
"หนูขอทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับคุณยายคะ"
ก่อนจะไปถึงหัวข้อที่อยากมาแชร์ในวันนี้ ยายขอแนะนำตัวก่อน ด้วยสมการง่าย ดังนี้
ยาย = MT = คนเขียนเองจ้า
ทุกคนที่ได้ยิน เวลายายพูดคุยเล่าเรื่องต่าง ๆ แล้วแทนตัวว่า ยายอย่างนั้นยายอย่างนี้ ก็จะสงสัย แล้วทำไมต้องเป็น"ยาย" ด้วยอะ ยายเองก็เพิ่งได้มานั่งทบทวนเหมือนกันก่อนที่จะลงมือเขียน Blog ว่า เออ ทำไมอะ? พอจะได้เหตุผลเป็นข้อๆประมาณนี้
1. เวลาเรียกแทนตัวเองว่า "ยาย" มันมีความสุขยังไงก็บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าเล่าอะไรไปยิ้มไป มันคล่องปาก
2. ยายชอบพี่ป๋อมแป๋ม เทยเที่ยวไทยมาก เป็นไอดอล คนแรกๆเลย (ปล. ยายมีไอดอลหลายคน คงจะได้กล่าวถึงใน Blog ต่อๆไป) ซึ่งเผอิญว่า ทุกคนก็เรียกพี่ป๋อมแป๋มว่า "ยาย" เหมือนกัน
3. ยายมีความชอบ ลักษณะคำพูด เหมือนคนรุ่นก่อน เช่น ชอบทานข้าวกับน้ำพริก ไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ กิจกรรมแต่งหน้าภาวนา และที่สำคัญเพื่อนๆของยาย รุ่นอายุ 50 ขึ้นทั้งนั้น ^_^ เหมือนคำพังเพยที่ยายฟังมาจากท่าน ว.วชิรเมธี ว่า กินของขม ชมเด็กสาว ชอบเล่าความหลัง ถ้าใครมีครบ สามข้อนี้ละก็รุ่นเดียวกับยายแล้วละ
4. เหตุผลสุดท้าย ยายขอระลึกถึง คุณยายผู้ส่งต่อสายเลือดการเล่าเรื่องนู้นนี้อย่างสนุกสนานและมีความสุขให้ (อย่างที่ยายได้เขียนไว้ใน Blogแรก)
เอาเป็นว่ายายชอบทึกทัก ทำความรู้จักหาเรื่องคุยกับคนโน่นคนนี้ไปทั่ว วันนี้ยายจะคุยเรื่องที่เพิ่งได้ฟังมาเมื่อวานแล้วประทับใจมาก และที่สำคัญยายคิดว่าเป็นประโยชน์ไม่มากก้อน้อยต่อคนที่จะได้อ่านเรื่องนี้
จุดเริ่มต้นของคำสัญญา บ้านริมคลอง จังหวัดสุพรรณบุรี หลังจากคุณยายเสียไปประมาณ 1 ปี เป็นการกลับไปส่งส่วย*ให้คุณลุงและคุณป้าประจำทุกเดือนเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่คุณยายยังมีชีวิตอยู่ ช่วงกลางดึก รู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาเห็นคุณยายนั่งอยู่ในมุ้งข้างๆตัว ตกใจนิดนึงแต่รู้ว่าเป็นความฝันจึงยิ้มได้ คุณยายยิ้มกว้างกลับมาอย่างใจดีด้วยรอยยิ้มที่คุ้นเคยเหมือนทุกครั้ง คือ ฟันขาว-ดำ รอยน้ำหมากเปื้อนริมฝีปากจางๆ เลยนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงเริ่มถามคำถามที่อยากรู้มานาน "คุณยายสบายดีใช่ไหมคะ...ที่ที่คุณยายอยู่เป็นยังไง...คุณยายมีความสุขใช่ไหม...ที่หนูทำบุญให้คุณยายได้รับใช่ไหมคะ...อ้อ! แล้วคุณยายเจอกับคุณตาไหมคะ" คุณยายยิ้มนิ่ง ไม่ได้ตอบคำถามสักข้อ ได้แต่ยิ้มและมองมาด้วยสายตาที่อ่อนโยน
ภาพในอดีตย้อนกลับมาให้เห็นเหมือนเป็นฉากละคร คุณยายท่านเป็นคนกินหมาก แถมพูดเก่ง เล่าเก่ง ชอบคุยเรื่องนู้นนี้ หัวเราะเสียงดังใสไปเจ็ดบ้านแปดบ้าน (อันนี้คุณตาบอก >_< ) ตอนแกเล่าเรื่องและหัวเราะอย่างออกรสน้ำหมากสีแดงเข้มก็จะกระเด็นกระดอนระดับหนึ่ง นี้ก็เป็นสาเหตุแรกที่เราไม่ชอบคุยกันคุณยาย และอีกสาเหตุที่ส่วนตัวรู้สึกไม่อยากคุยกับแกในเวลานั้น คือ แกชอบแสดงความรักกับหลานด้วยการกอดแน่นๆ รั้งตัวไม่ให้ไปไหนและหอมแก้มแรง ๆ ด้วยความคิดถึง จนหน้าแดงไปเสี้ยวหนึ่งจากน้ำหมากของแก ในเวลาลูกหลานไปเยี่ยมคุณยายจะดีใจมาก แต่ที่ดีใจมากกว่าน่าจะเป็นคุณตาเพราะแกจะได้นั่งจักตอกไม้ไผ่ สานกระบุง ตระกร้า ตะข้อง สุ่ม ไซ ฯลฯ ที่แกชอบที่ใต้ถุนบ้านอย่างสงบโดยที่คุณยายจะไม่มานั่งตรงระเบียงเพื่อเล่าเรื่องเดิมๆด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมให้ใครสักคน คือ คุณตา ฟัง (^_^) ปกติของเด็กๆเราก็จะเอาแต่เล่นอย่างเดียวพอเห็นท่าทีคุณยายอ้าปากปุ๊ปก็วิ่งลงเรือนไปหาที่เล่นซนใต้ถุนปั๊ป ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็จับกลุ่มคุยกันอยู่ในครัวมุงจากที่แยกจากเรือนอยู่ทางด้านหลังแทน ดังนั้น คุณยายก็จะใช้มีอุบายโดยท่านจะออกมานั่งที่กลางชานบ้านและเริ่มคุยเรื่องนู้นนี้ด้วยเสียงอันดังเพื่อให้ได้ยินทั่วกันทุกคนอย่างเท่าเทียม
เมื่อเริ่มโตเลิกวิ่งเล่น เรียนจบ ทำงานแล้ว เรื่องราวก็ยังคงเป็นอย่างนี้อยู่ทุกครั้งไปที่กลับไปส่งส่วย* มันเกิดเป็นความเคยชินที่ว่ากลับไปที่บ้านริมคลองก็จะเจอคุณยาย คุณลุง คุณป้า รออยู่เสมอ (คุณตาท่านเสียชีวิตไปก่อนตั้งแต่เราเรียนอยู่) เราจึงเลือกที่จะก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ เล่นคอมพิวเตอร์ มันสนุกมากกว่าที่จะไปนั่งพูดคุยกับคุณยาย เป็นไหน ๆ
ภาพอดีตสิ้นสุดลงแค่นั้น แล้วก็มีคำตอบหนึ่งแจ่มชัดเข้ามาในความคิด ว่า เวลานี้ไม่ใช่เวลาตอบคำถามหรือพูดคุยอะไรกันอีก เวลานั้นได้ผ่านไปแล้วและจะไม่มีอีกต่อไป

ตอนนั้นเหมือนมีก้อนอะไรมาติดที่คอ น้ำตาเอ่อขึ้นมา มันเป็นความเศร้าที่เกิดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม เงียบไปสักอึดใจ ความคิดบางอย่างก็แวบเข้ามา จึงบอกกับคุณยายไปว่า
“หนูทราบในสิ่งที่คุณยายจะสอนแล้วคะ หนูจะไม่รออะไรแล้ว ไม่อายที่จะลงมือทำในสิ่งอยากและสมควรทำ หนูขอสัญญาว่าจะเล่าเรื่องนี้กับทุกคนให้มากที่สุดเท่าที่หนูจะทำได้คะ หนูรู้ว่าคุณยายรู้แล้ว แต่หนูอยากบอกในสิ่งที่หนูละเลยที่จะทำในเวลานั้น เพราะคิดว่ายังมีเวลาเสมอ...หนูรักคุณยายคะ”
ความฝันจบลง ตื่นลืมตาขึ้นมาในขณะที่น้ำตาไหลอาบสองแก้ม และสะอื้นอยู่ นี้ก็คือ ที่มาของ เรื่อง “คำสัญญาจากความฝัน” คะ
อย่าอายที่จะกล่าวขอบคุณ / ขอโทษ โดยเฉพาะกับคนใกล้ชิด จงบอกรักกับทุกคนในทุกครั้งที่คุณรู้สึก การทำสิ่งเหล่านี้เพื่อตัวเราเองไม่ใช่เพื่อการได้รับคำตอบที่คาดหวังหรือการตอบแทนใดๆ จากผู้อื่น ยายหวังว่าคนที่ได้อ่านเรื่องนี้ อย่าให้ความรู้สึกเล็กน้อยยับยั้งในการที่จะลงมือทำทุกสิ่งทันที นะคะ
ขอผลบุญที่ได้จากการถ่ายทอดเรื่องนี้ ส่งถึงคุณตา คุณยาย คะ
*MT , ส่วย หมายถึง การเอาเงินเดือนไปให้ และเอาหน้าไปให้เห็น ซึ่งจะมีผลพลอยได้ คือ การกินข้าว 2 จาน ต่อ มื้อ และของกินเต็มรถที่ต้องขนกลับมาแจก เพราะเยอะจนกินไม่ทัน , (22/5/2017)
คำสัญญาจากความฝัน
ก่อนจะไปถึงหัวข้อที่อยากมาแชร์ในวันนี้ ยายขอแนะนำตัวก่อน ด้วยสมการง่าย ดังนี้
ยาย = MT = คนเขียนเองจ้า
ทุกคนที่ได้ยิน เวลายายพูดคุยเล่าเรื่องต่าง ๆ แล้วแทนตัวว่า ยายอย่างนั้นยายอย่างนี้ ก็จะสงสัย แล้วทำไมต้องเป็น"ยาย" ด้วยอะ ยายเองก็เพิ่งได้มานั่งทบทวนเหมือนกันก่อนที่จะลงมือเขียน Blog ว่า เออ ทำไมอะ? พอจะได้เหตุผลเป็นข้อๆประมาณนี้
1. เวลาเรียกแทนตัวเองว่า "ยาย" มันมีความสุขยังไงก็บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าเล่าอะไรไปยิ้มไป มันคล่องปาก
2. ยายชอบพี่ป๋อมแป๋ม เทยเที่ยวไทยมาก เป็นไอดอล คนแรกๆเลย (ปล. ยายมีไอดอลหลายคน คงจะได้กล่าวถึงใน Blog ต่อๆไป) ซึ่งเผอิญว่า ทุกคนก็เรียกพี่ป๋อมแป๋มว่า "ยาย" เหมือนกัน
3. ยายมีความชอบ ลักษณะคำพูด เหมือนคนรุ่นก่อน เช่น ชอบทานข้าวกับน้ำพริก ไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ กิจกรรมแต่งหน้าภาวนา และที่สำคัญเพื่อนๆของยาย รุ่นอายุ 50 ขึ้นทั้งนั้น ^_^ เหมือนคำพังเพยที่ยายฟังมาจากท่าน ว.วชิรเมธี ว่า กินของขม ชมเด็กสาว ชอบเล่าความหลัง ถ้าใครมีครบ สามข้อนี้ละก็รุ่นเดียวกับยายแล้วละ
4. เหตุผลสุดท้าย ยายขอระลึกถึง คุณยายผู้ส่งต่อสายเลือดการเล่าเรื่องนู้นนี้อย่างสนุกสนานและมีความสุขให้ (อย่างที่ยายได้เขียนไว้ใน Blogแรก)
เอาเป็นว่ายายชอบทึกทัก ทำความรู้จักหาเรื่องคุยกับคนโน่นคนนี้ไปทั่ว วันนี้ยายจะคุยเรื่องที่เพิ่งได้ฟังมาเมื่อวานแล้วประทับใจมาก และที่สำคัญยายคิดว่าเป็นประโยชน์ไม่มากก้อน้อยต่อคนที่จะได้อ่านเรื่องนี้
จุดเริ่มต้นของคำสัญญา บ้านริมคลอง จังหวัดสุพรรณบุรี หลังจากคุณยายเสียไปประมาณ 1 ปี เป็นการกลับไปส่งส่วย*ให้คุณลุงและคุณป้าประจำทุกเดือนเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่คุณยายยังมีชีวิตอยู่ ช่วงกลางดึก รู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาเห็นคุณยายนั่งอยู่ในมุ้งข้างๆตัว ตกใจนิดนึงแต่รู้ว่าเป็นความฝันจึงยิ้มได้ คุณยายยิ้มกว้างกลับมาอย่างใจดีด้วยรอยยิ้มที่คุ้นเคยเหมือนทุกครั้ง คือ ฟันขาว-ดำ รอยน้ำหมากเปื้อนริมฝีปากจางๆ เลยนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงเริ่มถามคำถามที่อยากรู้มานาน "คุณยายสบายดีใช่ไหมคะ...ที่ที่คุณยายอยู่เป็นยังไง...คุณยายมีความสุขใช่ไหม...ที่หนูทำบุญให้คุณยายได้รับใช่ไหมคะ...อ้อ! แล้วคุณยายเจอกับคุณตาไหมคะ" คุณยายยิ้มนิ่ง ไม่ได้ตอบคำถามสักข้อ ได้แต่ยิ้มและมองมาด้วยสายตาที่อ่อนโยน
ภาพในอดีตย้อนกลับมาให้เห็นเหมือนเป็นฉากละคร คุณยายท่านเป็นคนกินหมาก แถมพูดเก่ง เล่าเก่ง ชอบคุยเรื่องนู้นนี้ หัวเราะเสียงดังใสไปเจ็ดบ้านแปดบ้าน (อันนี้คุณตาบอก >_< ) ตอนแกเล่าเรื่องและหัวเราะอย่างออกรสน้ำหมากสีแดงเข้มก็จะกระเด็นกระดอนระดับหนึ่ง นี้ก็เป็นสาเหตุแรกที่เราไม่ชอบคุยกันคุณยาย และอีกสาเหตุที่ส่วนตัวรู้สึกไม่อยากคุยกับแกในเวลานั้น คือ แกชอบแสดงความรักกับหลานด้วยการกอดแน่นๆ รั้งตัวไม่ให้ไปไหนและหอมแก้มแรง ๆ ด้วยความคิดถึง จนหน้าแดงไปเสี้ยวหนึ่งจากน้ำหมากของแก ในเวลาลูกหลานไปเยี่ยมคุณยายจะดีใจมาก แต่ที่ดีใจมากกว่าน่าจะเป็นคุณตาเพราะแกจะได้นั่งจักตอกไม้ไผ่ สานกระบุง ตระกร้า ตะข้อง สุ่ม ไซ ฯลฯ ที่แกชอบที่ใต้ถุนบ้านอย่างสงบโดยที่คุณยายจะไม่มานั่งตรงระเบียงเพื่อเล่าเรื่องเดิมๆด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมให้ใครสักคน คือ คุณตา ฟัง (^_^) ปกติของเด็กๆเราก็จะเอาแต่เล่นอย่างเดียวพอเห็นท่าทีคุณยายอ้าปากปุ๊ปก็วิ่งลงเรือนไปหาที่เล่นซนใต้ถุนปั๊ป ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็จับกลุ่มคุยกันอยู่ในครัวมุงจากที่แยกจากเรือนอยู่ทางด้านหลังแทน ดังนั้น คุณยายก็จะใช้มีอุบายโดยท่านจะออกมานั่งที่กลางชานบ้านและเริ่มคุยเรื่องนู้นนี้ด้วยเสียงอันดังเพื่อให้ได้ยินทั่วกันทุกคนอย่างเท่าเทียม
เมื่อเริ่มโตเลิกวิ่งเล่น เรียนจบ ทำงานแล้ว เรื่องราวก็ยังคงเป็นอย่างนี้อยู่ทุกครั้งไปที่กลับไปส่งส่วย* มันเกิดเป็นความเคยชินที่ว่ากลับไปที่บ้านริมคลองก็จะเจอคุณยาย คุณลุง คุณป้า รออยู่เสมอ (คุณตาท่านเสียชีวิตไปก่อนตั้งแต่เราเรียนอยู่) เราจึงเลือกที่จะก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ เล่นคอมพิวเตอร์ มันสนุกมากกว่าที่จะไปนั่งพูดคุยกับคุณยาย เป็นไหน ๆ
ภาพอดีตสิ้นสุดลงแค่นั้น แล้วก็มีคำตอบหนึ่งแจ่มชัดเข้ามาในความคิด ว่า เวลานี้ไม่ใช่เวลาตอบคำถามหรือพูดคุยอะไรกันอีก เวลานั้นได้ผ่านไปแล้วและจะไม่มีอีกต่อไป
“หนูทราบในสิ่งที่คุณยายจะสอนแล้วคะ หนูจะไม่รออะไรแล้ว ไม่อายที่จะลงมือทำในสิ่งอยากและสมควรทำ หนูขอสัญญาว่าจะเล่าเรื่องนี้กับทุกคนให้มากที่สุดเท่าที่หนูจะทำได้คะ หนูรู้ว่าคุณยายรู้แล้ว แต่หนูอยากบอกในสิ่งที่หนูละเลยที่จะทำในเวลานั้น เพราะคิดว่ายังมีเวลาเสมอ...หนูรักคุณยายคะ”
ความฝันจบลง ตื่นลืมตาขึ้นมาในขณะที่น้ำตาไหลอาบสองแก้ม และสะอื้นอยู่ นี้ก็คือ ที่มาของ เรื่อง “คำสัญญาจากความฝัน” คะ
อย่าอายที่จะกล่าวขอบคุณ / ขอโทษ โดยเฉพาะกับคนใกล้ชิด จงบอกรักกับทุกคนในทุกครั้งที่คุณรู้สึก การทำสิ่งเหล่านี้เพื่อตัวเราเองไม่ใช่เพื่อการได้รับคำตอบที่คาดหวังหรือการตอบแทนใดๆ จากผู้อื่น ยายหวังว่าคนที่ได้อ่านเรื่องนี้ อย่าให้ความรู้สึกเล็กน้อยยับยั้งในการที่จะลงมือทำทุกสิ่งทันที นะคะ
ขอผลบุญที่ได้จากการถ่ายทอดเรื่องนี้ ส่งถึงคุณตา คุณยาย คะ
*MT , ส่วย หมายถึง การเอาเงินเดือนไปให้ และเอาหน้าไปให้เห็น ซึ่งจะมีผลพลอยได้ คือ การกินข้าว 2 จาน ต่อ มื้อ และของกินเต็มรถที่ต้องขนกลับมาแจก เพราะเยอะจนกินไม่ทัน , (22/5/2017)