บทที่ 1
https://pantip.com/topic/36531396
ตอนเช้าของวันร้อนอบอ้าว....ตลาดสดของเมืองนี้ถึงจะไม่คึกคักดั่งหลายเดือนก่อน แต่ถึงอย่างไรธุรกิจก็ต้องดำเนินต่อไป เจ้าของร้านอย่างน้อยยังมีสีหน้าท่าทางดีกว่าลูกค้ามากมายนัก แม้บางคนจะเปลี่ยนจากขายไก่ย่างตัวใหญ่มาเป็นโครงไก่ จากปลาตัวโตมาเป็นโครงปลาทอดกรอบ จากร้านอาหารตามสั่งมาเป็นร้านอาหารตามใจคนขาย ข้าวมันไก่เปลี่ยนมาขายข้าวมันหมู ต้มยำทะเลมาเป็นต้มยำเกลือ
ด้านเหนือของตลาดมีคันดินอยู่แห่งหนึ่งสำหรับกั้นน้ำหลากเข้าท่วมตลาด ยามนี้ปรากฏเงาร่างคนผู้หนึ่งขึ้นอย่างเงียบงัน คนผู้นี้ยังมาไม่ถึงรังสีเร้นลับชนิดหนึ่งแผ่ซ่านมาก่อน
ผู้คนที่กำลังสาละวนอยู่กับภารกิจของตนจู่ ๆ รู้สึกขนลุกเกรียวดั่งมีตัวบุ้งกำลังคืบคลานอยู่ต้นคอ ลางสังหรณ์เช่นนี้มิใช่เรื่องดีเด็ดขาด พวกมันหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ
"เฒ่าสามบาท..."
ใครคนหนึ่งหลุดปากออกมาอย่างตื่นตระหนกเสียงนั้นไม่ดังนัก แต่คล้ายสายฟ้าฟาดใส่จิตวิญญาณผู้คน พวกมันชิงเคลื่อนไหวสับสน ตลาดความจริงมีคนน้อยอยู่แล้วถึงกับไร้ผู้คนภายในพริบตา เวลาในการเก็บดอกเบี้ยของเฒ่าสามบาทมาถึงแล้ว เสียงดังสวบ...สวบ..ของรองเท้าหนังย่ำใกล้เข้ามาแต่ละก้าวดั่งเหยียบใส่จิตใจผู้คนประหนึ่งกลองเพลกำลังถูกกระหน่ำด้วยไม้ตี
เฒ่าสามบาทดูไปแทบเป็นยมทูตกำลังคุกคามเอาชีวิตมนุษย์ ร้านค้าแรกที่มันมาถึงเป็นร้านขายเป็ดย่างของ "เฒ่าเป็ดย่าง" เมื่อครู่คิดว่ามีคนอยู่ในร้านหลายคน ยามนี้กลับรกร้างว่างเปล่าจนแทบจะมองเห็นหยากไย่ ฝุ่นเกาะตามโต๊ะ เก้าอี้ บนโต๊ะมีจาน ป้านสุรา วางอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ เป็ดย่างบางชิ้นยังมีฟันปลอมติดอยู่ดั่งเจ้าของรีบร้อนจนลืมเก็บไปด้วย
เฒ่าสามบาทกวาดตามองวูบหนึ่ง ในที่สุดแค่นเสียงอย่างหยามหยัน
"เฒ่าเป็ดย่าง...ออกมาพบกับเรา"
ในร้านเงียบงัน แต่คล้ายมีเสียงลมหายใจหนักหน่วง เฒ่าสามบาทคงมีสีหน้าเฉื่อยชาดังเดิม มันเพียงก้าวเข้าไปสามก้าว มือขวาล้วงเข้าไปในแขนเสื้อด้านซ้าย เพียงมันชักมือออกมา ประกายปังตอไร้เงาจะพวยพุ่งออกมาทันที เป็ดย่างสามสี่ตัวแขวนอยู่บนราวหน้าร้านจะถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ท่าทีของมันบอกเช่นนั้น
"อย่า...อย่าสับเป็ดของเรา..."
เฒ่าเป็ดย่างลนลานคลานออกมาจากกาละมังใบเขื่องด้านข้าง ใบหน้าแตกตื่นเหงื่อชุ่มโชกดั่งฝนซัด
ควรทราบว่า "เฒ่าเป็ดย่าง" ชีวิตมันรู้จักเพียงเป็ดย่าง เรื่องอื่นมันไร้เดียงสาไปจนหมดสิ้น เป็ดย่างจะกรอบ อร่อย นุ่ม หอมหวนเพียงใด นอกจากน้ำจิ้มแล้ว การสับเป็ดเป็นสิ่งหนึ่งที่มีผลต่อรสชาติของเป็ด การสับเป็ดมิใช่เรื่องล้อเล่น ดังนั้นเฒ่าเป็ดย่างจึงเคยไปฝึกวิชาการสับเป็ดย่างอยู่กับยอดฝีมือเจ็ดปี มันทราบว่าส่วนใดของเป็ดย่างมี่ควรสับให้ชิ้นเล็ก ปานกลาง ใหญ่ ใหญ่พิเศษ หนาบาง สับแนวตรง แนวเฉียง แนวทแยง สับช้า เร็ว แรง ค่อย อย่าว่าแต่เพียงเวลาเปลี่ยนไป การสับ เป็ดต้องพลิกแพลงไปตามความชื้น อุณหภูมิ ค่าของเงิน สภาพทางการเมือง ดินฟ้าอากาศ เพศ วัย อารมณ์ ของลูกค้า เหล่านี้มีผลต่อการสับเป็ดทั้งสิ้น..เหล่านี้มันรู้ลึกซึ้งที่สุด
ท่านสามารถตบตี ด่าทอ แย่งชิงภรรยาของมัน แต่ไม่อาจสับเป็ดของมันเด็ดขาด
เป็ดข้า ใครอย่าสับ !
คนทุกคนมีเรื่องที่ตนเองภาคภูมิใจ หยิ่งทระนง ผู้อื่นมิอาจล่วงเกิน ต่อให้ผู้อื่นเห็นว่าเหลวไหล แต่ท่านไม่อาจบังคับให้มันเห็นว่าเหลวไหลได้ เฒ่าเป็ดย่างเช่นกัน..มันยอมตายดีกว่าจะยอมให้ผู้อื่นมาสับเป็ดของมัน
ดังนั้นมันมิอาจไม่ปรากฏตัว..
เฒ่าสามบาทใช้สายตาขูดเค้นไปทั่วร่างของมัน ในที่สุดเค้นเสียงถาม
"พวกท่านไฉนหลบหน้าเรา..."
เฒ่าเป็ดย่างตัวสั่นงันงก แต่ยังกัดฟันย้อนถามว่า
"ท่านทราบหรือไม่ว่าเดือนนี้ สภาพการเงินของเมืองเราย่ำแย่อย่างมิเคยเป็นมาก่อน..ร้านแลกเงินหลายแห่งถูกปิด ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้นไม่คิดชีวิต พวกเราไม่อาจส่งดอกเบี้ยให้ท่านเหมือนก่อน ต้องรออีกเพียงสองปีประกันว่าพวกเรามีเงินส่งดอกท่านแน่นอน"
"สองปี.." นัยน์ตาเฒ่าสามบาทปรากฏประกายอำมหิตทีละน้อย
"เราไม่สนใจว่าจะเป็นสองปีหรือสองวัน เราทราบเพียงว่าหากท่านไม่มีปัญญาส่งดอกเบี้ยเรา เราจะยึดร้านของท่าน ยึดสิ่งของของท่าน ยึดภรรยาของท่าน ยึดน้องสาวภรรยาของท่าน"
"ไม่..ท่านสามารถยึดทุกสิ่งทุกอย่างของเรา แต่ไม่อาจยึดน้องสาวภรรยาของเรา"
"อ้อ...เป็นเช่นนี้เอง...เช่นนั้นเราไม่เพียงยึดน้องสาวภรรยาของท่าน ยังจะคืนภรรยาให้ท่านอีกต่างหาก"
"อ๊ากซ์....." เฒ่าเป็ดย่างแผดร้องดั่งควายถูกเชือด ยึดน้องสาวภรรยาก็เหลือทนแล้ว ไม่ยอมยึดภรรยาไปด้วยกลับหนักหนาสาหัสมากกว่า มันคุกเข่าโครมลงโขกศีรษะไม่คิดชีวิต
"ได้โปรด...ท่านสามารถคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้เรา แต่ไม่อาจคืนภรรยาให้เรา ท่านเอาไปเลยไม่ต้องคืน"
น้องสาวภรรยาจะอย่างไรก็อ่อนวัยกว่าภรรยา สดใสกว่า เอาอกเอาใจมากกว่า ประการนี่เฒ่าเป็ดย่างรู้ล้ำลึกที่สุด
"เฒ่าบัดซบ..."
เสียงตวาดกึกก้อง เงาร่างถาโถมออกมาจากหลังร้าน เฒ่าเป็ดย่างหันไปมองอ้าปากจะเถียงว่ามันคือเฒ่าเป็ดย่าง ไม่ใช่เฒ่าบัดซบ พอดีประกายอาวุธพุ่งเข้าใส่แสกหน้ามันที่มาด้านหลังกลับเป็นภรรยาของมันเอง ในมือถือไม้ตีพริกอันหนึ่ง สีหน้าขุ่นแค้นเดือดดาลจนขีดสุด นางนึกไม่ถึงว่าหลายสิบปีที่แต่งกันมา นางอุตส่าห์ปฏิบัติตนเป็นภรรยาทแสนดีไม่เคยขาดตกบกพร่องแม้สักน้อย
นางคอยเก็บเงินทุกอีแปะของสามี ตอนก่อนนอนต้องคอยตักเตือนอบรมสั่งสอนสามีเสียเวลาอย่างน้อยชั่วยาม ตอนเช้าต้องคอยควบคุมให้สามีทำกับข้าว ปัดกวาดพื้น ถูบ้าน ล้างถ้วยชาม ตัดหญ้าตัดฟืน คอยดูแลทุกฝีก้าว นางสละทุ่มเทกายใจเพียงนี้ ไม่คิดเลยว่าสามีจะขายนางได้ นางนึกไม่ออกจริง ๆว่าขาดนางไปสักคน สามีนางจะเป็นผู้เป็นคนได้อย่างไร..
เฒ่าเป็ดย่างพอเห็นหน้าภรรยาถนัดตาต้องรีบสลบไปทันที ก่อนหน้าจะโดนไม้ตีพริกไร้เงาเสียด้วยซ้ำ กับภรรยา มันอาศัยหลักวิชา "ใช้ความสลบ สยบความเคลื่อนไหว" มาตลอด ภรรยาของมันมีฉายา "แม่เฒ่าปากตลาด" ปรากฏตัวแล้ว
เฒ่าสามบาทชมดูด้วยสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก เรื่องราวที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับมัน มันไม่สนใจแยแส แม่เฒ่าปากตลาดคิดจะด่าออกไปชุดหนึ่ง แต่พลันปากอ้าตาค้าง
เฒ่าสามบาทมาตรว่าปักหลักแน่นิ่ง แต่ใบหน้าผนึกค้างดั่งรูปปั้น
แม่เฒ่าปากตลาดสามารถด่าได้ทุกคน แต่พลันพบว่าไม่อาจด่าเฒ่าสามบาทได้แม้แต่ครึ่งคำ
ที่มันใช้ออกคือวิชา "หน้าศิลา" หน้าศิลาย่อมด้าน หน้าด้านไม่หวั่นไหวต่อคำด่าเด็ดขาด
หน้าด้าน ความจริงเป็นเคล็ดวิชาชนิดหนึ่ง เพียงท่านหน้าด้านย่อมสามารถกระทำเรื่องราวได้มากมาย ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะคนอื่นมอง ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะคนอื่นไม่มอง จะเห็นว่าความหนาด้านเป็นหลักวิชาไม่ได้เหมาะกับทุกคน เนื่องเพราะลึกล้ำเกินไป บางคนถึงกับคิดว่า หน้าด้านเป็นภาวะจิตว่างอย่างหนึ่ง คนที่จะหน้าด้านได้ต้องผ่านการฝึกจิตใจขั้นสูงสุด คำกล่าว "หน้าด้านเท่านั้นที่ครองโลก" มิเกินเลยไปอย่างแน่นอน ในโลกนี้มีสักกี่คนสามารถบรรลุเคล็ดลับหลักวิชาหน้าด้านอย่างแท้จริง คิดเป็นคนหน้าด้านยิ่งไม่ง่ายดายรวบรัด
"หน้าด้าน" ฟังดูง่ายดาย แต่ลองนึกดูให้ดี กระทำได้ยากเย็นยิ่ง..
หากท่านเป็นคน "หน้าบาง"มาแต่กำเนิด พอดีตอนนี้ท่านบังเอิญเข้าใจเคล็ดลับวิชา คิดหรือว่าจะทำตนเป็นคนหน้าด้านได้ ต่อให้ท่านฝืนใจท่านก็เป็นเพียงคนที่เสแสร้งหน้าด้านเท่านั้น ยังไม่บรรลุ มีเพียงท่านเป็นคนหน้าด้านมาตั้งแต่กำเนิด เรื่องราวจึงจะรวบรัดดังนั้น คนมีเปลือกนอกเป็นคนหน้าด้านจอมปลอมจึงมีมากมาย หาคนที่หน้าด้านด้วยจิตวิญญาณจริงแท้แน่นอนต้องลำบากยากเข็นมากแล้ว..
"ยอดเยี่ยม..เฒ่าสามบาทมิเสียทีเป็นเฒ่าสามบาท.กระทั่งวิชาหน้าด้านยังสามารถใช้ออกมาได้.."
เสียงราบเรียบดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศกดดันหนักอึ้ง
ความจริงในร้านของเฒ่าเป็ดย่างยังมีคนอีกผู้หนึ่ง ไม่ดำ ไม่ขาว ไม่หล่อเหลา ไม่อัปลักษณ์ ไม่สูง ไม่ต่ำ ไม่อ้วน ไม่ผอม ไม่สะดุดตา ไม่กระตุ้นความสนใจ ความจริงมันมีจุดพิเศษจุดเดียว คือสายตาของมันแฝงแววรันทดจนหดหู่ สีหน้าท่าทางซึมเซาปางตาย เฒ่าสามบาทก็เพิ่งสังเกตเห็น พาลไม่สนใจนางเฒ่าปากตลาด หันมาเค้นเสียงถาม
"เจ้าเป็นใคร"
"ผู้คนเรียกข้าว่ากระบี่รันทด"
เฒ่าสามบาทได้ยินฉายาของบุรุษหนุ่มก็หัวร่อกึกก้องทันที มันรู้สึกว่าคนผู้นี้ฉายาน่าขบขันเหลือเกิน ไม่ได้มีชื่อแซ่ฉายาสูงส่งอย่างมันเลยสักนิด หัวร่อจนสาแก่ใจจึงเขม้นตามองถามเสียงโหด
"กระบี่รันทด เจ้าคิดสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว.."
"ไม่เพียงยุ่งเกี่ยว...ยังจะลบฉายาของท่าน"
"ทำไมเจ้าต้องมายุ่งเกี่ยวตอแยเรื่องนี้"
"เพราะเราชอบกินเป็ด ท่านคุกคามร้านเป็ด เราต้องยุ่งเกี่ยว"
กระบี่รันทดลุกขึ้นเดินผ่านหน้าเฒ่าสามบาทมายังลานกว้างหน้าร้านอย่างโอ่อ่า พอมันเคลื่อนไหวพลันดูไปไม่ธรรมดาแล้ว ยามนั้นคนซึ่งแอบซ่อนอยู่ต่างลืมตัวค่อยทยอยออกมาทีละคน ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว การประมือของยอดฝีมือขาดหายไปจากเมืองเนิ่นนาน พวกมันไม่อาจพลาดชมการประมือครั้งนี้
ตั้งแต่การประมือระหว่างเฒ่าสามบาทกับเฒ่าแตงโมเมื่อหลายปีก่อน เหตุการณ์เร้าใจเช่นนี้ไม่ปรากฏ พวกมันเล่าขานตำนานทั้งสองเฒ่าจนเบื่อหน่าย เหตุการณ์ซึ่งอาจพอยกมากล่าวได้บ้าง คือปีก่อน มีสุนัขพเนจรนิรนามตัวหนึ่ง พลัดหลงเข้ามาในตลาด หัวหน้าสุนัขเจ้าถิ่นคุมตลาดออกเผชิญหน้ากับผู้บุกรุก ประเขี้ยวกันอยู่กว่าครึ่งค่อนวัน สุนัขพเนจรย่อมผ่านความลำบากยากแค้นกว่าสุนัขที่กินอยู่หลับนอนสะดวกสบาย ดังนั้นอดทนเข้มแข็งกว่าเจ้าถิ่น
บรรดาสุนัขในตลาดเห็นท่าไม่ดีจึงตั้งค่ายกล "สุนัขหมู่" ขึ้นมา สี่เท้ามิอาจต้านรับสี่สิบเท้า...สุนัขพเนจรถูกขับไล่ออกไปแต่มันถือว่ามันไม่พ่ายแพ้การประเขี้ยว.. น่าละอายคือพวก"สุนัขหมู่" ต่างหาก บรรดาสุนัขในตลาดลำพองใจอยู่ไม่นาน พวกมันก็เจอ "บาทาไร้เงา" ของผู้คนถึงกับวิ่งกระเจิดกระเจิงไปตัวละทิศละทาง นั่นเป็นตำนานบทหนึ่งของเมืองนี้เช่นกัน
ลมยามเช้าพัดผ่านมายังลานดิน ฝุ่นธุลีฟุ้งกระจาย ผู้คนค่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ หนวดเคราของเฒ่าสามบาทปลิวสยายในสายลม ดูไปดั่งเทพเจ้าสูงส่งผู้หนึ่ง มันอายุมากแล้ว แต่แผ่นหลังยังตั้งตรงดุจลำทวน ท่วงทีกร้าวแกร่งยิ่งกว่าบุรุษหนุ่ม
ด้านกระบี่รันทดกลับมีทีท่าปลอดโปร่งราวกำลังอยู่ในสวน ตลอดร่างคล้ายว่างเปล่าที่สามารถบรรจุสรรพสิ่งปังตอไร้เงาจะสามารถผ่าความว่างเปล่านั้นได้หรือไม่ ความว่างเปล่านั้นจะสามารถครอบคลุมปังตอไร้เงาได้หรือไม่ ความว่างเปล่าหากมีปังตอจะจัดว่าเป็นความว่างเปล่าหรือไม่ ไม่มีผู้ใดคำนวณผลการประมือครั้งนี้ได้
ดวงตะวันขึ้นสูง..ทั้งสองปักหลักเผชิญกันอยู่นาน..ยอดฝีมือยามประมือไม่จำเป็นต้องจับอาวุธถาโถมอาบเหงื่อเข้าประหัตประหารกัน เพียงจ้องหน้าก็เร้าใจจนแทบลืมหายใจ หลายคนไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา
ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีการเริ่มต้น ในที่สุดกระบี่รันทดลงมือก่อน
"เฒ่าสามบาท...เรายืมเงินท่านร้อยตำลึง.."
"อา...."
เสียงผู้คนอื้ออึงสับสนทันที ไม้นี้ต่างไม่มีใครคาดคิดเด็ดขาด แค่กระบวนท่าแรกใช้ออกมาก็บรรลุขั้นไร้รูปไร้ลักษณ์แล้ว
.
เฒ่าสามบาท.........2 (ตอนจบ)
https://pantip.com/topic/36531396
ตอนเช้าของวันร้อนอบอ้าว....ตลาดสดของเมืองนี้ถึงจะไม่คึกคักดั่งหลายเดือนก่อน แต่ถึงอย่างไรธุรกิจก็ต้องดำเนินต่อไป เจ้าของร้านอย่างน้อยยังมีสีหน้าท่าทางดีกว่าลูกค้ามากมายนัก แม้บางคนจะเปลี่ยนจากขายไก่ย่างตัวใหญ่มาเป็นโครงไก่ จากปลาตัวโตมาเป็นโครงปลาทอดกรอบ จากร้านอาหารตามสั่งมาเป็นร้านอาหารตามใจคนขาย ข้าวมันไก่เปลี่ยนมาขายข้าวมันหมู ต้มยำทะเลมาเป็นต้มยำเกลือ
ด้านเหนือของตลาดมีคันดินอยู่แห่งหนึ่งสำหรับกั้นน้ำหลากเข้าท่วมตลาด ยามนี้ปรากฏเงาร่างคนผู้หนึ่งขึ้นอย่างเงียบงัน คนผู้นี้ยังมาไม่ถึงรังสีเร้นลับชนิดหนึ่งแผ่ซ่านมาก่อน
ผู้คนที่กำลังสาละวนอยู่กับภารกิจของตนจู่ ๆ รู้สึกขนลุกเกรียวดั่งมีตัวบุ้งกำลังคืบคลานอยู่ต้นคอ ลางสังหรณ์เช่นนี้มิใช่เรื่องดีเด็ดขาด พวกมันหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ
"เฒ่าสามบาท..."
ใครคนหนึ่งหลุดปากออกมาอย่างตื่นตระหนกเสียงนั้นไม่ดังนัก แต่คล้ายสายฟ้าฟาดใส่จิตวิญญาณผู้คน พวกมันชิงเคลื่อนไหวสับสน ตลาดความจริงมีคนน้อยอยู่แล้วถึงกับไร้ผู้คนภายในพริบตา เวลาในการเก็บดอกเบี้ยของเฒ่าสามบาทมาถึงแล้ว เสียงดังสวบ...สวบ..ของรองเท้าหนังย่ำใกล้เข้ามาแต่ละก้าวดั่งเหยียบใส่จิตใจผู้คนประหนึ่งกลองเพลกำลังถูกกระหน่ำด้วยไม้ตี
เฒ่าสามบาทดูไปแทบเป็นยมทูตกำลังคุกคามเอาชีวิตมนุษย์ ร้านค้าแรกที่มันมาถึงเป็นร้านขายเป็ดย่างของ "เฒ่าเป็ดย่าง" เมื่อครู่คิดว่ามีคนอยู่ในร้านหลายคน ยามนี้กลับรกร้างว่างเปล่าจนแทบจะมองเห็นหยากไย่ ฝุ่นเกาะตามโต๊ะ เก้าอี้ บนโต๊ะมีจาน ป้านสุรา วางอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ เป็ดย่างบางชิ้นยังมีฟันปลอมติดอยู่ดั่งเจ้าของรีบร้อนจนลืมเก็บไปด้วย
เฒ่าสามบาทกวาดตามองวูบหนึ่ง ในที่สุดแค่นเสียงอย่างหยามหยัน
"เฒ่าเป็ดย่าง...ออกมาพบกับเรา"
ในร้านเงียบงัน แต่คล้ายมีเสียงลมหายใจหนักหน่วง เฒ่าสามบาทคงมีสีหน้าเฉื่อยชาดังเดิม มันเพียงก้าวเข้าไปสามก้าว มือขวาล้วงเข้าไปในแขนเสื้อด้านซ้าย เพียงมันชักมือออกมา ประกายปังตอไร้เงาจะพวยพุ่งออกมาทันที เป็ดย่างสามสี่ตัวแขวนอยู่บนราวหน้าร้านจะถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ท่าทีของมันบอกเช่นนั้น
"อย่า...อย่าสับเป็ดของเรา..."
เฒ่าเป็ดย่างลนลานคลานออกมาจากกาละมังใบเขื่องด้านข้าง ใบหน้าแตกตื่นเหงื่อชุ่มโชกดั่งฝนซัด
ควรทราบว่า "เฒ่าเป็ดย่าง" ชีวิตมันรู้จักเพียงเป็ดย่าง เรื่องอื่นมันไร้เดียงสาไปจนหมดสิ้น เป็ดย่างจะกรอบ อร่อย นุ่ม หอมหวนเพียงใด นอกจากน้ำจิ้มแล้ว การสับเป็ดเป็นสิ่งหนึ่งที่มีผลต่อรสชาติของเป็ด การสับเป็ดมิใช่เรื่องล้อเล่น ดังนั้นเฒ่าเป็ดย่างจึงเคยไปฝึกวิชาการสับเป็ดย่างอยู่กับยอดฝีมือเจ็ดปี มันทราบว่าส่วนใดของเป็ดย่างมี่ควรสับให้ชิ้นเล็ก ปานกลาง ใหญ่ ใหญ่พิเศษ หนาบาง สับแนวตรง แนวเฉียง แนวทแยง สับช้า เร็ว แรง ค่อย อย่าว่าแต่เพียงเวลาเปลี่ยนไป การสับ เป็ดต้องพลิกแพลงไปตามความชื้น อุณหภูมิ ค่าของเงิน สภาพทางการเมือง ดินฟ้าอากาศ เพศ วัย อารมณ์ ของลูกค้า เหล่านี้มีผลต่อการสับเป็ดทั้งสิ้น..เหล่านี้มันรู้ลึกซึ้งที่สุด
ท่านสามารถตบตี ด่าทอ แย่งชิงภรรยาของมัน แต่ไม่อาจสับเป็ดของมันเด็ดขาด
เป็ดข้า ใครอย่าสับ !
คนทุกคนมีเรื่องที่ตนเองภาคภูมิใจ หยิ่งทระนง ผู้อื่นมิอาจล่วงเกิน ต่อให้ผู้อื่นเห็นว่าเหลวไหล แต่ท่านไม่อาจบังคับให้มันเห็นว่าเหลวไหลได้ เฒ่าเป็ดย่างเช่นกัน..มันยอมตายดีกว่าจะยอมให้ผู้อื่นมาสับเป็ดของมัน
ดังนั้นมันมิอาจไม่ปรากฏตัว..
เฒ่าสามบาทใช้สายตาขูดเค้นไปทั่วร่างของมัน ในที่สุดเค้นเสียงถาม
"พวกท่านไฉนหลบหน้าเรา..."
เฒ่าเป็ดย่างตัวสั่นงันงก แต่ยังกัดฟันย้อนถามว่า
"ท่านทราบหรือไม่ว่าเดือนนี้ สภาพการเงินของเมืองเราย่ำแย่อย่างมิเคยเป็นมาก่อน..ร้านแลกเงินหลายแห่งถูกปิด ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้นไม่คิดชีวิต พวกเราไม่อาจส่งดอกเบี้ยให้ท่านเหมือนก่อน ต้องรออีกเพียงสองปีประกันว่าพวกเรามีเงินส่งดอกท่านแน่นอน"
"สองปี.." นัยน์ตาเฒ่าสามบาทปรากฏประกายอำมหิตทีละน้อย
"เราไม่สนใจว่าจะเป็นสองปีหรือสองวัน เราทราบเพียงว่าหากท่านไม่มีปัญญาส่งดอกเบี้ยเรา เราจะยึดร้านของท่าน ยึดสิ่งของของท่าน ยึดภรรยาของท่าน ยึดน้องสาวภรรยาของท่าน"
"ไม่..ท่านสามารถยึดทุกสิ่งทุกอย่างของเรา แต่ไม่อาจยึดน้องสาวภรรยาของเรา"
"อ้อ...เป็นเช่นนี้เอง...เช่นนั้นเราไม่เพียงยึดน้องสาวภรรยาของท่าน ยังจะคืนภรรยาให้ท่านอีกต่างหาก"
"อ๊ากซ์....." เฒ่าเป็ดย่างแผดร้องดั่งควายถูกเชือด ยึดน้องสาวภรรยาก็เหลือทนแล้ว ไม่ยอมยึดภรรยาไปด้วยกลับหนักหนาสาหัสมากกว่า มันคุกเข่าโครมลงโขกศีรษะไม่คิดชีวิต
"ได้โปรด...ท่านสามารถคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้เรา แต่ไม่อาจคืนภรรยาให้เรา ท่านเอาไปเลยไม่ต้องคืน"
น้องสาวภรรยาจะอย่างไรก็อ่อนวัยกว่าภรรยา สดใสกว่า เอาอกเอาใจมากกว่า ประการนี่เฒ่าเป็ดย่างรู้ล้ำลึกที่สุด
"เฒ่าบัดซบ..."
เสียงตวาดกึกก้อง เงาร่างถาโถมออกมาจากหลังร้าน เฒ่าเป็ดย่างหันไปมองอ้าปากจะเถียงว่ามันคือเฒ่าเป็ดย่าง ไม่ใช่เฒ่าบัดซบ พอดีประกายอาวุธพุ่งเข้าใส่แสกหน้ามันที่มาด้านหลังกลับเป็นภรรยาของมันเอง ในมือถือไม้ตีพริกอันหนึ่ง สีหน้าขุ่นแค้นเดือดดาลจนขีดสุด นางนึกไม่ถึงว่าหลายสิบปีที่แต่งกันมา นางอุตส่าห์ปฏิบัติตนเป็นภรรยาทแสนดีไม่เคยขาดตกบกพร่องแม้สักน้อย
นางคอยเก็บเงินทุกอีแปะของสามี ตอนก่อนนอนต้องคอยตักเตือนอบรมสั่งสอนสามีเสียเวลาอย่างน้อยชั่วยาม ตอนเช้าต้องคอยควบคุมให้สามีทำกับข้าว ปัดกวาดพื้น ถูบ้าน ล้างถ้วยชาม ตัดหญ้าตัดฟืน คอยดูแลทุกฝีก้าว นางสละทุ่มเทกายใจเพียงนี้ ไม่คิดเลยว่าสามีจะขายนางได้ นางนึกไม่ออกจริง ๆว่าขาดนางไปสักคน สามีนางจะเป็นผู้เป็นคนได้อย่างไร..
เฒ่าเป็ดย่างพอเห็นหน้าภรรยาถนัดตาต้องรีบสลบไปทันที ก่อนหน้าจะโดนไม้ตีพริกไร้เงาเสียด้วยซ้ำ กับภรรยา มันอาศัยหลักวิชา "ใช้ความสลบ สยบความเคลื่อนไหว" มาตลอด ภรรยาของมันมีฉายา "แม่เฒ่าปากตลาด" ปรากฏตัวแล้ว
เฒ่าสามบาทชมดูด้วยสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก เรื่องราวที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับมัน มันไม่สนใจแยแส แม่เฒ่าปากตลาดคิดจะด่าออกไปชุดหนึ่ง แต่พลันปากอ้าตาค้าง
เฒ่าสามบาทมาตรว่าปักหลักแน่นิ่ง แต่ใบหน้าผนึกค้างดั่งรูปปั้น
แม่เฒ่าปากตลาดสามารถด่าได้ทุกคน แต่พลันพบว่าไม่อาจด่าเฒ่าสามบาทได้แม้แต่ครึ่งคำ
ที่มันใช้ออกคือวิชา "หน้าศิลา" หน้าศิลาย่อมด้าน หน้าด้านไม่หวั่นไหวต่อคำด่าเด็ดขาด
หน้าด้าน ความจริงเป็นเคล็ดวิชาชนิดหนึ่ง เพียงท่านหน้าด้านย่อมสามารถกระทำเรื่องราวได้มากมาย ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะคนอื่นมอง ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะคนอื่นไม่มอง จะเห็นว่าความหนาด้านเป็นหลักวิชาไม่ได้เหมาะกับทุกคน เนื่องเพราะลึกล้ำเกินไป บางคนถึงกับคิดว่า หน้าด้านเป็นภาวะจิตว่างอย่างหนึ่ง คนที่จะหน้าด้านได้ต้องผ่านการฝึกจิตใจขั้นสูงสุด คำกล่าว "หน้าด้านเท่านั้นที่ครองโลก" มิเกินเลยไปอย่างแน่นอน ในโลกนี้มีสักกี่คนสามารถบรรลุเคล็ดลับหลักวิชาหน้าด้านอย่างแท้จริง คิดเป็นคนหน้าด้านยิ่งไม่ง่ายดายรวบรัด
"หน้าด้าน" ฟังดูง่ายดาย แต่ลองนึกดูให้ดี กระทำได้ยากเย็นยิ่ง..
หากท่านเป็นคน "หน้าบาง"มาแต่กำเนิด พอดีตอนนี้ท่านบังเอิญเข้าใจเคล็ดลับวิชา คิดหรือว่าจะทำตนเป็นคนหน้าด้านได้ ต่อให้ท่านฝืนใจท่านก็เป็นเพียงคนที่เสแสร้งหน้าด้านเท่านั้น ยังไม่บรรลุ มีเพียงท่านเป็นคนหน้าด้านมาตั้งแต่กำเนิด เรื่องราวจึงจะรวบรัดดังนั้น คนมีเปลือกนอกเป็นคนหน้าด้านจอมปลอมจึงมีมากมาย หาคนที่หน้าด้านด้วยจิตวิญญาณจริงแท้แน่นอนต้องลำบากยากเข็นมากแล้ว..
"ยอดเยี่ยม..เฒ่าสามบาทมิเสียทีเป็นเฒ่าสามบาท.กระทั่งวิชาหน้าด้านยังสามารถใช้ออกมาได้.."
เสียงราบเรียบดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศกดดันหนักอึ้ง
ความจริงในร้านของเฒ่าเป็ดย่างยังมีคนอีกผู้หนึ่ง ไม่ดำ ไม่ขาว ไม่หล่อเหลา ไม่อัปลักษณ์ ไม่สูง ไม่ต่ำ ไม่อ้วน ไม่ผอม ไม่สะดุดตา ไม่กระตุ้นความสนใจ ความจริงมันมีจุดพิเศษจุดเดียว คือสายตาของมันแฝงแววรันทดจนหดหู่ สีหน้าท่าทางซึมเซาปางตาย เฒ่าสามบาทก็เพิ่งสังเกตเห็น พาลไม่สนใจนางเฒ่าปากตลาด หันมาเค้นเสียงถาม
"เจ้าเป็นใคร"
"ผู้คนเรียกข้าว่ากระบี่รันทด"
เฒ่าสามบาทได้ยินฉายาของบุรุษหนุ่มก็หัวร่อกึกก้องทันที มันรู้สึกว่าคนผู้นี้ฉายาน่าขบขันเหลือเกิน ไม่ได้มีชื่อแซ่ฉายาสูงส่งอย่างมันเลยสักนิด หัวร่อจนสาแก่ใจจึงเขม้นตามองถามเสียงโหด
"กระบี่รันทด เจ้าคิดสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว.."
"ไม่เพียงยุ่งเกี่ยว...ยังจะลบฉายาของท่าน"
"ทำไมเจ้าต้องมายุ่งเกี่ยวตอแยเรื่องนี้"
"เพราะเราชอบกินเป็ด ท่านคุกคามร้านเป็ด เราต้องยุ่งเกี่ยว"
กระบี่รันทดลุกขึ้นเดินผ่านหน้าเฒ่าสามบาทมายังลานกว้างหน้าร้านอย่างโอ่อ่า พอมันเคลื่อนไหวพลันดูไปไม่ธรรมดาแล้ว ยามนั้นคนซึ่งแอบซ่อนอยู่ต่างลืมตัวค่อยทยอยออกมาทีละคน ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว การประมือของยอดฝีมือขาดหายไปจากเมืองเนิ่นนาน พวกมันไม่อาจพลาดชมการประมือครั้งนี้
ตั้งแต่การประมือระหว่างเฒ่าสามบาทกับเฒ่าแตงโมเมื่อหลายปีก่อน เหตุการณ์เร้าใจเช่นนี้ไม่ปรากฏ พวกมันเล่าขานตำนานทั้งสองเฒ่าจนเบื่อหน่าย เหตุการณ์ซึ่งอาจพอยกมากล่าวได้บ้าง คือปีก่อน มีสุนัขพเนจรนิรนามตัวหนึ่ง พลัดหลงเข้ามาในตลาด หัวหน้าสุนัขเจ้าถิ่นคุมตลาดออกเผชิญหน้ากับผู้บุกรุก ประเขี้ยวกันอยู่กว่าครึ่งค่อนวัน สุนัขพเนจรย่อมผ่านความลำบากยากแค้นกว่าสุนัขที่กินอยู่หลับนอนสะดวกสบาย ดังนั้นอดทนเข้มแข็งกว่าเจ้าถิ่น
บรรดาสุนัขในตลาดเห็นท่าไม่ดีจึงตั้งค่ายกล "สุนัขหมู่" ขึ้นมา สี่เท้ามิอาจต้านรับสี่สิบเท้า...สุนัขพเนจรถูกขับไล่ออกไปแต่มันถือว่ามันไม่พ่ายแพ้การประเขี้ยว.. น่าละอายคือพวก"สุนัขหมู่" ต่างหาก บรรดาสุนัขในตลาดลำพองใจอยู่ไม่นาน พวกมันก็เจอ "บาทาไร้เงา" ของผู้คนถึงกับวิ่งกระเจิดกระเจิงไปตัวละทิศละทาง นั่นเป็นตำนานบทหนึ่งของเมืองนี้เช่นกัน
ลมยามเช้าพัดผ่านมายังลานดิน ฝุ่นธุลีฟุ้งกระจาย ผู้คนค่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ หนวดเคราของเฒ่าสามบาทปลิวสยายในสายลม ดูไปดั่งเทพเจ้าสูงส่งผู้หนึ่ง มันอายุมากแล้ว แต่แผ่นหลังยังตั้งตรงดุจลำทวน ท่วงทีกร้าวแกร่งยิ่งกว่าบุรุษหนุ่ม
ด้านกระบี่รันทดกลับมีทีท่าปลอดโปร่งราวกำลังอยู่ในสวน ตลอดร่างคล้ายว่างเปล่าที่สามารถบรรจุสรรพสิ่งปังตอไร้เงาจะสามารถผ่าความว่างเปล่านั้นได้หรือไม่ ความว่างเปล่านั้นจะสามารถครอบคลุมปังตอไร้เงาได้หรือไม่ ความว่างเปล่าหากมีปังตอจะจัดว่าเป็นความว่างเปล่าหรือไม่ ไม่มีผู้ใดคำนวณผลการประมือครั้งนี้ได้
ดวงตะวันขึ้นสูง..ทั้งสองปักหลักเผชิญกันอยู่นาน..ยอดฝีมือยามประมือไม่จำเป็นต้องจับอาวุธถาโถมอาบเหงื่อเข้าประหัตประหารกัน เพียงจ้องหน้าก็เร้าใจจนแทบลืมหายใจ หลายคนไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา
ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีการเริ่มต้น ในที่สุดกระบี่รันทดลงมือก่อน
"เฒ่าสามบาท...เรายืมเงินท่านร้อยตำลึง.."
"อา...."
เสียงผู้คนอื้ออึงสับสนทันที ไม้นี้ต่างไม่มีใครคาดคิดเด็ดขาด แค่กระบวนท่าแรกใช้ออกมาก็บรรลุขั้นไร้รูปไร้ลักษณ์แล้ว
.