พอดีผมเป็นนักปฏิบัตธรรมก่อนที่จะศึกษาพระไตรปิฏก จึงขอยก เอาการเริ่มปฏิบัติธรรมขึ้นก่อน ดังนี้
--------------------------------------------
สติปัฏฐาน4 + อิทธิบาท 4 + สัมมัปปธาน 4 + พละ 5 -> อินทรีย์ 5
เมื่อ อินทรีย์ 5 สมบรณ์ ย่อมทำให้ให้ สติปัฏฐาน 4 สมบรณ์ เมื่อยังปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 อยู่เนืองๆ ก็ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 สมบูรณ์
เมื่อปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 อยู่เนืองๆ เมื่อโพชฌงค์ 7 สมบูรณ์ ย่อมทำให้ มรรคมีองค์ 8 สมบูรณ์
เมื่อยังปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 อยู่เนื่องๆ และมรรคมีองค์ 8 สมบรณ์ ย่อมบรรลุธรรมไปตามลำดับ. จนหมดสิ้นอวิชชา ไม่ปรากฏขึ้นอีก.
---------------------------------------------
ข้างบนนั้น เป็นโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ อย่างย่อ ต่อไปมาดู ความเหมายของธรรมแต่ละประการนั้นสำพันธ์กันอย่างไรแบบคร่าวๆ.
******************************
สติปัฏฐาน 4 คือ พิจารณา 1.กายในกาย 2.เวทนาในเวทนา 3.จิตในจิต 4.ธรรมในธรรม
อิทธิบาท 4 คือ 1.ฉันทะ 2.วิริยะ 3.จิตตะ 4.วิมังสา
สัมมัปปธาน 4 คือ
1.เพียร ประคองจิต ตั้งใจ เพื่อความไม่เกิดขึ้นแห่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลที่ยังไม่เกิด
2.เพียร ประคองจิต ตั้งใจ เพื่อละธรรมที่เป็นบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
3.เพียร ประคองจิต ตั้งใจ เพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งธรรมที่เป็นกุศลที่ยังไม่เกิด
4.เพียร ประคองจิต ตั้งใจ เพื่อความตั้งมั่นไม่เลือนลางจำเริญยิ่ง ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์
แห่งธรรมที่เป็นกุศลที่บังเกิดขึ้นแล้ว
>>> ดังนั้นการปฏิบัติสติปัฏฐานทั้ง 4 ต้อง อาศัย อิทธิบาท 4 และ สัมมัปปธาน 4 ย่อมก่อให้เกิด พละ 5 เจริญขึ้น
พละ 5 คือ 1.สติ 2.สมาธิ 3.ปัญญา 4.ศรัทธา 5.ความเพียร
>>> และการเจริญขึ้นของพละ 5 นั้น ก็ต้องให้สมบูรณ์และสมดุลย์กัน ในการปฏบัติสติปัฏฐาน 4 จนเป็น อินทรีย์ 5 เจริญสมบูรณ์.
อินทรีย์ ๕ คือ 1.สัทธินทรีย์ 2.วิริยินทรีย์ 3.สตินทรีย์ 4.สมาธินทรีย์ 5.ปัญญินทรีย์
>>>
หมายเหตุ อินทรีย์ 5 สมบูรณ์ ก็เมื่อ พละ 5 เจริญสมบูรณ์ และสมดุลย์แล้วนั้นเอง
>>> ดังนั้น พละ 5 เจริญสมบูรณ์ สมดุลย์ มากขึ้นเพิ่มขึ้นเท่าใด ก็เป็นการทำให้ อินทรีย์ 5 เพิ่มขึ้นนั้นเอง
เมื่อปฏิบัติธรรมคือสติปัฏฐาน 4 ด้วย อิทธิบาท 4 สัมมัปปธาน 4 พละ 5 และมีอินทรีย์ 5 เจริญขึ้นอย่างดีแล้ว ย่อมทำให้สติปัฏฐาน 4 นั้นเจริญสมบูรณ์ ก็เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
เมื่อสติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค 7 เจริญสมบูรณ์
>>> โพชฌงค์ 7 คือ 1.สติสัมโพชฌงค์ 2.ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ 3.วิริยสัมโพชฌงค์ 4.ปีติสัมโพชฌงค์ 5.ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ 6.สมาธิสัมโพชฌงค์ 7.อุเบกขาสัมโพชฌงค์
เมื่อโพชฌงค์ 7 เจริญสมบูรณ์ย่อมทำให้ มรรคมีองค์ 8 เจริญสมบูรณ์
>>> มรรคมีองค์ 8 คือ 1.สัมมาทิฏฐิ 2.สัมมาสังกัปปะ 3.สัมมาวาจา 4.สัมมากัมมันตะ 5.สัมมาอาชีวะ 6.สัมมาวายามะ 7.สัมมาสติ 8.สัมมาสมาธิ
หมายเหตุ เคล็ดลับ คือ ต้องปฏิบัติธรรม ด้วยสติปัฏฐาน 4 อยู่เนืองๆ ไม่ทอดธุระ เป็นทางเอก จึงทำให้โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ นั้นสมบูรณ์สมดุลย์ รวมกันเป็น 1 ได้
ต่อไปยกธรรมบัญญัติ ที่ทำให้พอเข้าใจในความหมายขึ้น ในสติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 และ มรรคมีองค์ 8..
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ สติปัฏฐาน ๔ อย่าง
๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความ
เพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌา และโทมนัส ในโลกเสียได้ ฯ
๒. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มี
ความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
๓. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร
มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
๔. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร
มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
[๓๒๗] โพชฌงค์ ๗ อย่าง
๑. สติสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือความระลึกได้]
๒. ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือการสอดส่องธรรม]
๓. วิริยสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือความเพียร]
๔. ปีติสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือความอิ่มใจ]
๕. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือความสงบ]
๖. สมาธิสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือความตั้งใจมั่น]
๗. อุเปกขาสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือ ความวางเฉย]
มรรคมีองค์ 8 ดังนี้
[๓๓๙] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทาแก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวก
ทั้งหลายของเราปฏิบัติตามแล้ว ย่อมเจริญอริยมรรคมีองค์แปด. ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เจริญสัมมาทิฏฐิ เจริญสัมมาสังกัปปะ เจริญสัมมาวาจา เจริญสัมมากัมมันตะ เจริญสัมมาอาชีวะ
เจริญสัมมาวายามะ เจริญสัมมาสติ เจริญสัมมาสมาธิ. ก็เพราะสาวกทั้งหลายของเราปฏิบัติตาม
ปฏิปทาที่เราบอก แล้วเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้นแล สาวกของเราเป็นอันมากจึงได้บรรลุบารมี
อันเป็นที่สุดแห่งอภิญญาอยู่.
[๑๗๖] ในมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาทิฏฐิ เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม ความเห็นชอบ ธัมมวิจยสัม
โพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค อันใดนี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ
[๑๗๗] สัมมาสังกัปปะ เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ฯลฯ ความดำริชอบ อันเป็นองค์แห่ง
มรรค นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ
[๑๗๘] สัมมาวาจา เป็นไฉน
การงด การเว้น การเลิกละ เจตนาเครื่องเว้น จากวจีทุจริต ๔ กิริยาไม่ทำ การไม่ทำ
การไม่ล่วงละเมิด การไม่ล้ำเขต การกำจัด ต้นเหตุวจีทุจริต๔ วาจาชอบ อันเป็นองค์แห่งมรรค
นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่าสัมมาวาจา
[๑๗๙] สัมมากัมมันตะ เป็นไฉน
การงด การเว้น การเลิกละ เจตนาเครื่องเว้น จากกายทุจริต ๓ กิริยาไม่ทำ การไม่ทำ
การไม่ล่วงละเมิด การไม่ล้ำเขต การกำจัดต้นเหตุกายทุจริต๓ การงานชอบ อันเป็นองค์แห่งมรรค
นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่าสัมมากัมมันตะ
[๑๘๐] สัมมาอาชีวะ เป็นไฉน
การงด การเว้น การเลิกละ เจตนาเครื่องเว้น จากมิจฉาอาชีวะ กิริยาไม่ทำ การไม่ทำ
การไม่ล่วงละเมิด การไม่ล้ำเขต การกำจัด ต้นเหตุมิจฉาอาชีวะ การเลี้ยงชีพชอบ อันเป็นองค์
แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค อันใดนี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ
[๑๘๑] สัมมาวายามะ เป็นไฉน
การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ ความพยายามชอบ วิริยสัมโพชฌงค์อันเป็นองค์แห่ง
มรรค นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ
[๑๘๒] สัมมาสติ เป็นไฉน
สติ ความตามระลึก ฯลฯ ความระลึกชอบ สติสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค
นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่า สัมมาสติ
[๑๘๓] สัมมาสมาธิ เป็นไฉน
ความตั้งอยู่แห่งจิต ฯลฯ ความตั้งใจชอบ สมาธิสัมโพฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค
นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ
ความสัมพันธ์ ของโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ อย่างย่อ
--------------------------------------------
สติปัฏฐาน4 + อิทธิบาท 4 + สัมมัปปธาน 4 + พละ 5 -> อินทรีย์ 5
เมื่อ อินทรีย์ 5 สมบรณ์ ย่อมทำให้ให้ สติปัฏฐาน 4 สมบรณ์ เมื่อยังปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 อยู่เนืองๆ ก็ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 สมบูรณ์
เมื่อปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 อยู่เนืองๆ เมื่อโพชฌงค์ 7 สมบูรณ์ ย่อมทำให้ มรรคมีองค์ 8 สมบูรณ์
เมื่อยังปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 อยู่เนื่องๆ และมรรคมีองค์ 8 สมบรณ์ ย่อมบรรลุธรรมไปตามลำดับ. จนหมดสิ้นอวิชชา ไม่ปรากฏขึ้นอีก.
---------------------------------------------
ข้างบนนั้น เป็นโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ อย่างย่อ ต่อไปมาดู ความเหมายของธรรมแต่ละประการนั้นสำพันธ์กันอย่างไรแบบคร่าวๆ.
******************************
สติปัฏฐาน 4 คือ พิจารณา 1.กายในกาย 2.เวทนาในเวทนา 3.จิตในจิต 4.ธรรมในธรรม
อิทธิบาท 4 คือ 1.ฉันทะ 2.วิริยะ 3.จิตตะ 4.วิมังสา
สัมมัปปธาน 4 คือ
1.เพียร ประคองจิต ตั้งใจ เพื่อความไม่เกิดขึ้นแห่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลที่ยังไม่เกิด
2.เพียร ประคองจิต ตั้งใจ เพื่อละธรรมที่เป็นบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
3.เพียร ประคองจิต ตั้งใจ เพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งธรรมที่เป็นกุศลที่ยังไม่เกิด
4.เพียร ประคองจิต ตั้งใจ เพื่อความตั้งมั่นไม่เลือนลางจำเริญยิ่ง ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์
แห่งธรรมที่เป็นกุศลที่บังเกิดขึ้นแล้ว
>>> ดังนั้นการปฏิบัติสติปัฏฐานทั้ง 4 ต้อง อาศัย อิทธิบาท 4 และ สัมมัปปธาน 4 ย่อมก่อให้เกิด พละ 5 เจริญขึ้น
พละ 5 คือ 1.สติ 2.สมาธิ 3.ปัญญา 4.ศรัทธา 5.ความเพียร
>>> และการเจริญขึ้นของพละ 5 นั้น ก็ต้องให้สมบูรณ์และสมดุลย์กัน ในการปฏบัติสติปัฏฐาน 4 จนเป็น อินทรีย์ 5 เจริญสมบูรณ์.
อินทรีย์ ๕ คือ 1.สัทธินทรีย์ 2.วิริยินทรีย์ 3.สตินทรีย์ 4.สมาธินทรีย์ 5.ปัญญินทรีย์
>>> หมายเหตุ อินทรีย์ 5 สมบูรณ์ ก็เมื่อ พละ 5 เจริญสมบูรณ์ และสมดุลย์แล้วนั้นเอง
>>> ดังนั้น พละ 5 เจริญสมบูรณ์ สมดุลย์ มากขึ้นเพิ่มขึ้นเท่าใด ก็เป็นการทำให้ อินทรีย์ 5 เพิ่มขึ้นนั้นเอง
เมื่อปฏิบัติธรรมคือสติปัฏฐาน 4 ด้วย อิทธิบาท 4 สัมมัปปธาน 4 พละ 5 และมีอินทรีย์ 5 เจริญขึ้นอย่างดีแล้ว ย่อมทำให้สติปัฏฐาน 4 นั้นเจริญสมบูรณ์ ก็เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้
เมื่อสติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค 7 เจริญสมบูรณ์
>>> โพชฌงค์ 7 คือ 1.สติสัมโพชฌงค์ 2.ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ 3.วิริยสัมโพชฌงค์ 4.ปีติสัมโพชฌงค์ 5.ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ 6.สมาธิสัมโพชฌงค์ 7.อุเบกขาสัมโพชฌงค์
เมื่อโพชฌงค์ 7 เจริญสมบูรณ์ย่อมทำให้ มรรคมีองค์ 8 เจริญสมบูรณ์
>>> มรรคมีองค์ 8 คือ 1.สัมมาทิฏฐิ 2.สัมมาสังกัปปะ 3.สัมมาวาจา 4.สัมมากัมมันตะ 5.สัมมาอาชีวะ 6.สัมมาวายามะ 7.สัมมาสติ 8.สัมมาสมาธิ
หมายเหตุ เคล็ดลับ คือ ต้องปฏิบัติธรรม ด้วยสติปัฏฐาน 4 อยู่เนืองๆ ไม่ทอดธุระ เป็นทางเอก จึงทำให้โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ นั้นสมบูรณ์สมดุลย์ รวมกันเป็น 1 ได้
ต่อไปยกธรรมบัญญัติ ที่ทำให้พอเข้าใจในความหมายขึ้น ในสติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 และ มรรคมีองค์ 8..
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ สติปัฏฐาน ๔ อย่าง
๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความ
เพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌา และโทมนัส ในโลกเสียได้ ฯ
๒. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มี
ความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
๓. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร
มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
๔. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร
มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
[๓๒๗] โพชฌงค์ ๗ อย่าง
๑. สติสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือความระลึกได้]
๒. ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือการสอดส่องธรรม]
๓. วิริยสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือความเพียร]
๔. ปีติสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือความอิ่มใจ]
๕. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือความสงบ]
๖. สมาธิสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือความตั้งใจมั่น]
๗. อุเปกขาสัมโพชฌงค์ [องค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้คือ ความวางเฉย]
มรรคมีองค์ 8 ดังนี้
[๓๓๙] ดูกรอุทายี อีกประการหนึ่ง เราได้บอกปฏิปทาแก่สาวกทั้งหลายแล้ว สาวก
ทั้งหลายของเราปฏิบัติตามแล้ว ย่อมเจริญอริยมรรคมีองค์แปด. ดูกรอุทายี ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เจริญสัมมาทิฏฐิ เจริญสัมมาสังกัปปะ เจริญสัมมาวาจา เจริญสัมมากัมมันตะ เจริญสัมมาอาชีวะ
เจริญสัมมาวายามะ เจริญสัมมาสติ เจริญสัมมาสมาธิ. ก็เพราะสาวกทั้งหลายของเราปฏิบัติตาม
ปฏิปทาที่เราบอก แล้วเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้นแล สาวกของเราเป็นอันมากจึงได้บรรลุบารมี
อันเป็นที่สุดแห่งอภิญญาอยู่.
[๑๗๖] ในมรรคมีองค์ ๘ นั้น สัมมาทิฏฐิ เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม ความเห็นชอบ ธัมมวิจยสัม
โพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค อันใดนี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ
[๑๗๗] สัมมาสังกัปปะ เป็นไฉน
ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ฯลฯ ความดำริชอบ อันเป็นองค์แห่ง
มรรค นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ
[๑๗๘] สัมมาวาจา เป็นไฉน
การงด การเว้น การเลิกละ เจตนาเครื่องเว้น จากวจีทุจริต ๔ กิริยาไม่ทำ การไม่ทำ
การไม่ล่วงละเมิด การไม่ล้ำเขต การกำจัด ต้นเหตุวจีทุจริต๔ วาจาชอบ อันเป็นองค์แห่งมรรค
นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่าสัมมาวาจา
[๑๗๙] สัมมากัมมันตะ เป็นไฉน
การงด การเว้น การเลิกละ เจตนาเครื่องเว้น จากกายทุจริต ๓ กิริยาไม่ทำ การไม่ทำ
การไม่ล่วงละเมิด การไม่ล้ำเขต การกำจัดต้นเหตุกายทุจริต๓ การงานชอบ อันเป็นองค์แห่งมรรค
นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่าสัมมากัมมันตะ
[๑๘๐] สัมมาอาชีวะ เป็นไฉน
การงด การเว้น การเลิกละ เจตนาเครื่องเว้น จากมิจฉาอาชีวะ กิริยาไม่ทำ การไม่ทำ
การไม่ล่วงละเมิด การไม่ล้ำเขต การกำจัด ต้นเหตุมิจฉาอาชีวะ การเลี้ยงชีพชอบ อันเป็นองค์
แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค อันใดนี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ
[๑๘๑] สัมมาวายามะ เป็นไฉน
การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ ความพยายามชอบ วิริยสัมโพชฌงค์อันเป็นองค์แห่ง
มรรค นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ
[๑๘๒] สัมมาสติ เป็นไฉน
สติ ความตามระลึก ฯลฯ ความระลึกชอบ สติสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค
นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่า สัมมาสติ
[๑๘๓] สัมมาสมาธิ เป็นไฉน
ความตั้งอยู่แห่งจิต ฯลฯ ความตั้งใจชอบ สมาธิสัมโพฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค
นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ