มาทำความเข้าใจคำว่า "ละกิเลส" กับ "ดับกิเลส" (2)

กระทู้สนทนา
หากใครที่ยังไม่อ่านกระทู้เดิม ขอให้อ่านก่อนนะครับ มาทำความเข้าใจคำว่า "ละกิเลส" กับ "ดับกิเลส"

ไหนๆ ตั้งกระทู้ขึ้นมาแล้ว ผมขอเสริมถึงการปฏิบัติไปเลยนะครับ อาจจะทำให้เข้าใจเพิ่มมากขึ้น (ว่าการรู้ทันกิเลส เกี่ยวข้องกับการละอกุศลธรรมหรือการละกิเลสอย่างไร)

จากตัวอย่างเรื่องการประชุมในกระทู้ที่แล้ว สมมุติว่ากำลังมีการทะเลาะถกเถียงกันเกิดขึ้น เมื่อมีสติรู้ตัวว่ากำลังทำอกุศลธรรม ก็ให้หยุดการกระทำที่ก่อให้เกิดอกุศลธรรมนั้น เรียกว่า ละอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ให้เกิดขึ้นต่อไป

ซึ่งในการละอกุศลธรรมนี้ จำเป็นต้องอาศัยการปฏิบัติ

แต่อย่าลืมนะครับ จุดประสงค์ของการปฏิบัติ เพื่อไม่ให้กิเลสหรืออกุศลธรรม(ใหม่)เกิดขึ้น ไม่ใช่การดับกิเลสเดิมที่เกิดขึ้นแล้ว (เราไม่ต้องไปดับมัน มันดับของมันเอง) แต่ทั้ง 2 อย่างมีความเกี่ยวข้องกัน เกี่ยวข้องกันอย่างไร ผมขอยกตัวอย่างความโกรธนะครับ

ก่อนอื่น หากเป็นคนทั่วไปที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม รวมถึงผู้ปฏิบัติธรรมจำนวนมาก (อาจจะรวมถึงผมด้วยในอดีต) เมื่อรู้ตัวว่ากำลังมีความโกรธและต้องการที่จะหยุดมัน ก็จะใช้วิธีเปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่นแทน หรือหากิจกรรมอื่นทำ

ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นสมัยเด็กๆ พ่อแม่ก็จะสอนให้นับหนึ่งถึงสิบ บางคนอาจจะเปิดเพลงฟัง ดูหนัง อ่านหนังสือ สวดมนต์ ไหว้พระ ฯลฯ

หรือหากเป็นผู้ปฏิบัติธรรม (บางท่าน ที่จริงน่าจะเป็นส่วนใหญ่) อาจจะใช้วิธีเปลี่ยนมาดูลมหายใจ เพ่งไปที่ปลายจมูก หรือไปนั่งสมาธิ (สมถะ) เลย

ถามว่าทำแบบนี้ได้หรือไม่ สามารถระงับความโกรธได้หรือไม่? คำตอบคือ ได้ครับ

และถ้าจะว่าไปแล้ว การทำแบบนี้ก็คือว่าได้ปฏิบัติตามมรรคข้อที่ 6 คือ สัมมาวายามะ ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ละอกุศลกรรมได้แล้ว

หากเทียบกับศาสนาอื่นๆ อย่างมากที่สุดก็อยู่ตรงจุดนี้

แต่ยังไม่ก้าวไปสู่มรรคข้อที่ 7 คือ สัมมาสติ เป็นขั้นของการเจริญปัญญา ซึ่งมีในศาสนาพุทธเท่านั้น

การดูจิตหรือรู้ทันกิเลส เป็นวิธีการละอกุศลธรรมด้วยวิปัสสนา

เมื่อเรามีสติ รู้ตัวว่ามีความโกรธเกิดขึ้น แทนที่เราจะเปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่น หรือไปทำกิจกรรมอื่น หรือไปเพ่งที่ลมหายใจ เพ่งที่ปลายจมูก ก็เปลี่ยนมาดูเจ้าความโกรธนี้แทน ดูไปซื่อๆ ธรรมชาติมันเป็นอย่างไรก็ดูไปอย่างนั้น

(ผมขอข้ามไม่อธิบายส่วนนี้ อยากให้ฟังครูบาอาจารย์มากกว่า ชัดเจนกว่า อีกทั้งเคยอธิบายไปบ้างแล้วจะยืดยาวไป)

บางท่านอาจจะเกิดคำถามว่า แล้วถ้าเราเปลี่ยนมาดูกายแทน ขยับมือแล้วรู้สึกตัว หรือแม้กระทั่งดูร่างกายมันหายใจ ซึ่งก็เป็นวิปัสสนาเหมือนกัน (กายานุปัสสนา) ทำได้หรือไม่?

คำตอบก็คือ ได้ครับ แต่ก็ถือว่า "เสียของ" เพราะเท่ากับเป็นการเอาความโกรธที่เป็นแบบฝึกหัดที่ดีในการดูจิต (จิตตานุปัสสนา) ทิ้งไป

เวลาที่ไม่มีอารมณ์ใดๆ เกิดขึ้นให้เราดูหรือให้เราฝึก หรือเวลาที่นั่งว่างๆ เราสามารถเจริญกายานุปัสสนาได้ อาจจะขยับมือไปรู้สึกตัวไป ขยับร่างกาย ยืน เดิน นั่ง กินข้าว ฯลฯ

สิ่งใดที่ชัด ให้ดูสิ่งนั้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมอธิบายทั้งหมด เป็นการปฏิบัติธรรมสำหรับปุถุชนคนทั่วไป ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และจุดประสงค์ก็เพื่อทำความเข้าใจให้กับสมาชิกบางท่าน รวมถึงเป็นแนวทางในการฟังธรรมจากครูบาอาจารย์อีกทีนะครับ

ผมเชื่อว่า สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจวิธีปฏิบัติ หลังจากนี้หากได้ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อปราโมทย์เองก็ตาม หรือหลวงพ่อเทียน หลวงพ่อคำเขียน อาจารย์กำพล อาจารย์ธีรยุทธ ฯลฯ จะเข้าใจดียิ่งขึ้น

และหากจับจุดได้ถูกต้อง ก็จะรู้ว่าการปฏิบัติไม่ได้ต่างจากพระอริยะหรือครูบาอาจารย์ท่านอื่นที่ใช้วิธีสอนแบบอื่นเลย เป้าหมายปลายทางเดียวกัน

(ไม่ได้จะเสียดสีนะครับ กระทู้นี้สำหรับปุถุชน และผมแค่ต้องการให้เป็นแนวทางเท่านั้น ดังนั้น หากท่านได้ที่คิดว่าบรรลุธรรมแล้ว หรือเห็นจิตทำงานเองได้แล้ว ขอให้ข้ามกระทู้นี้ไปนะครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่