ฟังยามสบายๆตอนไปทะเลหรือเดินเล่นริมหาดชิวๆ และเพลงนี้เองยังเกี่ยวกับเรื่องความรักและเรื่องเซ็กส์ ที่เหมือนกับการว่ายน้ำในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่และได้เจอกับความรักที่ถาโถมเข้ามาใส่เหมือนกับเกลียวคลื่นใหญ่ของสึนามิ
Bon Appétit (feat. Migos) ซิงเกิ้ลที่ 2 ของอัลบั้ม เพลงนี้คือฉีกลุคของนางที่สุด ทั้งในแง่เนื้อหาเพลงที่สื่อถึง Sexual Liberation
และเอ็มวีที่มาในคอนเซ็ปต์ Food Porn ที่จะเสิร์ฟกันแบบร้อนๆ บนโต๊ะอาหารสุดหรู และก่อนหน้านี้เพลงนี้เองก็มีข่าวลือว่าได้สาวน้อยอย่าง Ariana Grande มาร่วมร้องด้วย แต่ความจริงดันกลายเป็น 3 หนุ่มแร็ปเปอร์แทน แต่โดยรวมแล้วเพลงนี้อร่อยค่ะ จังหวะสนุกๆและยังมีความ Summer Vibe อยู่หน่อยๆ เป็นเพลงที่เร็วสุดในอัลบั้มนี้เลยก็ว่าได้
Bigger Than Me เป็นเพลงที่สะท้อนถึงตัวนางเองในการหาจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่านางจากอัลบั้มนี้ และยังเป็นเพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการสูญเสียของ Hillary Clinton ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 อีกด้วย
Save As Draft แทร็คเปิดขึ้นพร้อมกับเสียงกดบนแป้นพิมพ์ เป็นแนวป๊อบบัลลาดช้าๆอีกเพลงที่ความมี Emotional มากๆ เพลงนี้สื่อถึงการพิมพ์ความในใจที่อยากส่งให้กับคนรักได้อ่าน แต่ในที่สุดก็ได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับบันทึกร่างเก็บเอาไว้ และเพลงนี้เองยังสื่อถึงโลก Social ที่นางอาศัยอยู่อย่างเช่น Twitter เพื่อถ่ายทอดถึงการต่อสู้ของนางต่อการโดน Comment ในแง่ลบต่างๆ
Pendulum เพลงจังหวะสนุกๆ ที่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่ได้ฟังเพลงนี้และเตือนให้เราเป็นตัวของตัวเองเหมือนกับลูกตุ้มที่หมุนไปหมุนมาและปล่อยให้มันหมุนพาชีวิตเราไปในทางที่ดีถึงแม้จะเจออุปสรรคก็ให้มันเหวี่ยงใส่แรงกระเด็นไปเลย แถมเพลงนี้นางยังได้ใช้นักร้องประสานเสียงมาช่วยร้องเป็น Backup Vocals ให้ด้วย
Into Me You See แทร็คสุดท้ายปิดท้ายอัลบั้มนี้ เพลงแนวป๊อบบัลลาดช้าๆ ที่มีเนื้อหาในการพูดถึงคนอื่นที่สามารถทำลายกำแพงที่เราสร้างไว้ได้ คนที่เห็นในตัวตนของเราจริงๆ ถือว่าเป็นเพลงที่ปิดอัลบั้มนี้ได้ดีเลย
Witness สำหรับอัลบั้มชุดนี้ แนวเพลงอาจจะไม่ใช่สาวป๊อปเพลงลูกกวาดคนเดิม แต่ก็ถือว่านางไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย เพราะนางยังคงรักษาคุณภาพไว้ได้ บวกกับวางแทร็คได้ลงตัว และยังมีเนื้อหาที่แฝง Message ให้ผู้ฟังได้ดีเยี่ยม แต่สิ่งที่ชอบมากๆคือการไม่ตามกระแสจนเกินไป บางเพลงเองก็เลยไม่ได้ฟังง่ายเท่าชุดที่ผ่านๆมาเท่าไหร่ เพราะซาวด์ดนตรีจะมีกลิ่นเอนเอียงไปในทางยุค 80’s - 90’s ซะส่วนใหญ่ แต่ถึงยังไงนางก็ยังคุมคอนเซปต์ของอัลบั้มได้ดีนี่คือเสน่ห์ของนาง และอัลบั้มนี้ก็ยังแสดงให้เห็นถึงงานด้านภาคดนตรีกับเนื้อหาที่โตขึ้นและแตกต่างจากอัลบั้มชุดก่อนๆอย่างเห็นได้ชัด
เอาจริงๆอยากให้แฟนๆทุกคนเปิดใจกับแขคนใหม่คนนี้ ส่วนบางคนที่ยังอยากให้นางกลับไปทำเพลงแบบอัลบั้ม Teenage Dream อาจจะไม่ค่อยชอบอัลบั้มนี้เท่าไหร่ แต่เชื่อว่าคนที่อยากให้นางก้าวออกจากโซนเดิมๆและลองอะไรใหม่ๆ อาจจะต้องปลื้มกับอัลบั้มชุดนี้แน่นอน ถึงแม้ว่าซิงเกิ้ลใน Witness จะไม่ได้กลับมาถล่มชาร์ทเพลงเหมือนทุกๆครั้งที่ผ่านมา แต่ก็ยังถือว่าประสบความสำเร็จสำหรับตัวนางเองที่กล้าอยากจะลองทำสิ่งใหม่ๆ สิ่งที่แตกต่างและท้าทายจากที่เคยทำมา ไม่แน่อัลบั้มหน้าเราอาจจะได้เห็นนางได้ทำแนวเพลงอะไรใหม่ๆกว่านี้ก็เป็นไปได้ “นางอาจจะไม่ได้ทำอะไรถูกใจไปซะทุกอย่าง เพราะนางคือ Katy Perry และนางเองก็ไม่ได้มีให้เห็นแค่นี้”
Top Track : Witness , Swish Swish , Roulette , Déjà Vu , Power , Tsunami , Pendulum , Bon Appétit
Give 7/10