[CR] “จิบ ชิม ชิว ณ Big Mount Bistro & Restaurant จังหวัดปราจีนบุรี”

--------------------------------------------------

เราเดินทางออกจากบ้านญาติที่จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ผืนป่าเขาใหญ่ เช้านั้นเรากับพี่ๆ ไม่ได้ทานอะไร เพราะกะว่าจะไปหาอะไรอร่อยๆ ทานระหว่างทาง และก่อนขึ้นเขาใหญ่นั่นเอง คณะเราก็เจอเข้ากับร้าน “Big Mount Bistro & Restaurant” ที่มีพี่หมีตัวใหญ่เวอร์ ! ยืนส่งยิ้มพร้อมแก้วชานมไข่มุกในมือ และด้วยเราที่เป็นทาสชานมไข่มุก.. จึงบังคับให้พี่หันพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าไปทันที

แน่นอนว่าทาสชาไข่มุกอย่างเราจะพลาดเป้าหมายให้เสียเกียรติมิได้ 55555 หลังจากจอดรถ เราก็ตรงดิ่งเข้าร้านเพื่อจะสั่งชานมไข่มุกเย็นๆ หนึ่งแก้วเป็นการเพิ่มระดับบน้ำตาลในเลือดให้ชีวิตกระชุ่มกระชวย แต่ระหว่างที่เรากำลังไล่สายตาอยู่กับเมนู พนักงานก็แนะนำให้เรารู้จักกับเมนูแนะนำของร้าน นั่นก็คือ “ชาเขียวมะลิ” ในใจตอนนั้นเราก็แบบ “ห๊ะ แค่ชาเขียวมะลิอ่ะนะ ..” หลายคนก็คงคิดว่ามันดูธรรมดาเกินกว่าจะมาเป็นเมนูแนะนำใช่ไหมคะ แต่พนักงานก็ยิ้มเหมือนรู้ว่าเราคิดอะไรแล้วพูดต่อว่า “อร่อยมากจริงๆ นะคะ ^^” เราจึงตัดสินใจลองเมนูนี้ตามคำแนะนำของพนักงาน ซึ่งถ้าไม่อร่อย .. เราก็ไม่กล้าทำอะไรพี่เขาอยู่ดีนั้นแหละค่ะ T^T

อย่าดูถูกกกกกก (อันนี้บอกตัวเอง) เพราะเมนูที่คิดว่าธรรมดานี่แหละ ทำให้เรากินเข้าไปถึงสองแก้ว ..
เจ้าชาเขียวมะลิที่เราสั่งเป็นยี่ห้อ Barboobear มันอร่อยและไม่เลี่ยนเหมือนชานม ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมะลิและมันก็เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับชาเขียว ตอนแรกเราคิดว่ามันคงจะรสชาติแปลกๆ ถ้าหากกินกับไข่มุก แต่กลับอร่อยมากเลยแหะ ^^;; ที่ชอบสุดก็คงเป็นไข่มุก เพราะมันเป็นรสสัมผัสที่นุ่มเด้ง ไม่ได้มีแป้งๆ เหมือนบางเจ้าที่เคยกินมา เคี้ยวเพลินมากๆ เราให้สามผ่านค่ะ !

บรรยากาศในร้านถูกตกแต่งด้วยสไตล์ลอฟท์ (Loft Style) ซึ่งส่วนตัวเราค่อนข้างชอบเลยแหละ เพราะมีมุมให้ถ่ายรูปเยอะดี นอกจากชานมไข่มุกแล้วก็มีพวกกาแฟไว้สำหรับนั่งดื่มชิวๆ หรือจะกินคู่กับพวกของหวานอย่างเบเกอรี่ก็ตามแต่สะดวกเลยจ้า

เมื่อซัดชาเขียวมะลิจนหมดแก้ว (ที่สอง) แล้ว เราก็สลับสวิตซ์กระเพาะเข้าสู่โหมดของคาวทันที เนื่องจากตอนเช้าเรายังไม่ได้ทานอะไร ก็เลยตัดสินใจสั่งอาหารมาทาน ซึ่งอาหารที่เป็น Signature ตามที่พนักงานบอกก็คือ “ขาหมูเยอรมัน” และ “Big Mount Zeed” ซึ่งแน่นอนเราก็สั่งตามอย่างว่าง่าย และนอกจากนี้ก็ยังสั่งสปาเก็ตตี้คาโบนาร่า ข้าวผัดกุ้ง พล่าปลาแซลมอน และปีกไก่ทอดน้ำปลา มาตามระดับความหิวค่ะ งั้นต่อมาเราก็ขอรีวิวตามรสชาติที่อยู่ในปากไม่ใช่จากหลักการวิเคราะห์อะไรก็แล้วกันเนอะ ลุย !

เริ่มจากเมนู Signature อันดับหนึ่ง นั่นก็คือ “ขาหมูเยอรมัน” สนนราคาอยู่ที่ 380 บาท ส่วนตัวเป็นคนชอบทานขาหมูเยอรมันอยู่แล้วค่ะ โดยเฉพาะตรงหนังกรอบๆ ยอมรับว่าบางครั้งก็เฟลกับร้านที่ทอดจนน้ำมันเยิ้มคาหนังนะ แต่ร้านนี้เขาทอดออกมาได้ดีเลยค่ะ หนังกรอบแบบไม่อมน้ำมัน เนื้อข้างในก็สุกกำลังดี เราว่าคนสูงอายุก็สามารถทานเนื้อข้างในได้แบบไม่ปวดฟัน ขาหมูกรอบๆ กินคู่กับผักดองที่ให้มาช่วยตัดเลี่ยนได้แบบพอดี เราให้ 9/10 คะแนนเลย ถ้าจะหักคะแนนก็หักตรงที่พี่เรามันดันเทน้ำราดมันบดลงบนขาหมูนี่แหละ บัดโธ่ !

เมนูต่อมาก็ยังคงอยู่ในเมนู Signature นั่นก็คือ “Big Mount Zeed” สนนราคาอยู่ที่ 170 บาท ถ้าอธิบายง่ายๆ ก็คือ เมนูที่เอาเนื้อปลาแซลมอนหั่นเต๋ามายำคู่กับวาซาบิ ซึ่งขอบอกว่าถ้าใครเป็นคนไม่ทานเผ็ดหรือไม่ชอบทานวาซาบิ เราแนะนำให้ข้ามเมนูนี้ไปเลยค่ะ เพราะขนาดเราทานวาซาบิได้ ยังต้านทานเมนูนี้ไม่ค่อยจะไหว เพราะตั้งแต่คำแรกเมนูนี้ก็ทำให้เราทั้งคณะรู้สึกโล่งงงงงงงงจมูกพร้อมพากันทำหน้ากระหือรือ ซึ่งส่วนตัวเราว่ามันอร่อยนะ แต่ถ้าลดวาซาบิลงหน่อยจะดีมากเลย เพราะแต่ละคำเราก็ได้แต่ทำหน้าย่นใส่กัน ทรมานราวกับอมวาซาบิคำใหญ่ เมนูนี้เราเลยให้ 6/10 คะแนน (แค่คิดก็โล่งจมูกแล้ว)

เมนูที่สามเป็น “สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า” (อันนี้เป็นความชอบส่วนตัวของพี่สาวล้วนๆ) สนนราคาอยู่ที่ 120 บาท ส่วนตัวเราว่ามันเหมือนสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าทั่วไปเลยค่ะ ชอบตรงที่ซอสคาโบนาร่าไม่เลี่ยนชีสจนเกินไป เบคอนที่ทอดก็ไม่อมน้ำมันมากจนเกินไป เราให้คะแนน 8/10 จ้า

เมนูที่สี่เป็น “พล่าปลาแซลมอน” สนนราคาอยู่ที่ 170 บาท เราสั่งเมนูนี้มาดามใจเพื่อกลบวาซาบิของ Big Mount Zeed ค่ะ T^T ส่วนตัวเราชอบเมนูนี้ค่ะ เพราะน้ำยำค่อนข้างเข้มข้น เผ็ดกำลังดี ติดตรงที่ออกรสเค็มมากไปหน่อย แต่ถ้าทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ นี่อร่อยกำลังดีเลย เราให้คะแนน 7/10 ค่า

เมนูที่ห้าเป็นเมนูแสนธรรมดาที่ทุกคนบนโต๊ะโปรดปรานนั่นก็คือ “ปีกไก่ทอดน้ำปลา” สนนราคาอยู่ที่ 120 บาท เราว่าออกจะแพงสำหรับปีกไก่ 4 ชิ้นนะ แต่เขาก็ให้ไก่มาชิ้นใหญ่ดีค่ะ รสชาติก็ไก่ทอดเกลือทั่วไป ชอบตรงที่มันไม่อมน้ำมันนี่แหละ เราให้คะแนน 8/10 จ้า

เมนูที่หกเป็น “ข้าวผัดกุ้ง” สนนราคาอยู่ที่ 100 บาท ชอบตรงไม่อมน้ำมันอีกแล้ว (ต้องชมร้านนี้เรื่องเทคนิคการทอดที่ไม่อมน้ำมันจริงๆ) กุ้งตัวใหญ่แต่ให้น้อยค่ะ ... ข้าวร่วนกำลังดี เราให้คะแนน 7/10 จ้า

กินคาวเสร็จก็ต้องต่อด้วยของหวานเพื่อล้างปาก ตาม Concept “กินคาวไม่กินหวานสันดารไพร่” อันที่จริงก็กินตามความยากนั้นแหละค่ะ .. อย่าไปอ้างสุภาษิตเลย =_=;; เราสั่งเมนูของหวานขึ้นชื่อ นั่นก็คือ “ปิงซูเมลอน ออน อ้อนนนน” ราคาอยู่ที่ 199 บาทต่อถ้วย ที่นี่เขาเสิร์ฟมาพร้อมกับเปลือกเมลอนที่ขูดให้เราเลยค่ะ เนื้อเมลอนเยอะมากกก เยอะจนไม่รู้จะเริ่มกินยังไงไม่ให้มันเลอะ .. ด้านบนเป็นไอศกรีมวานิลาลูกใหญ่แต่งด้วยใบโหระพา มีนมข้นเพื่อให้เราเอาไว้ราดเพิ่มความหวานค่ะ สรุปเป็นเมนูของหวานที่ไม่ผิดหวังค่ะ เชื่อว่าสาวๆ หลายๆ คนคงชอบและไม่พลาดที่จะสั่งเมนูนี้ เราให้คะแนน 9/10 เลยยย

จบแล้วสำหรับชั้นล่างของร้าน ชั้นที่สองจะเป็นส่วนของบาร์ที่รวบรวมเบียร์นอกและ Craft Beer ทั้งไทยและเทศไว้ให้คอเบียร์ทั้งหลายได้จิบแบบชื่นอกชื่นใจ (พี่ชายเราดูจะชอบเป็นพิเศษ) ซึ่งคงต้องขอเป็นครั้งถัดไปนะคะ ยังไงถ้าหากการรีวิวครั้งแรกของเรามีข้อผิดพลาดหรือมีคำแนะนำที่อยากจะแนะนำเพิ่มเติม สามารถคอมเม้นต์ได้เลยนะคะ เราพร้อมน้อมรับคำติชม เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขค่ะ ขอบคุณมากค่า ^^

-คอเบียร์อย่าลืมติดตามรีวิวชั้น 2 ของร้านนะคะ-

--------------------------------------------------