ตั้งหลักชีวิต เมื่ออายุ 35 เพราะตัดความคิดเรื่องชาติหน้าทิ้งไป

ผมเป็นคนหนึ่ง ที่ตั้งแต่อายุ 0-35  ประสบปัญหาการเงินมาโดยตลอด

อาจจะเป็นเพราะดวงชะตา หรือเพราะความรู้ อุปนิสัย ของตนเองก็ตาม

หลายครั้ง อ่านหนังสือ สร้างกำลังใจหลายๆ เล่ม
ก็ฮึดสู้ขึ้นมาพักหนึ่ง
แล้วก็มอดดับไป  จำเจอยู่กับสิ่งเดิมๆ

ตอนที่แย่สุด อายุ 30 กว่า รายได้ไม่พอใช้
เลี้ยงพ่อแม่ไม่ได้  เลี้ยงลูกเมียไม่ได้
เลี้ยงตัวเอง ยังแทบไม่ได้

เคยคิดยอมแพ้แล้วในชาตินี้  ขอไปทดแทนทุกคนในชาติหน้า
คิดแบบนี้มานานแสนนาน

จนวันหนึ่ง ถึงจุดต่ำสุด เคยท้อจนอยากดับชีวิตตัวเอง
ไปว่ากันใหม่ restart ใหม่ ชาติต่อไป
ตอนนั้นทำงานกลางคืน  อธิษฐานขอเจอสิ่งลี้ลับ ทั้งวอนขอ ทั้งท้าทาย แต่ไม่เคยเจอ  
คิดว่า ถ้าเจอ จะได้เชื่อว่าชาติหน้ามีจริง  แล้วจะได้ลาจากชาตินี้ไปซะ

ไปในที่ซึ่งคนเขาว่ากันว่ามีสิ่งลี้ลับ บ้านร้าง คอนโดร้าง ป่าลึก
แต่ก็ไม่เจอสักที  จนผ่านไปหลายปี  ก็ยังไม่เคยสัมผัสอะไรได้
จึงตัดสินใจว่า  ถ้าอย่างนั้น ถ้าชาติหน้ามันไม่มีจริง  เราจะ restart มันก็ไม่ได้

พ่อแม่ของเรา จะไปตอบแทนชาติหน้าก็ไม่ได้  (ถ้าชาติหน้าไม่มี  จะมีโอกาสแค่ชาตินี้)
ลูกเมียของเราอีก  และชีวิตเราด้วย  ถ้ามันมีแค่นี้  ยอมแพ้ไปก็คือสูญสลายกลายเป็นผงขี้เถ้า

เกิดเสียดายขึ้นมา
จริงๆ แล้ว ชาติหน้าอาจจะมี  เลยแบ่งความเชื่อเป็น 80/20
หมายถึง ทำชีวิตชาตินี้ให้ดีที่สุด 80%  แล้วอีก 20%  ทำเผื่อไปชาติหน้า
(ถ้ามี จะได้มีบุญไว้รองรับ  ถ้าไม่มี จะได้ไม่เสียดายนัก)

นับจากวันนั้น วันที่จัดระบบความเชื่อใหม่
หันกลับมามองคนรอบตัว ครอบครัว คนที่เรารัก
เลยมีพลังฮึดสู้ขึ้นมาใหม่ได้    
แต่ก่อนทำอะไรผิดพลาด  ก็ยอมแพ้  ถอนตัว  หมกตัวในผ้าห่ม หนีความจริง
เปลี่ยนมาเป็น ผิดก็ไม่เป็นไร  มันไม่มีชาติหน้าให้แก้ตัว
มีแต่วันนี้ พรุ่งนี้ ช่วงเวลาใกล้ๆ ให้แก้ตัว
ทำอะไรแย่ๆ ลงไป  พรุ่งนี้ต้องทำใหม่ให้ดีขึ้น

นับจากนั้นมา  การงานก็เริ่มดีขึ้น  ชีวิตเริ่มอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น
จนตอนนี้  ย่างเข้าหลักสี่ของชีวิต  มีรายได้หกหลักต่อเดือน
กลับมาดูแลตัวเองและคนรอบตัวได้ในปัจจุบัน

จึงเข้ามาโพสต์แชร์แนวคิดนี้ไว้  เป็นแนวเทียบสำหรับบางคนที่คิดจะไปสู้ต่อในชาติหน้าครับ  
ว่าการคิดแบบนี้ จะทำให้เราย่ำอยู่กับที่ และทอดทิ้งความสำคัญของชาตินี้ไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่