หลอนวิปลาส.........1

กระทู้สนทนา
เรื่องนี้ เป็นเรื่องสั้นขนาดยาว ที่ข้าพเจ้ารักที่สุดเรื่องหนึ่ง
นำมาขัดแกลา ตกแต่ง แล้ว... เพียงหากมีร่องรอยขรุขระ รอดสายคา
ท่านสามารถแนะนำชี้แนะได้ เต็มที่ มิต้องเกรงใจ ใดๆ  เด้อ....ขอบคุณล่วงหน้าครับผม
ยินดีรับคำชี้แนะด้วยความยินดีทุกประการ


...




             จิตแพทย์วัยกลางคนนั่งแทะเล็มความคิดของตัวเองอยู่ในห้องอย่างไม่รีบร้อน เพราะรู้ว่าความคิดของตัวเองไม่มีวันหนีหายไปไหน  บันทึกของคนไข้ทางจิตหลายเล่มวางอยู่บนโต๊ะอย่างไม่เป็นระเบียบ  โครงการแจกสมุดบันทึกให้คนไข้ระดับไม่เป็นอันตรายเขียนบันทึกเรื่องราวของตัวเองเป็นไปด้วยดี  บันทึกเหล่านั้น  นอกจากจะนำไปใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในงานวิจัยเพื่อเป็นข้ออ้างในการขึ้นเงินเดือนให้กับตัวเอง แล้วยังอ่านสนุกนั่งลุกสบาย เรื่องบางเรื่องมีแต่คนบ้าเท่านั้นจะเขียนออกมาได้  บางเรื่องก็มีแต่คนบ้าเท่านั้นจะอ่านรู้เรื่อง


             เสียงเครื่องบินกระหึ่มนอกหน้าต่าง เขาหันไปมองอย่างรำคาญ เครื่องบินลำใหญ่อุ้ยอ้ายราวคนท้องแก่บินผ่านท้องฟ้าบนยอดตึกไปอย่างช้าๆ คุณหมอนึกถึงคนอุ้มท้องใกล้คลอดทันที ทำไมต้องบินผ่านแถวนี้ด้วย เครื่องบินท้องแก่คลอดลูกกลางอากาศ  ออกมาเป็นลูกเครื่องบินลำเล็กๆน่ารัก...จะน่าดูขนาดไหนกัน... คุณหมอนึกในใจ แต่ก็พยายามไม่สนใจการสิ่งรบกวนภายนอก

             หยิบบันทึกแบบมั่วๆ ขึ้นมาเล่มหนึ่งโดยไม่สนใจว่าคนบ้าหน้าไหนจะเป็นคนเขียน  มองดูนาฬิกาติดผนัง เวลายังพอมี คุณหมอเอนหลังพิงเก้าตัวนุ่มก้นนุ่มหลังพลิกอ่านแบบไม่รีบร้อน เผื่อจะได้ข้อมูลดีๆ มาประกอบงานวิจัยบ้าง



             ความจริงอยากจะแนะนำตัวสักนิดว่าผมใจจริงแล้วไม่ได้เชื่อถือเทพเจ้าองค์ไหน  ไม่เคยเชื่อพระจิต พระบุตร  บาปบุญ ศาสดา  บาปกรรม    นรก  สวรรค์ หรืออะไรก็ตาม เพราะไม่เคยมีใครตอบข้อสงสัยของผมได้ จะว่าไปแล้วผมไม่เชื่อแม้แต่ความจริง ความฝัน หรือความทรงจำ  เพราะไม่มีอะไรต่างกันเลย ต่อให้คุณมีความทรงจำวิเศษขนาดไหนสุดท้ายมันก็กลายเป็นความว่างเปล่า เหมือนใบไม้ที่ล่องลอยไปตามสายธารแห่งกาลเวลา แล้วคุณจะยึดเหนี่ยวว่า ใบไม้เป็นตัวตนของคุณที่ติดไหลไปในอดีตกับกาลเวลาหรืออย่างไร  ไม่...คุณยังไม่ต้องติดเรื่องพวกนี้ ฟังเรื่องราวของผมดีกว่า


             ก่อนผมจะถูกส่งมาที่นี่ ผมมีภรรยาแสนสวยและแสนดี …หมายความว่าอย่างนั้นแน่นอน  จนทำให้ไม่จำเป็นต้องอิจฉามนุษย์หรือเทวดาหน้าไหน... ถ้าจะอิจฉาใครสักคนก็คงต้องอิจฉาตัวเอง   เราสองคนพบกันโดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อนในงานเลี้ยงของบริษัท เพียงครั้งแรกเมื่อสบตากัน ผมก็รู้ว่าเราต่างเกิดมาเพื่อกันและกัน  ไม่มีคำอธิบายเป็นอื่น หลังจากงานแต่งงานแบบเรียบง่ายเท่าที่จะทำได้ ครอบครัวของเราก็เริ่มต้นขึ้น  และความผิดปกติอันน่าสะพรึงกลัวก็เริ่มต้นขึ้นเช่นกันราวกับว่ามันรอเวลาและโอกาสอันเหมาะสมของมันเอง

             พวกเราไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยขัดใจกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีจนไม่อยากเชื่อ คุณเองก็คงไม่เชื่อว่าคนสองคนอยู่ด้วยกันจะไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกันเลย...ทุกอย่างดูดีเหลือเกิน  ...  คุณจึงไม่รู้ว่าชีวิตแบบนั้นมันดีงดงามขนาดไหน จะพูดไปคุณก็ไม่รู้อยู่ดี บางทีเพราะอะไรมันดีเกินไปนี่เอง อาจทำให้ผมดูแปลกไปในสายตาของเพื่อนๆ งานที่รับผิดชอบเริ่มมีความผิดพลาดมากขึ้น  ก็แน่ละ... ระยะหลังผมเอาจิตใจทุ่มเทให้กับเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาเลิกงานอย่างใจจดใจจ่อ ก็เพียงแค่จะรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด

             มีใครบ้างล่ะ ไม่อยากกลับไปหาครอบครัวแสนดี

             ถ้าคุณมีคนรักแสนสวยวิเศษและแสนดีสุดแสน คุณก็คงจะคิดเหมือนผมเช่นกัน ชีวิตและหน้าที่การงานมีหรือจะมีความสุขมากไปกว่าการเผ่นกลับบ้าน เพื่อพบกับคนรักผู้รอคอยอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส วงแขน รอยยิ้ม และจุมพิตต้อนรับอันแสนหวาน ขี้คร้านจะทำให้คุณไม่อยากออกจากบ้านไปไหนเลย ทุกอย่างสุขสมบูรณ์แบบจนน่าอิจฉา แล้วคุณจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้

             แต่แล้วก็มีวันหนึ่งความผิดพลาดก็เกิดขึ้นจนได้ หัวหน้าฝ่ายและบรรดาเพื่อนฝูงทั้งหลายทั้งปวงพอเลิกงาน  พากันรวมตัวลากคอผมให้ไปงานเลี้ยงของบริษัทที่จัดขึ้น งานเสแสร้งเหลือเกิน เพื่อแสดงความยินดีในเรื่องอะไรก็คร้านจะจดจะจำ พวกเขาดูท่าทางสาแก่ใจและมีความสุข ในการบังคับให้ผมดื่มเครื่องมึนเมาแก้วแล้วแก้วเล่า  ให้ตาย....มันบ้ายิ่งกว่าบ้า...

             “ให้เวลากับเพื่อนฝูงบ้างสิ”  

             “งานคืองาน...เมียคือเมีย”

             ข้ออ้างของพวกมัน ก็แน่ล่ะ พวกเขาไม่มีคนรักสุดวิเศษอย่างผมนี่นา เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของผู้คนรอบข้างดูเหมือนเย้ยหยันเสแสร้งไร้ความจริงใจ  ทำให้เวียนหัวจนอยากจะอาเจียนออกมาเป็นใบหน้าคนพวกนั้นให้สาแก่ใจ  พนักงานสาวสวยดูแลโต๊ะผู้คอยบริการรินเครื่องดื่มก็ดูน่าเกลียดน่าชังเสียจริง นัยน์ตาแพรวพราวไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเยือกเย็น  ปากทาสีแดงจนเหมือนเพิ่งดื่มเลือดมาใหม่ๆ ก็จ้อเจรจาอย่างไร้ความหมาย กลิ่นควันบุหรี่อบอวลทั่วห้องวีไอพี บางคนแหกปากหอนเพลงคาราโอเกะด้วยท่าทางเหมือนจะสำลักไมโครโฟน นรกชัดๆ  เธอกำลังคิดหรือต้องการอะไรกันแน่

             ทำอย่างไรดี ถึงจะหนีไปคนพวกนี้ได้นะ ผมพยายามคิดหาทางออก  ห้องน้ำ.. จะต้องอ้างว่าเข้าห้องน้ำ แล้วขึ้นรถแท็กซี่หนีกลับบ้าน วิธีง่ายๆ แต่ได้ผลเสมอ  ผมลุกขึ้นและออกปากขอตัวออกจากกลุ่มเพื่อนฝูง

             ให้ตาย....!

            คุณจะเชื่อไหมว่าทุกคนหยุดพูดหยุดคุย !..ไม่น่าเชื่อ...   ทุกคนในร้านก็พากันชะงักค้างเงียบกริบ  หันมามองเป็นตาเดียวเหมือนนัดกันไว้  ราวพากันจะรู้ว่าผมจะหาทางกลับบ้าน   อาการของคนในร้านทำให้ผมรู้สึกอยากจะอาเจียนด้วยความขนลุกกับความไม่น่าเป็นไปได้  อะไรกัน.... ดูเหมือนว่าพวกเขาพวกเธอทุกคนกำลังรวมตัวกันวางแผนนรกแตกอะไรสักอย่าง ที่ยังทายไม่ออกบอกไม่ถูก อาการนิ่งเงียบแบบพร้อมเพรียงกันและสายตาประหลาดราวมีอำนาจหรือมนตร์สะกดลี้ลับอันน่าสะพรึงกลัวทำให้ขนลุก

            หัวหน้าของผมเป็นชายวัยกลางคน แต่ดูหน้าตาของเขาน่าเกลียดน่ากลัวเหลือเกิน  รอยยิ้มเดือดพล่านบนใบหน้าบิดเบี้ยวของเขา ดูไปก็เหมือนกับเป็นการแสยะปากอย่างเสแสร้งมากกว่า  ผิดจากเจ้านายใจดีในบริษัทลิบลับ

             “นายจะหนีกลับบ้านก็บอกมาเถอะ....”    เขาจ้องหน้ามองด้วยสายตาอสรพิษ เขม็งตาพลางเอ่ยขึ้นมาเหมือนกันรู้ทันความคิดของผม

             “จะกลับก็ควรบอกเพื่อนฝูงกันดีๆ ไม่ควรจะหนีกลับเฉยๆ”

             “เปล่าครับ....” ผมตอบเสียงอึกอักเพราะไม่ถนัดในการโกหกมนุษย์ อยากหนีออกไปจากงานเลี้ยงบ้าบอคอแตกเหลือเกิน ความจริงผมควรจะตอบโต้รุนแรงสักครั้ง การรักษาความสุภาพมากเกินไปบางครั้งทำให้เหมือนเป็นการอ่อนแอ

             “แกโกหก...”    เสียงใครคนหนึ่งสวนคำขึ้นมา ในขณะผมเริ่มมึนงงและตกตะลึงกับเหตุการณ์อันไม่คาดคิด คนพวกนี้เป็นเพื่อนจริงหรือเปล่า   ทำไมตั้งหน้าตั้งตาจองล้างจองผลาญอย่างน่ากลัวเหลือเกิน

             “จะกลับไปหาแฟนคนดีที่หนึ่งของนายล่ะสิ”

             “เห็นแฟนดีกว่าเพื่อนนี่นา”

             “แบบนี้ต้องสั่งสอน”

            “ฆ่ามันเลย...”

            “เฮ้ย....”     ผมร้องเสียงหลงกับประโยคสุดท้าย มันชักจะล้อเล่นกันแรงมากเกินไป แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเสริมให้สิ่งที่พากันพูดออกมาเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น   เริ่มพากันคว้าสิ่งของที่พอจะทำเป็นอาวุธขึ้นมาจากโต๊ะ ไม่ว่าจะเป็นช้อน ส้อม ตะเกียบ มีดหั่นเนื้อ  ผมลุกขึ้นถอยหลังกรูดอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นแทบหายเมาเป็นปลิดทิ้ง ไม่เพียงแต่โต๊ะประธานงานเลี้ยงเท่านั้น โต๊ะตัวอื่นๆ ในร้านก็พากันเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน เริ่มลุกขึ้นและเดินตรงมายังผมเป็นจุดเดียว มีทั้งเด็ก ผู้หญิง หรือแม้กระทั่งคนแก่ สีหน้าท่าทางของพวกเขาจริงจังและกระหายเลือด  ไม่ใช่เรื่องเล่นเสียแล้ว

             แผ่นหลังผมปะทะเข้ากับใครสักคน พอหันไปมองก็เห็นพนักงานสาวดูแลโต๊ะ กำลังยิ้มตาลุกวาว เป็นประกายน่ากลัว  อกนุ่มนวลของเธอไม่ได้ทำให้การปะทะอิ่มเอิบซาบซ่านแต่ประการใด เพราะมือขวาของเธอกำมีดหั่นเนื้อเงื้อขึ้นสุดแขน

             “จะไปไหนคะที่รัก คุณยังไม่จ่ายเงินเลยนะคะ”

              เสียงหวานใสและรอยยิ้ม ไม่เข้ากันเลยกับอาการจ้วงแทงมีดหั่นเนื้อเข้าเต็มซอกคอของผม คมมีดร้อนผ่าวและความเจ็บปวดปะทุพร้อมเพรียงกัน เสียงคมมีดปักผ่านเนื้อดังถนัดชัดหู เป็นครั้งแรกในการสัมผัสได้ถึงการถูกแทงด้วยมีด ริมฝีปากแดงของเธอดูเหมือนจะแสยะยิ้มชยายกว้างมากขึ้นทุกที จนทุกสิ่งทุกอย่างอาบเลือดไปจนหมดสิ้น ได้ยินเสียงตัวเองร้องสุดเสียงสีแดงของเลือดแผ่ขยายเต็มไปหมดในความรู้สึก


             “เป็นอะไรไปวะ เมาจนหลับแล้วจู่ๆแหกปากร้องทำซากอะไร”

             เสียงตะโกนจนแสบแก้วหู ผมผวาขึ้นมาปากอ้าตาค้างและมึนงง  ก่อนจะพบว่าตัวเองยังนั่งอยู่ในงานเลี้ยง บรรดาขี้เมาทั้งหลายทั้งปวงกำลังหลับหูหลับตาพูดคุยเสียงดังแข่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยไม่สนใจว่าจะมีคนฟังหรือไม่ บางคนก็กำลังตั้งหน้าตั้งตาจีบเด็กเสิร์ฟแบบลืมเมียลืมตาย บางโต๊ะกำลังแหกปากร้องเพลงที่ฟังดูแล้วไพเราะกว่าหมาหอนนิดหน่อย  ผิดคีย์ผิดจังหวะไปตามประสาคนเมา เหตุการณ์เมื่อครู่มันเป็นเพียงความฝันเท่านั้นหรือ ความเจ็บอันเกิดจากการถูกแทงยังระริกไหวอยู่ซอกคอทำให้ยกมือลูบบริเวณที่ถูกแทงในความฝันโดยไม่รู้ตัว ไม่มีบาดแผลหรือรอยเลือด..แน่ล่ะ ก็มันเป็นเพียงความฝัน

             “สงสัยเมาล่ะสิ”   เสียงของหัวหน้าอันฟังดูเต็มไปด้วยความห่วงไยตามแบบฉบับของหัวหน้าที่ดี ไม่มีแววแห่งความอำมหิตเลือดเย็นจนน่าสยดสยองอย่างเมื่อครู่แม้แต่น้อย

             “จะให้เรียกแท็กซี่ให้ไหม หรือจะให้ไปส่งบ้าน”    เสียงเพื่อนรักทั้งหลายต่างพากันรุมล้อมด้วยความเป็นห่วง

             “หรือจะให้หนูไปส่งก็ได้นะคะ”

              เสียงสาวเสิร์ฟคนสวยผู้เพิ่งจ้วงแทงผมเมื่อครู่ เธอดูหวานทั้งตาทั้งตัวอย่างไม่น่าเชื่อ กระดุมเม็ดบนสุดของเสื้อรัดรูปหลุดออกอย่างไร้เดียงสา เผยให้เห็นเนินอกอวบอิ่มขาวผ่องเสื้อแทบปริ   แต่เมินเสียเถอะ..สู้คนรักผู้รอคอยอยู่บ้านไม่ได้หรอก ผมส่ายหน้าปฏิเสธกับทุกคนทุกความเห็น ก่อนขอตัวเดินออกมานอกร้านอาหารซึ่งตั้งอยู่ริมถนน คงไม่ยากในการจะหารถแท็กซี่สักคันกลับบ้าน แต่อะไรบางอย่างรบกวนจิตใจเหลือเกิน ความฝันอันน่ากลัวทำให้รู้สึกเหมือนคนกำลังจะสติแตก

             บนถนนยังมีรถราวิ่งผ่านมาไม่ขาดสาย แต่ยังไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมาสักคัน หันไปมองในร้านเป็นครั้งสุดท้าย นึกอยากขอโทษเพื่อนเพราะไม่ได้อยู่ร่วมงานจนเลิก แต่ทันใดนั้น โลกเหมือนหยุดนิ่งกะทันหัน  ผมเพิ่งสังเกตได้ว่าคนในร้านกำลังจ้องมองมายังผมเป็นจุดเดียว! บางคนออกมาชะโงกอยู่หน้าประตู บางคนเฝ้ามองจากหน้าต่างเห็นเงาดำตะคุ่ม

             ถ้าสายตาของพวกเขาจะมุ่งร้ายกระหายเลือดอย่างในความฝัน มันคงจะดีกว่าแบบนี้.. อย่างน้อยถ้าคุณถูกมองด้วยสายตาอันมุ่งร้ายหมายขวัญ ยังคงพอแน่ใจว่าพวกเขามีอารมณ์มีชีวิต แต่สายตากำลังที่จับจ้องมาจากทางร้านมันน่ากลัวมากกว่า .. สายตาอันว่างเปล่าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกเหลือเกิน ...คุณจะรู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกจ้องมองด้วยสายตาของคนตาย!

             คนตายที่ยังมีชีวิต!




....
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่