My Journey Record Milan Italy

บันทึกการเดินทาง (My Journey Record) Milan Italy
ได้ยินเรื่องราวกิตติศัพท์ของแก็งค์มิฉาชีพที่เมืองมิลานใน Pantip จึงทำให้นึกถึงการเดินไปเยือนมิลานจึงอยากจะบันทึกเรื่องราวการเดินทางเท่าที่จำได้ในประเทศนี้ เมืองนี้ซักหน่อย… หลังจากเครื่องบินลงจอดที่สนามบินอะไรซักที่ในเมืองมิลาน เมื่อลงจอดเรียบร้อยแล้วก็จัดแจงส่งตั๋วรถเข้าเมืองที่ถูกส่งมาในอีเมลหลังจากได้ทำการจองตั๋วล่วงหน้าจากที่ กทม สิ่งแรกที่นึกถึงคือจะเข้าเมืองยังไงแม้จะมีตั๋วรถบัสเข้าเมืองแล้วก็ตาม แต่ไม่ได้ทำการบ้านเรื่องเดินทางเข้าเมืองมาเพียงแต่จองตั๋วไว้เฉยๆแต่ไม่รู้ว่ารถบัสมันจะจอดตรงไหนเหมือนอย่างที่ Stockholm หลังออกนอกประตูสนามบินออกมาก็เจอะรถบัสที่จะเข้าเมืองพอดี โชคดีมากๆไม่ต้องเอ่ยปากถามใครให้เมื่อยปาก เมื่อยมือ ก่อนจะขึ้นรถไปก็กลับมาดูผู้ให้บริการรถบัสว่าตรงกับตั๋วที่เรามีหรือไม่ เมื่อตรงแล้วก็ปรี่เข้าไปก็ยื่นโทรศัพท์ให้เจ้าหน้าที่สแกนบาร์โค๊ด แล้วก็ขึ้นรถเตรียมเดินทางเข้าเมือง การเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองใช้เวลานานพอสมควร เนื่องจากการจราจรที่ติดขัด บวกกับฝนที่ตกปรอยๆ ระหว่างทางก็เปิด Map ไปที่พักว่าเหลืออีกไกลไหม รถบัสวิ่งมาใกล้ๆกลับที่พักแต่ไม่สามารถลงได้เนื่องจากรถไม่จอดและไม่รู้จะพูดกับคนขับว่าอย่างไร I need down here ? นางจะรู้เรื่องไหม? ดูปฎิกริยาจากคนบนรถไม่เห็นมีผู้คนจะลงก็เข้าใจเองว่ามันน่าจะจอดที่เดียวไม่เหมือนกับตอนนั่ง Flybussana ที่ Oslo ที่คนขับจะบอกเราว่าลงที่นี่นะแล้วเดินไปทางนั้นแต่ที่นี่มิลานต่างกัน จนรถวิ่งมาเรื่อยๆจนห่างจากที่พักไปหนึ่งโล สองโลจนมาถึง Central Station รถก็จอดให้ผู้คนลง ดูเหมือนทุกคนจะลงที่ป้ายนี้ทั้งหมด ระหว่างกำลังลงรถก็มีร่มยืนใหม่กริปอยู่ในห่อยื่นมาให้ "นึกในใจรถบัสนี่ดีเว้ยมีบริการร่มให้ด้วย นึกคิดในใจเรานี้จองตั๋วแต่ละที่คุ้มๆทั้งนั้นเลย ระหว่างจะยื่นมือไปรับก็ได้ยินเสียงที่ส่งออกมาซึ่งยังไม่ทันจะยืนมือไปรับร่มก็ชะงัก " 10 นีโร" เดาๆว่าน่าจะ 10 ยูโร เท่านั้นก็ชักมือกลับ No thanks พี่มืดยืนงงทำไมมันชะงักมือออก แล้วเดินลงหยิบกระเป๋าอันหนักมากและมาหาที่หลบฝนหยิบร่มที่เตรียมมาจากกรุงเทพขึ้นมากางแทน พี่มืดก็เข้าใจชาวเอเซียสองคนได้ทันที ระหว่างนั้นก็ต้องรีบๆเดินให้ห่างจากพี่มืด เพราะตอนนั้นฝนตกและมืดแล้วกลัวพี่มืดจะเปลี่ยนจากขายร่มเป็นปล้นเอา เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย ระหว่างทางก็หยิบมือถือมาเชคระยะทางไปโรงแรมที่พักว่าห่างกันไกลไหม ดูคราวๆจากจุดที่ยืนอยู่ไป รร. ห่างกัน 2 กิโล จัดแจงเรียก Uber เชคราคาค่าโดยสารที่ Uber ประมาณมาให้ประมาณ 12 euro ถามเพื่อนร่วมเดินทางว่าจะขึ้น Uber ไปไหม ประมาณสามร้อยกว่าบาทไทยหาร 2 ก็ตกคนละร้อยกว่าบาทซึ่งก็คุ้มกับเป้ที่แบกมา 15 กิโลอยู่บนหลัง และฝนที่ตกปรอยๆกับอากาศที่หนาวเย็น ... จากนั้นก็เรียก Uber แต่ดันเจอตัวคูณ 3 ซึ่งจะทำให้ค่ารถแพงมากกับระยะทาง 2 กิโล เลยตัดสินใจเดิน ก็ได้แต่ปลอบๆเพื่อนว่าเดินอีกไม่ไกลเดี๋ยวก็ถึงโรงแรมแล้ว แต่จริงๆเหลืออีกเป็นกิโล ซึ่งก็กัดฟันเดินบ้างพักบ้างในบ้านเมืองที่เราไม่เคยมาไม่คุ้นเคย ไม่รู้จักผู้คนในยามวิกาล มืดๆฝนตกพรำๆ ไอ้ครั้นจะไปขึ้นรถเมล์ก็ไม่รู้ขึ้นยังไง รู้ว่าสายไหนผ่านแต่ไม่รู้ซื้อตั๋วยังไง เพราะคิดว่าคงเหมือนกับ Stockholm ที่จะไม่ขายตั๋วบนรถ ถ้าไม่มีตั๋วอาจโดนปรับเสียเงินโดยใช่เหตุ คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจเดินต่อไป ฝนตกพร่ำๆ บูทหนังเริ่มเปียกแล้วก็เริ่มหนัก ระหว่างทางก็ต้องมองสิ่งรอบข้างกลัวที่สุดคือโจรมุมตึก เพราะระหว่างที่เดินมันมืดแล้วผู้คนเริ่มเข้าที่พักกันหมดแล้ว แต่ดันมีชาวเอเชีย 2 คนสะพายเป้ใบใหญ่เดินตากฝนกันอย่างไม่ลดละจนมาถึงหน้าโรงแรม ก็โล่งใจอย่างน้อยคืนแรกในมิลาน เราสองคนปลอดภัยไม่โดนปล้น ไม่หลงทาง จะหลงได้อย่างไรเรามี GPS นำทางตลอด เดินยังไงก็ไม่มีหลงนอกจากจับสัญญานไม่ได้  ถึงโรงแรมเรา Check-in พนักงานฟร้อนของโรงแรมก็ขอพาสปอร์ต พร้อมอธิบายต่างๆนานาฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง สำเนียงภาษาอังกฤษนางเหน่อๆอิตาเลี่ยนมาเลย ฟังแล้วก็อดขำกับเพื่อนไม่ได้ ได้แต่อมยิ้มกัน เมื่อถึงห้องพัก ห้องที่เราพักกันเป็นแบบ 4 เตียงนั่นก็หมายความต้องมีคนอื่นพักด้วยแน่นอน มันก็ดีอย่างที่เราจะได้คุยกับนักเดินทางเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีความเป็นส่วนตัว ไอ้ครั้นจะไปนอนโรงแรมแพงๆแต่เราไม่มีเวลาอยู่ในโรงแรมซักเท่าไหร่ทำไมเราต้องจ่ายแพงอีก คิดได้ดังนั้นก็จองโรงแรมถูกๆนี่หละ ตกหัวละ 1500 ถึง 2000 มั้งจำไม่ได้ เมื่อเปิดเข้าห้องพักสิ่งแรกที่เจอคือ ทำไมเตียงเรามันเหมือนยังมีคนนอนอยู่ข้าวของต่างๆยังกองอยู่ จึงถ่ายรูปแล้วลงไปถามฟร้อนเชิงตำหนิว่าเอาเตียงที่มีคนอยู่ให้เราได้อย่างไรพร้อมโชวรูปให้นางดู นางเชคจากคอมแล้วยืนยันว่าเตียงนั้นว่างไม่มีคนแน่นอน แต่อาจเป็นได้ว่าคนก่อนที่ check-out ออกไปอาจจะไม่ได้เก็บของไป ซึ่งเราก็ถามยืนยันกับนางอีกทีว่าชัวร์นะ จากนั้นก็ถามว่าจะให้เราทำยังไงกับของที่มันอยู่บนเตียง “มันก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วจะ” เรากลับมาเชคที่เตียงและคิดว่าจะจัดการกลับผ้าปู ผ้าห่ม หมอนยังไงดี มองไปรอบๆเห็นมีเตียงว่างอยู่ ตอนแรกก็ว่าจะไปนอนเตียงนั้นแต่กลัวมีปัญหาเวลามีคนเข้ามาพักเพิ่มขี้เกียจย้ายไปย้ายมาเดี๋ยวจะพาลไม่หลับเอาเปล่าๆเหนื่อยมาทั้งวัน ทั้งไฟท์กับกราวด์สายการบินที่ปรากกว่าจะจัดการได้กว่าจะแบกเป้เดินหาโรงแรมได้ เหนื่อยจนไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับใครอีก ขณะนั้นเป็นเวลา 3 ทุ่มที่มิลานเมืองไทยก็ประมาณตีสามซึ่งปกติตอนอยู่ต่างประเทศจะนอนกันตอนหกโมงเย็นแล้วตื่นราวๆตีสอง Time Diff ใช้กับเราไม่ได้ หลังจากโยนข้าวของต่างๆบนเตียงไปไว้ในเตียงที่ว่างอยู่ในก็คิดว่าไอ้เตียงที่ว่างนั่นน่าจะมีคนอยู่แต่น่าจะย้ายมานอนเตียงเรา แต่ในเมื่อทางโรงแรมกำหนดมาให้เราแบบนี้ก็ต้องแบบนี้จะมาย้ายกันได้ยังไงวุ่นวายออก หลังจัดข้าวของเสร็จอาบน้ำกินข้าวเสร็จก็ปาเข้าไป 5 ทุ่มนอนๆหลับไปซักพักประมาณตี 2 สมาชิกในห้องก็กลับมาแล้วสะกิดเราบอกนี่เตียงฉันนะ เลยถามนางไปว่าคุณแน่ใจเหรอว่านี่ใช่เตียงคุณฉันคิดว่าไม่นะ นี่เตียงฉันกำลังจะโชวหลักฐาน นางก็ตัดบทพร้อมกลับไปนอนเตียงบนตามที่นางจองมาหลับไปได้อีกหน่อยก็ตี 4 เมืองไทยก็น่าจะราวๆ 10 เช้าต้องตื่นแล้วสิ…..
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่