บทที่ 1
https://pantip.com/topic/36553008
ความดิม
ถ้าสายตาของพวกเขาจะมุ่งร้ายกระหายเลือดอย่างในความฝัน มันคงจะดีกว่าแบบนี้.. อย่างน้อยถ้าคุณถูกมองด้วยสายตาอันมุ่งร้ายหมายขวัญ ยังคงพอแน่ใจว่าพวกเขามีอารมณ์มีชีวิต แต่สายตากำลังที่จับจ้องมาจากทางร้านมันน่ากลัวมากกว่า .. สายตาอันว่างเปล่าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกเหลือเกิน ...คุณจะรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกจ้องมองด้วยสายตาของคนตาย! คนตายที่ยังมีชีวิต!
บทที่ 2
คนตายไร้วิญญาณจำนวนมากกำลังจ้องมองมายังคุณเป็นจุดเดียว เงียบกริบไร้ความรู้สึกมันจะน่าขนลุกเพียงไร สายตาแบบไม่จำเป็นต้องประสงค์ร้าย ไม่ต้องคุกคาม แต่เป็นสายตาว่างเปล่าก็สามารถทำให้ประสาทเย็นเฉียบราวกับมีน้ำแข็งเป็นถังราดลงบนแผ่นหลัง ความว่างเปล่าไร้ชีวิตไม่เคยนึกว่ามันจะน่าสะพรึงกลัวจนทำให้ขนลุกได้ขนาดนี้ ผมหลับตา พยายามคิดว่าตาฝาดไป แต่คลื่นแห่งความหวาดกลัวยังคงวิ่งผ่านความรู้สึกเป็นระยะ ขนลุกเกรียวไล่เป็นละลอกไม่หยุดยั้ง ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองอีก
กลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่เห็นจะไม่ใช่ภาพหลอนหรือตาฝาด กลัวว่าจะมองเห็นนัยน์ตาฉายความว่างเปล่าอันชวนขนลุก ทันใดนั้นเองผมก็เริ่มรู้ซึ้งว่าความกลัวเกิดจากอะไร มันเกิดมาจากความไม่เข้าใจ การอยู่อย่างโดดเดี่ยวในสถานการณ์อันไม่น่าไว้วางใจ ความเงียบ ความมืดและความอ่อนแอหวาดผวา
สูดลมหายใจลึกยาวก่อนลืมตาขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศค่อนข้างเงียบเชียบวังเวงผิดปกติ รถราตามถนนดูเหมือนจะเริ่มลกจำนวนน้อยลง อาคารบ้านเรือนข้างทางส่วนใหญ่ดับไฟมืดทำให้บรรยากาศวังเวงมากขึ้นไปอีก ผมตัดสินใจเดินไปตามทางเท้าระยะหนึ่ง ก่อนตัดสินใจหันกลับไปมองไปยังร้านอาหารอีกครั้งด้วยหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ยังคงมองเห็นชัดเจนเพราะข้างทางเป็นพื้นที่ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ มีเพียงพืชพรรณหลายหลากขึ้นเรียงรายเต็มพื้นที่
ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ... แสงไฟหลากสีหน้าร้านยังคงมองเห็นวับแวมกะพริบเป็นจังหวะ โล่งใจ.....บางทีอาจเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าก็เป็นไปได้ พวกเพื่อนๆคงสนุกสนานอย่างสุดเหวี่ยงกับงานเลี้ยงยังไม่เลิกรา
ที่รัก.... ผมอยากกลับบ้านไปหาคุณเหลือเกิน คุณจะรู้ไหมว่าผมกำลังเดินอยู่บนถนนอย่างอ้างว้างโดดเดี่ยว โทรศัพท์มือถือก็ไม่ได้หยิบติดมือมาด้วย อะไรมันจะซวยซับซวยซ้อนเหลือเชื่อ หรือจะกลับไปขอยืมเพื่อนในร้าน คิดและหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจอีกครั้ง
ในร้านก็มีแต่เพื่อนๆ ที่เจอหน้าเจอตากันทุกวัน ไม่ใช่เอเลี่ยนหรือซอมบี้ภูตผีปีศาจที่ไหน มันคงเป็นเพียงอาการประสาทเสียชั่วคราว ยังได้แว่วเสียงเพลงของคนขี้เมาดังออกมา เสียงพูดคุยไม่ได้ศัพท์ยังดังไม่ขาดระยะแต่ระยะห่างทำให้ไม่สามารถจับใจความอะไรได้ ไม่มีอะไรผิดปกติเลยสักนิด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างควรจะเป็น
นอกจากหน้าต่างด้านข้างร้าน หน้าต่างร้านชั้นบนปกติจะปิดอยู่ แต่ตอนนี้ค่อยแง้มเปิดออกมา เห็นแล้วชวนนึกถึงฝาโลงศพกำลังเปิดออกมาทีละน้อย แสงไฟจากเสาไฟฟ้าข้างถนนแม้จะสลัวและอยู่ไกลพอสมควรก็น่าแปลกใจว่าทำไมจำได้ว่าเป็นสาวเสิร์ฟคนงามอย่างแน่นอน หรืออย่างน้อยก็แน่ใจว่าเป็นเธอ ผู้กำลังทำท่าเปิดหน้าต่างออกมาด้วยสาเหตุอะไรไม่ทราบได้ แต่หลังจากนั้นเธอก็ยืนนิ่ง เหมือนกำลังจ้องมองตามมาด้วยสายตาอันว่างเปล่าแบบเดียวกับสายตาของคนตายอีกแล้ว ถึงจะไม่เห็นชัดเจนแต่ความรู้สึกมันบอกในความรู้สึกชัดเจน
ความรู้สึกบอกตอกย้ำว่าคนตายกำลังจ้องมอง!! ...
ผมรู้สึกใจหวิวขึ้นมาเหมือนคนจะเป็นลม ขนลุกเป็นละลอกไม่หยุดยั้ง เส้นผมบนศีรษะเหมือนตั้งชันราวขนเม่น ความน่าสะพรึงกลัวอันไม่มีเหตุผลก่อตัวขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างยากที่จะยับยั้งและควบคุม เธอขึ้นไปบนชั้นสองทำไมกัน
ไม่..มันก็เพียงเธออาจจะเปิดหน้าต่างออกมารับลมเย็นจากธรรมชาติ ผมต้องคิดไปเอง....พยายามหัวเราะให้กับอาการฟั่นเฟือน แต่ดูเหมือนว่าจะไร้ผล ความคิดจะกลับไปยืมโทรศัพท์จากเพื่อนบินหายไปกับสายลมและความหม่นมัวของค่ำคืน
ขาทั้งคู่สั่นระริก เข่าอ่อนไร้เรี่ยวแรงจนต้องเซซวนพิงหลังเข้ากับเสาไฟฟ้า ผมพยายามตั้งสติและคิดว่ามันก็แค่เป็นผลจากเหล้าที่ดื่มเข้าไป ไม่นานลมเย็นยามราตรีคงช่วยให้อาการเป็นปกติสร่างเมา แล้วจะได้กลับบ้านเสียที ไม่ต้องกลับเข้าไปในร้านอาหารอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม เดินต่อไปเรื่อยคงเจอแท็กซี่สักคันเพื่อจะได้กลับบ้าน คืนนี้เหนื่อยมากแล้ว ผมมองหารถแท็กซี่ แต่นอกจากหมาไร้สังกัดเดินผ่านไปอย่างไร้เดียงสาแบบหมาสองสามตัว และคนเมาตามถนนอีกสองสามคนที่เดินเปะปะเกือบกระแทกผมล้ม พวกเขาพึมพำขอโทษฟังแทบไม่รู้เรื่องก่อนเลี้ยวหายไปในความมืดของซอยเล็กๆข้างตักใหญ่ข้างทาง กลิ่นตัวของพวกเขาเหม็นแปลกๆเหมือนคนเพิ่งตะกายขึ้นมาจากถังปัสสาวะค้างปี
พวกเขาหายไปก่อนจะเปิดโอกาสให้ซักถาม....ช่างหัวมัน.....
ยังไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมาสักคัน
ทางเท้าทอดยาวเหยียดไปเบื้องหน้าสลัวราง แสงจากหลอดไฟตามเสาไฟฟ้าดูหม่นมัวชอบกล แสงสว่างตามอาคารบ้านเรือนและหมู่ตึกลดน้อยลงตามระยะทางการเดินแบบไร้จุดหมาย ลมเย็นยามราตรีหนาวเหน็บและเยือกเย็นราวผัดผ่านมาจากโลกแห่งความตาย หรือไม่ก็หลุมฝังศพอันว่างเปล่า รถราที่เคยเห็นวิ่งผ่านไปมาตลอดเวลา เหลือนานๆครั้งจะผ่านมาให้เห็นสักคัน ถนนทั้งสายตกอยู่ในความเงียบเชียบและอ้างว้างจนน่ากลัว อาคารร้านค้าตามริมถนนส่วนใหญ่ปิดไฟมืดอย่างผิดปกติวิสัย หันไปมองด้านหลังก็พบว่ามองไม่เห็นร้านอาหารอีกต่อไป มันคงไกลเกินไปจนโดนอาคารบ้านเรือนบดบัง
นานสักแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้สัมผัสกับบรรยากาศแห่งความเงียบของท้องถนนยามค่ำคืน นานแค่ไหนกัน.......ช่วงเวลาส่วนนี้หายไปไหน
ดูเหมือนว่าจะมีฝนพรำเบาบาง สัมผัสได้ถึงละอองน้ำฉ่ำเย็นพร่างพรมมากับสายลม อาการมึนเมาดูเหมือนจะลดน้อยลงทำให้เริ่มทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา สายตาอันอ้างว้างว่างเปล่าอันชวนขนลุกของบรรดาเพื่อน มันอะไรกัน... หรือว่าจะเป็นเพียงมายาภาพอันเกิดจากประสาทหลอน
มีเสียงดังเหมือนคนปิดเปิดประตู ..ไม่ใช่... เหมือนคนปิดเปิดหน้าต่างมากกว่า เสียงดังมาจากตึกด้านตรงข้ามของถนน หางตายังคิดว่าเห็นแสงไฟวับแวมหน้าต่างชั้นสองของตึกฝั่งตรงกันข้าม น่าจะเป็นใครบางคนกำลังปิดหน้าต่าง แต่เงาตะคุ่มของคนหลังฉากยังคงเหมือนมีคนยืนอยู่ ถึงมองไม่เห็นแต่จินตนาการกระซิบไม่หยุดยั้งบอกว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองลงมาจากหน้าต่างดำมืดอย่างมีเลศนัย
มันเป็นความรู้สึกอันปะทุมาจากก้นบึ้งแห่งความน่าสะพรึงกลัวเมื่อจินตนาการเห็นรอยเท้าสลับไล่เรียงรายผ่านทางเดินแคบๆเต็มไปด้วยฝุ่นอันเกิดจากการปราศจากความดูแลมานานแสนนาน บ้าเสียจริง ทำไมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปได้ ถ้ามีใครบางคนกำลังวิ่งเตลิดหนีไปตามถนนสายรกร้างมาแสนนาน จินตนาการตามรอยเท้าเปื้อนฝุ่นที่มีความอ้างว้างไปดูล่ะ รู้สึกกับอากาศอันหนักอึ้งจนแทบขาดใจ เงาวูบวาบชั้นบนสร้างบรรยากาศน่าสะพรึงกลัว ผนังปูนแข็งกระด้างยามสัมผัสให้ความรู้สึกเยือกเย็นและเปียกชื้น เมื่อเอาหน้าแนบผนังอันเย็นชืด และหอบหายใจรุนแรงเจียนคลั่งขณะพ่นความหวาดกลัวออกมาทางลมหายใจแทบขาดห้วง ความคิดหลอกหลอนตัวเองผุดโผล่ขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล
ผมสะบัดศีรษะไปมาอย่างแรง รวบรวมสติสุดชีวิต รู้ว่ากำลังจะประสาทแตก รู้ว่าอาการฟุ้งซ่านเพราะความหวาดกลัวเริ่มเข้าครอบงำจิตใจมากขึ้นทุกที พยายามสลัดความคิดอันเริ่มฟุ้งซ่านให้กระเด็นออกจากสมอง แต่แล้วก็อดหันไปมองหน้าต่างปริศนาบานนั้นอีกไม่ได้ทั้งที่ไม่ได้อยากหันไปมองเลยสักนิด
เงาดำลึกลับเหมือนยังคงอยู่หลังหน้าต่าง ไม่ใช่การมองเห็นด้วยสายตา แต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก ดูเหมือนจะมีแสงไฟสว่างเล็กน้อยอยู่ในห้อง
จะเป็นได้ไหมว่าใครบางคนตื่นมาแล้วเปิดหน้าต่างรับลมเย็น หยิบอุปกรณ์ในการแต่งหน้าทาปากตามประสาผู้หญิง ท่ามกลางแสงไฟมัวหม่นและเงียบเหงา มันอาจเป็นไปได้ บางทีอาจเป็นเพียงเปลวเทียนวับแวมแรเงาซีกใบหน้าด้านหนึ่งของเธอให้อยู่ในเงามืด เส้นผมของเธอหลุดร่วงออกมาเป็นม่านแห่งรัตติกาลปลิวหายไปกับสายลมราตรี บางทีศีรษะของเธออาจหลุดกลิ้งไปตามพื้น รอเจ้าชายจับประคองและจูบลงบนริมฝีปากเย็นชืดในรสเลือดเค็มปร่า
คิดบ้าๆ อีกแล้ว...
ผมพยายามหัวเราะ บอกให้ตนเองพยายามยิ้มให้กับความคิดวิปริตของตัวเอง เสียงหัวเราะไม่ได้หลุดออกจากปากแต่มันจมหายไปในความมืดดำภายในจิตใจ บางทีคนเราก็อยากหัวเราะใส่หน้าตัวเอง ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่แค่บังคับริมฝีปากให้ยิ้มยังทำไม่ได้ ความคิดบางอย่างดูเหมือนจะขัดแย้งกับความพยายามอย่างเงียบงันแต่รุนแรง เรื่องน่ากลัวแบบนี้มันไม่มีทางเกิดขึ้นจริง....มันไม่จริง ให้ตายเถอะ...ไม่มีทางเป็นจริง
แต่ถ้าหากมันเป็นเรื่องจริงล่ะ สมมุติว่ามันเป็นเรื่องจริงอย่างที่ประสาทสัมผัสได้ ทันใดนั้นผมก็รู้สึกตัวสั่นระริกขึ้นมาทันที
ลมยามดึกพัดพารวบรวมขยะจำพวกเศษกระดาษเก่าๆ เศษใบไม้ จนเป็นก้อนใหญ่กลมกลิ้งไปตามถนน สายลมพัดผ่านซอกตึกฟังดูเหมือนใครบางคนกรีดร้องโหยหวนยาวนาน ลมกระโชกจนป้ายโฆษณาขนาดใหญ่หน้าร้านแห่งหนึ่งกระแทกผนังปึงปังสะท้านความรู้สึก ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะไปด้วย แผ่นไม้แกว่งไกวไปมาเป็นจังหวะเหมือนมีชีวิต เสียงปิดหน้าต่างดังโครมท่ามกลางความเงียบทำเอาสะดุ้ง ทั้งแสงทั้งเงาประหลาดหายไป ตึกทั้งตึกดูมืดดำเหมือนไม่มีสิ่งชีวิต ทันใดนั้นเองมีเสียงเพลงเก่าๆ จากวิทยุเก่าๆ จากที่ใดที่หนึ่งดังแว่วมาแล้วขาดหายไปโดยกะทันหัน ก่อนมีเสียงครืดคราดคล้ายมีคนพยายามจูนคลื่นหามนุษย์ และตามด้วยเสียงหวิดหวิวของความถี่ซึ่งปราศจากการควบคุม
ไม่...มันต้องเป็นการหลอนจากความเมา ใครๆก็เป็นกันได้ หน้าต่างบานนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ ผมพยายามยิ้มและหัวเราะให้กับตัวเอง เรื่องตลกร้ายน่าขันมากกว่าจะวิตกกังวล ไม่ใช่เรื่องจะไปใส่ใจ... นอนสักตื่นรุ่งเช้าทุกอย่างก็จะเป็นปกติ ตอนสายคงมีเรื่องสนุกเล่าสู่เพื่อนฝูงฟังในช่วงกาแฟก่อนทำงาน มันก็น่าจะจบลงแบบนี้ พวกเขาเป็นเพื่อนผมทั้งนั้น เรื่องทุกอย่างมันควรอธิบายได้
เดินกลับไปร้านอาหาร กลับไปดูให้รู้แน่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น......เป็นความคิดที่ดี.... คนพวกนั้นเป็นอะไรไป หรือว่าผมเป็นอะไรไป...แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็จะมีเพื่อน ไม่ได้อยู่คนเดียวในความอ้างว้างอันชวนขนลุกและความหวาดผวา ผมชะงักเท้า หันกลับไปมองเส้นทางที่เพิ่งเดินผ่านมาเพื่อให้แน่ใจอะไรบางอย่าง
ถนนสายยาวกลืนหายไปในความมืดอย่างน่าประหลาด ถนนดูยาวไกลเหลือเกิน ดูแปลกตาและไม่คุ้นเคย ไม่น่าเชื่อว่าจะเดินมาไกลขนาดนี้ สองเท้าลากผ่านอะไรมาบ้างก็สุดจะหยั่งรู้ แมวข้างถนนตัวหนึ่งขู่คำรามเสียงกราดเกรี้ยวริมถนน ก่อนกระโจนไปแยกเขี้ยวบนกำแพงเก่าๆ ก่อนกระโจนหายไปในความมืด ทำเอาผมสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
.
หลอนวิปลาส.........2
บทที่ 1
https://pantip.com/topic/36553008
ความดิม
ถ้าสายตาของพวกเขาจะมุ่งร้ายกระหายเลือดอย่างในความฝัน มันคงจะดีกว่าแบบนี้.. อย่างน้อยถ้าคุณถูกมองด้วยสายตาอันมุ่งร้ายหมายขวัญ ยังคงพอแน่ใจว่าพวกเขามีอารมณ์มีชีวิต แต่สายตากำลังที่จับจ้องมาจากทางร้านมันน่ากลัวมากกว่า .. สายตาอันว่างเปล่าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกเหลือเกิน ...คุณจะรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกจ้องมองด้วยสายตาของคนตาย! คนตายที่ยังมีชีวิต!
บทที่ 2
คนตายไร้วิญญาณจำนวนมากกำลังจ้องมองมายังคุณเป็นจุดเดียว เงียบกริบไร้ความรู้สึกมันจะน่าขนลุกเพียงไร สายตาแบบไม่จำเป็นต้องประสงค์ร้าย ไม่ต้องคุกคาม แต่เป็นสายตาว่างเปล่าก็สามารถทำให้ประสาทเย็นเฉียบราวกับมีน้ำแข็งเป็นถังราดลงบนแผ่นหลัง ความว่างเปล่าไร้ชีวิตไม่เคยนึกว่ามันจะน่าสะพรึงกลัวจนทำให้ขนลุกได้ขนาดนี้ ผมหลับตา พยายามคิดว่าตาฝาดไป แต่คลื่นแห่งความหวาดกลัวยังคงวิ่งผ่านความรู้สึกเป็นระยะ ขนลุกเกรียวไล่เป็นละลอกไม่หยุดยั้ง ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองอีก
กลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่เห็นจะไม่ใช่ภาพหลอนหรือตาฝาด กลัวว่าจะมองเห็นนัยน์ตาฉายความว่างเปล่าอันชวนขนลุก ทันใดนั้นเองผมก็เริ่มรู้ซึ้งว่าความกลัวเกิดจากอะไร มันเกิดมาจากความไม่เข้าใจ การอยู่อย่างโดดเดี่ยวในสถานการณ์อันไม่น่าไว้วางใจ ความเงียบ ความมืดและความอ่อนแอหวาดผวา
สูดลมหายใจลึกยาวก่อนลืมตาขึ้นอีกครั้ง บรรยากาศค่อนข้างเงียบเชียบวังเวงผิดปกติ รถราตามถนนดูเหมือนจะเริ่มลกจำนวนน้อยลง อาคารบ้านเรือนข้างทางส่วนใหญ่ดับไฟมืดทำให้บรรยากาศวังเวงมากขึ้นไปอีก ผมตัดสินใจเดินไปตามทางเท้าระยะหนึ่ง ก่อนตัดสินใจหันกลับไปมองไปยังร้านอาหารอีกครั้งด้วยหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ยังคงมองเห็นชัดเจนเพราะข้างทางเป็นพื้นที่ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ มีเพียงพืชพรรณหลายหลากขึ้นเรียงรายเต็มพื้นที่
ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ... แสงไฟหลากสีหน้าร้านยังคงมองเห็นวับแวมกะพริบเป็นจังหวะ โล่งใจ.....บางทีอาจเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าก็เป็นไปได้ พวกเพื่อนๆคงสนุกสนานอย่างสุดเหวี่ยงกับงานเลี้ยงยังไม่เลิกรา
ที่รัก.... ผมอยากกลับบ้านไปหาคุณเหลือเกิน คุณจะรู้ไหมว่าผมกำลังเดินอยู่บนถนนอย่างอ้างว้างโดดเดี่ยว โทรศัพท์มือถือก็ไม่ได้หยิบติดมือมาด้วย อะไรมันจะซวยซับซวยซ้อนเหลือเชื่อ หรือจะกลับไปขอยืมเพื่อนในร้าน คิดและหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจอีกครั้ง
ในร้านก็มีแต่เพื่อนๆ ที่เจอหน้าเจอตากันทุกวัน ไม่ใช่เอเลี่ยนหรือซอมบี้ภูตผีปีศาจที่ไหน มันคงเป็นเพียงอาการประสาทเสียชั่วคราว ยังได้แว่วเสียงเพลงของคนขี้เมาดังออกมา เสียงพูดคุยไม่ได้ศัพท์ยังดังไม่ขาดระยะแต่ระยะห่างทำให้ไม่สามารถจับใจความอะไรได้ ไม่มีอะไรผิดปกติเลยสักนิด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างควรจะเป็น
นอกจากหน้าต่างด้านข้างร้าน หน้าต่างร้านชั้นบนปกติจะปิดอยู่ แต่ตอนนี้ค่อยแง้มเปิดออกมา เห็นแล้วชวนนึกถึงฝาโลงศพกำลังเปิดออกมาทีละน้อย แสงไฟจากเสาไฟฟ้าข้างถนนแม้จะสลัวและอยู่ไกลพอสมควรก็น่าแปลกใจว่าทำไมจำได้ว่าเป็นสาวเสิร์ฟคนงามอย่างแน่นอน หรืออย่างน้อยก็แน่ใจว่าเป็นเธอ ผู้กำลังทำท่าเปิดหน้าต่างออกมาด้วยสาเหตุอะไรไม่ทราบได้ แต่หลังจากนั้นเธอก็ยืนนิ่ง เหมือนกำลังจ้องมองตามมาด้วยสายตาอันว่างเปล่าแบบเดียวกับสายตาของคนตายอีกแล้ว ถึงจะไม่เห็นชัดเจนแต่ความรู้สึกมันบอกในความรู้สึกชัดเจน
ความรู้สึกบอกตอกย้ำว่าคนตายกำลังจ้องมอง!! ...
ผมรู้สึกใจหวิวขึ้นมาเหมือนคนจะเป็นลม ขนลุกเป็นละลอกไม่หยุดยั้ง เส้นผมบนศีรษะเหมือนตั้งชันราวขนเม่น ความน่าสะพรึงกลัวอันไม่มีเหตุผลก่อตัวขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างยากที่จะยับยั้งและควบคุม เธอขึ้นไปบนชั้นสองทำไมกัน
ไม่..มันก็เพียงเธออาจจะเปิดหน้าต่างออกมารับลมเย็นจากธรรมชาติ ผมต้องคิดไปเอง....พยายามหัวเราะให้กับอาการฟั่นเฟือน แต่ดูเหมือนว่าจะไร้ผล ความคิดจะกลับไปยืมโทรศัพท์จากเพื่อนบินหายไปกับสายลมและความหม่นมัวของค่ำคืน
ขาทั้งคู่สั่นระริก เข่าอ่อนไร้เรี่ยวแรงจนต้องเซซวนพิงหลังเข้ากับเสาไฟฟ้า ผมพยายามตั้งสติและคิดว่ามันก็แค่เป็นผลจากเหล้าที่ดื่มเข้าไป ไม่นานลมเย็นยามราตรีคงช่วยให้อาการเป็นปกติสร่างเมา แล้วจะได้กลับบ้านเสียที ไม่ต้องกลับเข้าไปในร้านอาหารอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม เดินต่อไปเรื่อยคงเจอแท็กซี่สักคันเพื่อจะได้กลับบ้าน คืนนี้เหนื่อยมากแล้ว ผมมองหารถแท็กซี่ แต่นอกจากหมาไร้สังกัดเดินผ่านไปอย่างไร้เดียงสาแบบหมาสองสามตัว และคนเมาตามถนนอีกสองสามคนที่เดินเปะปะเกือบกระแทกผมล้ม พวกเขาพึมพำขอโทษฟังแทบไม่รู้เรื่องก่อนเลี้ยวหายไปในความมืดของซอยเล็กๆข้างตักใหญ่ข้างทาง กลิ่นตัวของพวกเขาเหม็นแปลกๆเหมือนคนเพิ่งตะกายขึ้นมาจากถังปัสสาวะค้างปี
พวกเขาหายไปก่อนจะเปิดโอกาสให้ซักถาม....ช่างหัวมัน.....
ยังไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมาสักคัน
ทางเท้าทอดยาวเหยียดไปเบื้องหน้าสลัวราง แสงจากหลอดไฟตามเสาไฟฟ้าดูหม่นมัวชอบกล แสงสว่างตามอาคารบ้านเรือนและหมู่ตึกลดน้อยลงตามระยะทางการเดินแบบไร้จุดหมาย ลมเย็นยามราตรีหนาวเหน็บและเยือกเย็นราวผัดผ่านมาจากโลกแห่งความตาย หรือไม่ก็หลุมฝังศพอันว่างเปล่า รถราที่เคยเห็นวิ่งผ่านไปมาตลอดเวลา เหลือนานๆครั้งจะผ่านมาให้เห็นสักคัน ถนนทั้งสายตกอยู่ในความเงียบเชียบและอ้างว้างจนน่ากลัว อาคารร้านค้าตามริมถนนส่วนใหญ่ปิดไฟมืดอย่างผิดปกติวิสัย หันไปมองด้านหลังก็พบว่ามองไม่เห็นร้านอาหารอีกต่อไป มันคงไกลเกินไปจนโดนอาคารบ้านเรือนบดบัง
นานสักแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้สัมผัสกับบรรยากาศแห่งความเงียบของท้องถนนยามค่ำคืน นานแค่ไหนกัน.......ช่วงเวลาส่วนนี้หายไปไหน
ดูเหมือนว่าจะมีฝนพรำเบาบาง สัมผัสได้ถึงละอองน้ำฉ่ำเย็นพร่างพรมมากับสายลม อาการมึนเมาดูเหมือนจะลดน้อยลงทำให้เริ่มทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา สายตาอันอ้างว้างว่างเปล่าอันชวนขนลุกของบรรดาเพื่อน มันอะไรกัน... หรือว่าจะเป็นเพียงมายาภาพอันเกิดจากประสาทหลอน
มีเสียงดังเหมือนคนปิดเปิดประตู ..ไม่ใช่... เหมือนคนปิดเปิดหน้าต่างมากกว่า เสียงดังมาจากตึกด้านตรงข้ามของถนน หางตายังคิดว่าเห็นแสงไฟวับแวมหน้าต่างชั้นสองของตึกฝั่งตรงกันข้าม น่าจะเป็นใครบางคนกำลังปิดหน้าต่าง แต่เงาตะคุ่มของคนหลังฉากยังคงเหมือนมีคนยืนอยู่ ถึงมองไม่เห็นแต่จินตนาการกระซิบไม่หยุดยั้งบอกว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองลงมาจากหน้าต่างดำมืดอย่างมีเลศนัย
มันเป็นความรู้สึกอันปะทุมาจากก้นบึ้งแห่งความน่าสะพรึงกลัวเมื่อจินตนาการเห็นรอยเท้าสลับไล่เรียงรายผ่านทางเดินแคบๆเต็มไปด้วยฝุ่นอันเกิดจากการปราศจากความดูแลมานานแสนนาน บ้าเสียจริง ทำไมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปได้ ถ้ามีใครบางคนกำลังวิ่งเตลิดหนีไปตามถนนสายรกร้างมาแสนนาน จินตนาการตามรอยเท้าเปื้อนฝุ่นที่มีความอ้างว้างไปดูล่ะ รู้สึกกับอากาศอันหนักอึ้งจนแทบขาดใจ เงาวูบวาบชั้นบนสร้างบรรยากาศน่าสะพรึงกลัว ผนังปูนแข็งกระด้างยามสัมผัสให้ความรู้สึกเยือกเย็นและเปียกชื้น เมื่อเอาหน้าแนบผนังอันเย็นชืด และหอบหายใจรุนแรงเจียนคลั่งขณะพ่นความหวาดกลัวออกมาทางลมหายใจแทบขาดห้วง ความคิดหลอกหลอนตัวเองผุดโผล่ขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล
ผมสะบัดศีรษะไปมาอย่างแรง รวบรวมสติสุดชีวิต รู้ว่ากำลังจะประสาทแตก รู้ว่าอาการฟุ้งซ่านเพราะความหวาดกลัวเริ่มเข้าครอบงำจิตใจมากขึ้นทุกที พยายามสลัดความคิดอันเริ่มฟุ้งซ่านให้กระเด็นออกจากสมอง แต่แล้วก็อดหันไปมองหน้าต่างปริศนาบานนั้นอีกไม่ได้ทั้งที่ไม่ได้อยากหันไปมองเลยสักนิด
เงาดำลึกลับเหมือนยังคงอยู่หลังหน้าต่าง ไม่ใช่การมองเห็นด้วยสายตา แต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก ดูเหมือนจะมีแสงไฟสว่างเล็กน้อยอยู่ในห้อง
จะเป็นได้ไหมว่าใครบางคนตื่นมาแล้วเปิดหน้าต่างรับลมเย็น หยิบอุปกรณ์ในการแต่งหน้าทาปากตามประสาผู้หญิง ท่ามกลางแสงไฟมัวหม่นและเงียบเหงา มันอาจเป็นไปได้ บางทีอาจเป็นเพียงเปลวเทียนวับแวมแรเงาซีกใบหน้าด้านหนึ่งของเธอให้อยู่ในเงามืด เส้นผมของเธอหลุดร่วงออกมาเป็นม่านแห่งรัตติกาลปลิวหายไปกับสายลมราตรี บางทีศีรษะของเธออาจหลุดกลิ้งไปตามพื้น รอเจ้าชายจับประคองและจูบลงบนริมฝีปากเย็นชืดในรสเลือดเค็มปร่า
คิดบ้าๆ อีกแล้ว...
ผมพยายามหัวเราะ บอกให้ตนเองพยายามยิ้มให้กับความคิดวิปริตของตัวเอง เสียงหัวเราะไม่ได้หลุดออกจากปากแต่มันจมหายไปในความมืดดำภายในจิตใจ บางทีคนเราก็อยากหัวเราะใส่หน้าตัวเอง ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่แค่บังคับริมฝีปากให้ยิ้มยังทำไม่ได้ ความคิดบางอย่างดูเหมือนจะขัดแย้งกับความพยายามอย่างเงียบงันแต่รุนแรง เรื่องน่ากลัวแบบนี้มันไม่มีทางเกิดขึ้นจริง....มันไม่จริง ให้ตายเถอะ...ไม่มีทางเป็นจริง
แต่ถ้าหากมันเป็นเรื่องจริงล่ะ สมมุติว่ามันเป็นเรื่องจริงอย่างที่ประสาทสัมผัสได้ ทันใดนั้นผมก็รู้สึกตัวสั่นระริกขึ้นมาทันที
ลมยามดึกพัดพารวบรวมขยะจำพวกเศษกระดาษเก่าๆ เศษใบไม้ จนเป็นก้อนใหญ่กลมกลิ้งไปตามถนน สายลมพัดผ่านซอกตึกฟังดูเหมือนใครบางคนกรีดร้องโหยหวนยาวนาน ลมกระโชกจนป้ายโฆษณาขนาดใหญ่หน้าร้านแห่งหนึ่งกระแทกผนังปึงปังสะท้านความรู้สึก ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะไปด้วย แผ่นไม้แกว่งไกวไปมาเป็นจังหวะเหมือนมีชีวิต เสียงปิดหน้าต่างดังโครมท่ามกลางความเงียบทำเอาสะดุ้ง ทั้งแสงทั้งเงาประหลาดหายไป ตึกทั้งตึกดูมืดดำเหมือนไม่มีสิ่งชีวิต ทันใดนั้นเองมีเสียงเพลงเก่าๆ จากวิทยุเก่าๆ จากที่ใดที่หนึ่งดังแว่วมาแล้วขาดหายไปโดยกะทันหัน ก่อนมีเสียงครืดคราดคล้ายมีคนพยายามจูนคลื่นหามนุษย์ และตามด้วยเสียงหวิดหวิวของความถี่ซึ่งปราศจากการควบคุม
ไม่...มันต้องเป็นการหลอนจากความเมา ใครๆก็เป็นกันได้ หน้าต่างบานนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ ผมพยายามยิ้มและหัวเราะให้กับตัวเอง เรื่องตลกร้ายน่าขันมากกว่าจะวิตกกังวล ไม่ใช่เรื่องจะไปใส่ใจ... นอนสักตื่นรุ่งเช้าทุกอย่างก็จะเป็นปกติ ตอนสายคงมีเรื่องสนุกเล่าสู่เพื่อนฝูงฟังในช่วงกาแฟก่อนทำงาน มันก็น่าจะจบลงแบบนี้ พวกเขาเป็นเพื่อนผมทั้งนั้น เรื่องทุกอย่างมันควรอธิบายได้
เดินกลับไปร้านอาหาร กลับไปดูให้รู้แน่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น......เป็นความคิดที่ดี.... คนพวกนั้นเป็นอะไรไป หรือว่าผมเป็นอะไรไป...แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็จะมีเพื่อน ไม่ได้อยู่คนเดียวในความอ้างว้างอันชวนขนลุกและความหวาดผวา ผมชะงักเท้า หันกลับไปมองเส้นทางที่เพิ่งเดินผ่านมาเพื่อให้แน่ใจอะไรบางอย่าง
ถนนสายยาวกลืนหายไปในความมืดอย่างน่าประหลาด ถนนดูยาวไกลเหลือเกิน ดูแปลกตาและไม่คุ้นเคย ไม่น่าเชื่อว่าจะเดินมาไกลขนาดนี้ สองเท้าลากผ่านอะไรมาบ้างก็สุดจะหยั่งรู้ แมวข้างถนนตัวหนึ่งขู่คำรามเสียงกราดเกรี้ยวริมถนน ก่อนกระโจนไปแยกเขี้ยวบนกำแพงเก่าๆ ก่อนกระโจนหายไปในความมืด ทำเอาผมสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
.