สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของเรา ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้นะคะ ** (สะกดผิด เขียนผิด แนะนำกันได้นะคะ)
“จะไปเรียนต่อที่อินเดียนะ” เชื่อเหอะ ... คำพูดที่จะได้ยินกลับมาร้อยละ 80 คือ
- อินเดียเนี่ยนะ !!
- เฮ้ย ... สกปรกอ่ะ ไม่ไหวหรอก
- คนอินเดียกลิ่นเต่าเหม็นมากนะแก
- แก.. ผู้หญิงไปเรียน มันไม่ปลอดภัยเปล่าวะ ... ข่าวข่มขืนเยอะอ่ะ
เอาตรง ๆ อินเดียเนี่ย ... เป็นประเทศที่ใหญ่มาก แถมจำนวนประชากรเยอะสุด ๆ ... ก็พูดกันตามจริงว่า มันก็ต้องมีพื้นที่เจริญ พื้นที่กันดาร มีเมือง มีชนบท มีคนมีการศึกษา และมีคนไม่มีการศึกษา ใช่เปล่าหล่ะ ดังนั้นภาพแย่ ๆ ว่าเรารู้มามันก็มี แต่ภาพดี ๆ ที่เรายังไม่รู้ มันมีอีกเยอะมากนะ
เกริ่นมาเยอะและยาวมาก ถึงเวลาลองปิดภาพเก่า ๆ ที่มีในใจเกี่ยวกับอินเดีย แล้วลองมาฟังบ้างดีกว่าว่า ….
“อินเดียมีอะไรดี ทำไมเดี๋ยวนี้คนถึงนิยมมาเรียนกัน”
จากประสบการณ์ตรงของเราเองนั้น ... ตัวเรา เริ่มต้น จากมาเรียนอินเดียเพราะ “อยากไปเรียน ภาษาอังกฤษ ที่ไหนก็ได้ที่ ราคาถูก แล้วได้ใช้จริง” ตอนนั้น เรามีเป้าหมายสามข้อ
1) เราอยากไปเรียนต่อ ป.เอก
2) เราอยากไปเรียนที่ต่างประเทศ
3) (ข้อนี้สำคัญที่สุดสำหรับเรา) เราอยากไปเรียนด้วยการสอบชิงทุน!!
จากเป้าหมายของเราทั้งสามข้อ “ภาษาอังกฤษ” จึงกลายเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งมันก็เป็นตัวปัญหามากที่สุดสำหรับคนไทยแท้ ๆ อย่างเรา (ร้องไห้)
ช่วงนั้น เราต้องสอบ IELTS เพื่อให้ได้คะแนนมากพอที่จะไปยื่นสมัครเข้ามหาลัย รวมถึงสมัครทุนต่าง ๆ แต่แล้วด้วยภาษาอังกฤษแบบกระดกกระเดี้ยแถมขี้เกียจอ่านหนังสือตัวเป็นขนแบบเรา มันไม่มีหนทางอื่นที่ระดับภาษาอังกฤษเราจะดีขึ้นได้ นอกจากเราต้องไปหาที่ติว ... แต่ด้วยความที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัด ถ้าเราจะหาสถาบันติวที่ดี ๆ ที่เค้าว่ากันว่ารับรองผล เราต้องลงไปเรียนที่กรุงเทพ แล้วคอร์สส่วนใหญ่จะเรียน อาทิตย์ละ 2-3 วัน ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน ส่วนราคาก็อย่างที่ทราบ ๆ กัน ถ้ายิ่งสถาบันดี รับรองผลนู่นนี่นั่น ... เงินปลิวไปจากกระเป๋าแน่ ๆ หลักสองสามหมื่นบาท !!
พอเราเริ่มคำนวณสิ่งที่เราต้องจ่ายหากเราต้องลงไปอยู่เรียนที่กรุงเทพ ทั้งค่าเรียน ค่าที่พัก ค่าเดินทาง รวมไปถึงค่ากินของเราเองแล้ว สนนราคาออกมาเกินครึ่งแสนปลาย ๆ เลยจ้า ... ด้วยยอดเงินที่สูงขนาดนั้น มันทำให้มีไอเดียแว๊ป ๆ เข้ามาในหัวเราทันทีว่า “เอ๊ะ ถ้าไปเรียนเมืองนอกเลย มันจะได้เปล่าวะ”
จากไอเดียนั้น ... เราก็เลยเริ่มหาข้อมูลว่า ถ้าเราต้องจ่ายเงินราคาประมาณนี้ มีประเทศไหนที่เราจะไปเรียนแล้วได้ใช้ภาษาอังกฤษจริง ๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เราพัฒนาภาษาอังกฤษเราได้อย่างรวดเร็วในเวลา 2 เดือนบ้าง .... และแล้ว คำตอบของคำถามในหัวของเรา ก็ถูกไขกระจ่างจากพี่สาวเราเองว่า…
“ประเทศอินเดียไงเธอ ... ของดีราคาถูกยังมีอยู่จริง”
เฮือกแรก ที่ได้ยิน ... เราไม่ต่างอะไรกับคนอื่น ๆ เรามองหน้าพี่สาวเรา แล้วบอกว่า “อินเดียเนี่ยนะ เดี๋ยวก็ติด ร.เรือ กระดกลิ้นรัว ๆ ได้สำเนียงแขกมาหรอก ไม่เอาอ่ะ” แต่เราก็ เออ ๆ ออ ๆ เพราะพี่สาวเราเป็นคนจ่ายเงินให้มาเรียนไง เราก็เริ่มหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจครั้งสำคัญ แล้วนี่คือข้อมูลทั่วไปที่เราได้มา ..
1. เมืองบังกาลอร์ ... เมืองไอที ดังด้านคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ อากาศสบายกว่ากรุงเทพ
2. คอร์สเรียนไอเอล ใช้เวลาเรียน 1-3 เดือน ตามแต่ระดับภาษาที่มีมาก่อนหน้า ส่วนมากเรียนทุกวัน วันละ 2 ชั่วโมง และราคาถูกกว่าไทยเกือบสองถึงสามเท่า
3. ค่าที่พักและค่ากิน ถูกกว่าอยู่กรุงเทพเป็นแท้และแน่นอน
4. ผู้คนในเมืองใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกันเป็นเรื่องปกติ ทำให้เราสามารถพัฒนาทักษะการพูดและฟังได้แน่ ๆ
5. สำเนียงแขก (อันนี้เราหาข้อมูลหนักมาก) เราได้คำตอบมาว่า “
แก่ขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่เด็กเพิ่งเริ่มพูด เราแทบจะไม่ติดสำเนียงภาษาอังกฤษของแขกแน่นอน” ** เรื่องนี้จริง ... พอมาอยู่จริงแล้วเรารู้เลยว่า สำเนียงแขกฟังยาก แต่เชื่อไหมว่าเค้าคุยกับต่างชาติได้เข้าใจกว่าสำเนียงแบบไทย ๆ แบบเราที่ออกเสียง R กับ L ไม่ถูกสักที รวมถึงตอนนี้เราก็ยังพูดสำเนียงไทยจ๋า ไม่ติดกระดกลิ้นรัว ๆ มาเลยสักนิด
เอาหล่ะ ... พอตัดสินใจ นู่นนี่นั่น ทำวีซ่า ซื้อตั๋วเครื่องบิน ก็ได้เวลาเดินทางสู้สังเวียนจริงสักที ...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ปัจจุบันการเดินทางมาบังกาลอร์ มีสายการบินที่บินตรง 2 สายการบิน ใช้ระยะเวลาเดินทาง สามชั่วโมงครึ่ง ด้วย การบินไทย ที่ให้บริการทุกวัน และแอร์เอเชีย ที่ให้บริการสัปดาห์ละ 5 วัน ยกเว้นวันพุธและวันเสาร์
วันที่เรามาถึง เราเข้าพักที่หอพักแบบห้องแชร์ 2 คนกับน้องคนไทย ที่เดินทางไปพร้อมกัน เราเข้าเรียนสถาบันภาษาอังกฤษที่ย่านกัมมันฮาลี (Kammanahalli) สมัยนั้นจำนวนคนไทยที่อยู่ย่านนี้ นับหัวได้เลยจ้า มีเรียนวนกันอยู่ 2-3 สถาบันเท่านั้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้<< ข้อมูลอัพเดท :: ย่านที่นักเรียนไทยนิยมมาเรียนภาษา มีทั้งหมด 4 ย่าน คือ Kammanahalli, Frazer Town, Jaibharatnagar และ Frazer Town ซึ่งในปัจจุบัน ย่านที่สถาบันภาษาเยอะที่สุดคือย่าน Kammanahalli มีสถาบันภาษาอย่างเป็นทางการอยู่มากกว่า 30 สถาบัน >>
โดยปกติของคนที่ต้องมาเรียนภาษา สิ่งแรกที่จะต้องทำเมื่อไปถึงสถาบันในวันแรกคือการสอบวัดระดับ เพื่อทางสถาบันจะได้จัดคลาสภาษาให้เราได้ถูกตามความรู้ที่เรามี แต่เริ่มเดิมทีแบบที่เราบอกไว้ว่า เราตั้งใจจะมาเรียน IELTS แต่ด้วยความที่ IELTS มันเรียนแค่วันละ 2 ชั่วโมง แล้วภาษาเราก็กระดิกกระเดี้ยมาก เราเลยตัดสินใจเพิ่มคอร์ส Diploma เข้าไปอีก 5 ชั่วโมงต่อวัน แถมอาจารย์เห็นว่าเรามีเวลาน้อย ยังใจดีให้เราไปลงเรียน speaking class แบบฟรีๆ อีก 2 ชั่วโมงต่อวัน .. โอ้ แม่เจ้า เกิดมาไม่เคยเรียนเยอะขนาดนี้เลยให้ตายเหอะ ซึ่งตารางเรียนของเราแบ่งออกเป็น
1. 9 am – 11 am เรียน speaking class
2. 11 am – 5 pm เรียน Diploma class (มีพักเที่ยงตอนบ่าย 2 ถึงบ่าย 3 คือ...เฮ้ยยยยย คนอินเดียกินข้าวกลางวันช้ามาก)
3. 5 pm – 7 pm เรียน IELTS class
ตอนนั้นเราก้มหน้าก้มตาเรียน เรียน เรียน แบบเต็มสูบมาก แต่เสาร์ – อาทิตย์ คือว่างไง เราก็ใช้มันให้คุ้มสิ รออะไร ... ห้างเอย ผับเอย (ที่นี่เรียกกันว่า ไนท์คลับ นาจา ... นั่งดื่มชิว ๆ ฟังดนตรีสดแบบที่ไทยเหรอ ... เก็บพับไปเลย ที่นี่ต้องแดนซ์โอนลี่ ... พี่อินเค้าแดนซ์กันฟอร์กระจายนะคะ) ดูหนังงี้ นั่งส่องหนุ่มงี้ ... โอยย เรียกได้เลยว่า มาอินเดียได้ทำทุกอย่างครบรสอ่ะ เราก็เรียนหนัก ๆ แบบนั้นไปเดือนนึง แล้วก็เริ่มหยุดคลาสพูด เพราะเราไม่มีเวลาจะทำการบ้านของ IELTS ที่มันเยอะมากถึงมากที่สุด
เล่ายาวมาถึงตรงนี้ เอาเป็นว่า เราขอสรุปให้ฟังเลยดีกว่า ว่า
มาเรียนภาษาที่อินเดียมันดียังไง จากประสบการณ์ตรงของเราเอง
1. เรียนภาษาอังกฤษที่อินเดีย “
ราคาถูก มว๊ากกก” ยิ่งถ้านับหารต่อชั่วโมง ราคาพอ ๆ หรือไม่ก็ถูกกว่าที่ไทยแน่นอนอ่ะ
2.
คลาสเรียนขนาดเล็ก ที่นี่ห้องเรียนห้องนึงมักจะมีนักเรียนประมาณ 4-6 คน มากสุดไม่เกิน 12 คนในบางสถาบัน และแน่นอน นักเรียนไทยแท้แบบเรา แทบไม่เคยมีปากเสียงในคลาสเรียน แต่ด้วยความที่ห้องเรียนมันคนน้อยไง ครูก็จี้ให้พูด ให้ตอบ ให้เรากล้าแสดงความคิดเห็น แถมครูยังใส่ใจเราได้เต็มที่อีกด้วย
3.
ทักษะการพูด เราได้พัฒนาขึ้นแบบไม่ทันรู้ตัว เพราะตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากหอ มันก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารแล้วอ่ะ ... คนอินเดียที่บังกาลอร์ สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าขายชา หรือแม้กระทั้งคนขับรถออโต้ก็ตาม
4. การเรียนภาษาอังกฤษ ที่
เน้นการพูดฟัง มาก่อนแกรมม่า ... เฮ้ยยยยย คือจุดนี้มันคือจุดพีค!!! มาอยู่ที่นี่ เค้าเน้นให้เราพูดให้รู้เรื่องก่อน แกรมม่ามาทีหลัง แล้วคือเราชอบ เราเชื่อเลยว่าถ้าคนเราพูดฟังรู้เรื่องแล้ว จากนั้นอ่านออกเขียนได้ มันตามมาแน่นอน แต่ถ้าอ่านออกเขียนได้ แต่พูดฟังไม่รู้เรื่อง มันจะไปสนุกอะไรกับการเรียนที่ต้องนั่งอ่านหนังสือและเขียนแบบฝึกหัดตอบคำถามอยู่ตลอดเวลาอ่ะ
5.
เพื่อนร่วมคลาสที่ไม่ใช่คนไทย ซึ่งข้อนี้มันสำคัญมากสำหรับมุมมองของเรา เรามองว่ามันยากมาก ที่เราจะหันมาพูดภาษาอังกฤษกับเพื่อนคนไทย แล้วเราจะเอาโอกาสที่ไหนไปฝึกพูดจริง ๆ จัง ๆ ใช่ปละ... แต่ในเมื่ออีเพื่อนร่วมคลาสมันไม่ใช่คนไทย เราก็จำเป็นที่จะต้องใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเม้าท์มอย จะไปเที่ยว จะไปกินข้าว ... สกิลภาษาอังกฤษ ถูกขุดจากซีรีบรัมชั้นลึกสุดออกมาใช้งานแน่นอน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้<< นอกเรื่อง :: หลายคนอาจจะสงสัยว่าเพื่อนร่วมคลาสเป็นต่างชาติมาจากไหน เพราะคนอินเดียก็พูดภาษาอังกฤษได้อยู่แล้วเนื่องจากโรงเรียนส่วนใหญ่ในตัวเมือง จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการเรียนการสอนไปเลย ... คำตอบก็คือ เพื่อนร่วมคลาสของเราเป็นชนชาติ “อาหรับ” เป็นส่วนมากจ้า มาจากหลากหลายประเทศ อาทิเช่น เยเมน ซาอุดิอารเบีย โอมาน ซูดาน รวมไปถึงอาจจะมีเกาหลี ญี่ปุ่น มองโกเลีย และแอฟริกัน >>
6.
เปิดโลกทัศน์ให้กว้าง จากที่เราบอกว่าเพื่อนร่วมคลาสที่เป็นต่างชาติ มันทำให้เราได้เรียนรู้ว่า คนต่างชาติ ต่างภาษา ต่างศาสนาและต่างวัฒนธรรมเนี่ย มันมีอะไรที่แตกต่างทั้งการใช้ชีวิต การกินการอยู่ รวมถึงความเชื่อความศรัทธาที่แบบเราต้องร้อง เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ยยยยย เยอะมาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้<< นอกเรื่อง :: เมื่อตอนเรามาใหม่ ๆ เป็นครั้งแรกที่เราได้เรียนรู้นิสัยและวัฒนธรรมของเพื่อนอาหรับ บางคนเคร่งมากขนาดที่ไม่คุยกับผู้หญิง และไม่ขอนั่งเรียนติดกับเพื่อนผู้หญิงก็ยังมี หรืออย่างไปกินข้าวด้วยกัน ด้วยวัฒนธรรมพวกเค้า ชอบกินข้าวกันแบบในถาดใหญ่ ๆ ใช้มือกินอะไรงี้ ... เรื่องพวกนี้เรามองว่ามันเป็นของแถมพิเศษที่ทำให้เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมของคนต่างถิ่น ซึ่งเราหาไม่ได้จากห้องเรียนในเมืองไทยแน่นอนอ่ะ >>
** มีต่อที่ความเห็นข้างล่างนะคะ **
ทำไม.. ถึงเลือก (เรียน) “อินเดีย” ตอน : เรียนภาษาอังกฤษ ณ เมืองบังกาลอร์
“จะไปเรียนต่อที่อินเดียนะ” เชื่อเหอะ ... คำพูดที่จะได้ยินกลับมาร้อยละ 80 คือ
- อินเดียเนี่ยนะ !!
- เฮ้ย ... สกปรกอ่ะ ไม่ไหวหรอก
- คนอินเดียกลิ่นเต่าเหม็นมากนะแก
- แก.. ผู้หญิงไปเรียน มันไม่ปลอดภัยเปล่าวะ ... ข่าวข่มขืนเยอะอ่ะ
เอาตรง ๆ อินเดียเนี่ย ... เป็นประเทศที่ใหญ่มาก แถมจำนวนประชากรเยอะสุด ๆ ... ก็พูดกันตามจริงว่า มันก็ต้องมีพื้นที่เจริญ พื้นที่กันดาร มีเมือง มีชนบท มีคนมีการศึกษา และมีคนไม่มีการศึกษา ใช่เปล่าหล่ะ ดังนั้นภาพแย่ ๆ ว่าเรารู้มามันก็มี แต่ภาพดี ๆ ที่เรายังไม่รู้ มันมีอีกเยอะมากนะ
เกริ่นมาเยอะและยาวมาก ถึงเวลาลองปิดภาพเก่า ๆ ที่มีในใจเกี่ยวกับอินเดีย แล้วลองมาฟังบ้างดีกว่าว่า ….
จากประสบการณ์ตรงของเราเองนั้น ... ตัวเรา เริ่มต้น จากมาเรียนอินเดียเพราะ “อยากไปเรียน ภาษาอังกฤษ ที่ไหนก็ได้ที่ ราคาถูก แล้วได้ใช้จริง” ตอนนั้น เรามีเป้าหมายสามข้อ
1) เราอยากไปเรียนต่อ ป.เอก
2) เราอยากไปเรียนที่ต่างประเทศ
3) (ข้อนี้สำคัญที่สุดสำหรับเรา) เราอยากไปเรียนด้วยการสอบชิงทุน!!
จากเป้าหมายของเราทั้งสามข้อ “ภาษาอังกฤษ” จึงกลายเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งมันก็เป็นตัวปัญหามากที่สุดสำหรับคนไทยแท้ ๆ อย่างเรา (ร้องไห้)
ช่วงนั้น เราต้องสอบ IELTS เพื่อให้ได้คะแนนมากพอที่จะไปยื่นสมัครเข้ามหาลัย รวมถึงสมัครทุนต่าง ๆ แต่แล้วด้วยภาษาอังกฤษแบบกระดกกระเดี้ยแถมขี้เกียจอ่านหนังสือตัวเป็นขนแบบเรา มันไม่มีหนทางอื่นที่ระดับภาษาอังกฤษเราจะดีขึ้นได้ นอกจากเราต้องไปหาที่ติว ... แต่ด้วยความที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัด ถ้าเราจะหาสถาบันติวที่ดี ๆ ที่เค้าว่ากันว่ารับรองผล เราต้องลงไปเรียนที่กรุงเทพ แล้วคอร์สส่วนใหญ่จะเรียน อาทิตย์ละ 2-3 วัน ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน ส่วนราคาก็อย่างที่ทราบ ๆ กัน ถ้ายิ่งสถาบันดี รับรองผลนู่นนี่นั่น ... เงินปลิวไปจากกระเป๋าแน่ ๆ หลักสองสามหมื่นบาท !!
พอเราเริ่มคำนวณสิ่งที่เราต้องจ่ายหากเราต้องลงไปอยู่เรียนที่กรุงเทพ ทั้งค่าเรียน ค่าที่พัก ค่าเดินทาง รวมไปถึงค่ากินของเราเองแล้ว สนนราคาออกมาเกินครึ่งแสนปลาย ๆ เลยจ้า ... ด้วยยอดเงินที่สูงขนาดนั้น มันทำให้มีไอเดียแว๊ป ๆ เข้ามาในหัวเราทันทีว่า “เอ๊ะ ถ้าไปเรียนเมืองนอกเลย มันจะได้เปล่าวะ”
จากไอเดียนั้น ... เราก็เลยเริ่มหาข้อมูลว่า ถ้าเราต้องจ่ายเงินราคาประมาณนี้ มีประเทศไหนที่เราจะไปเรียนแล้วได้ใช้ภาษาอังกฤษจริง ๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เราพัฒนาภาษาอังกฤษเราได้อย่างรวดเร็วในเวลา 2 เดือนบ้าง .... และแล้ว คำตอบของคำถามในหัวของเรา ก็ถูกไขกระจ่างจากพี่สาวเราเองว่า…
เฮือกแรก ที่ได้ยิน ... เราไม่ต่างอะไรกับคนอื่น ๆ เรามองหน้าพี่สาวเรา แล้วบอกว่า “อินเดียเนี่ยนะ เดี๋ยวก็ติด ร.เรือ กระดกลิ้นรัว ๆ ได้สำเนียงแขกมาหรอก ไม่เอาอ่ะ” แต่เราก็ เออ ๆ ออ ๆ เพราะพี่สาวเราเป็นคนจ่ายเงินให้มาเรียนไง เราก็เริ่มหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจครั้งสำคัญ แล้วนี่คือข้อมูลทั่วไปที่เราได้มา ..
1. เมืองบังกาลอร์ ... เมืองไอที ดังด้านคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ อากาศสบายกว่ากรุงเทพ
2. คอร์สเรียนไอเอล ใช้เวลาเรียน 1-3 เดือน ตามแต่ระดับภาษาที่มีมาก่อนหน้า ส่วนมากเรียนทุกวัน วันละ 2 ชั่วโมง และราคาถูกกว่าไทยเกือบสองถึงสามเท่า
3. ค่าที่พักและค่ากิน ถูกกว่าอยู่กรุงเทพเป็นแท้และแน่นอน
4. ผู้คนในเมืองใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกันเป็นเรื่องปกติ ทำให้เราสามารถพัฒนาทักษะการพูดและฟังได้แน่ ๆ
5. สำเนียงแขก (อันนี้เราหาข้อมูลหนักมาก) เราได้คำตอบมาว่า “แก่ขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่เด็กเพิ่งเริ่มพูด เราแทบจะไม่ติดสำเนียงภาษาอังกฤษของแขกแน่นอน” ** เรื่องนี้จริง ... พอมาอยู่จริงแล้วเรารู้เลยว่า สำเนียงแขกฟังยาก แต่เชื่อไหมว่าเค้าคุยกับต่างชาติได้เข้าใจกว่าสำเนียงแบบไทย ๆ แบบเราที่ออกเสียง R กับ L ไม่ถูกสักที รวมถึงตอนนี้เราก็ยังพูดสำเนียงไทยจ๋า ไม่ติดกระดกลิ้นรัว ๆ มาเลยสักนิด
เอาหล่ะ ... พอตัดสินใจ นู่นนี่นั่น ทำวีซ่า ซื้อตั๋วเครื่องบิน ก็ได้เวลาเดินทางสู้สังเวียนจริงสักที ... [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วันที่เรามาถึง เราเข้าพักที่หอพักแบบห้องแชร์ 2 คนกับน้องคนไทย ที่เดินทางไปพร้อมกัน เราเข้าเรียนสถาบันภาษาอังกฤษที่ย่านกัมมันฮาลี (Kammanahalli) สมัยนั้นจำนวนคนไทยที่อยู่ย่านนี้ นับหัวได้เลยจ้า มีเรียนวนกันอยู่ 2-3 สถาบันเท่านั้น [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ >
โดยปกติของคนที่ต้องมาเรียนภาษา สิ่งแรกที่จะต้องทำเมื่อไปถึงสถาบันในวันแรกคือการสอบวัดระดับ เพื่อทางสถาบันจะได้จัดคลาสภาษาให้เราได้ถูกตามความรู้ที่เรามี แต่เริ่มเดิมทีแบบที่เราบอกไว้ว่า เราตั้งใจจะมาเรียน IELTS แต่ด้วยความที่ IELTS มันเรียนแค่วันละ 2 ชั่วโมง แล้วภาษาเราก็กระดิกกระเดี้ยมาก เราเลยตัดสินใจเพิ่มคอร์ส Diploma เข้าไปอีก 5 ชั่วโมงต่อวัน แถมอาจารย์เห็นว่าเรามีเวลาน้อย ยังใจดีให้เราไปลงเรียน speaking class แบบฟรีๆ อีก 2 ชั่วโมงต่อวัน .. โอ้ แม่เจ้า เกิดมาไม่เคยเรียนเยอะขนาดนี้เลยให้ตายเหอะ ซึ่งตารางเรียนของเราแบ่งออกเป็น
1. 9 am – 11 am เรียน speaking class
2. 11 am – 5 pm เรียน Diploma class (มีพักเที่ยงตอนบ่าย 2 ถึงบ่าย 3 คือ...เฮ้ยยยยย คนอินเดียกินข้าวกลางวันช้ามาก)
3. 5 pm – 7 pm เรียน IELTS class
ตอนนั้นเราก้มหน้าก้มตาเรียน เรียน เรียน แบบเต็มสูบมาก แต่เสาร์ – อาทิตย์ คือว่างไง เราก็ใช้มันให้คุ้มสิ รออะไร ... ห้างเอย ผับเอย (ที่นี่เรียกกันว่า ไนท์คลับ นาจา ... นั่งดื่มชิว ๆ ฟังดนตรีสดแบบที่ไทยเหรอ ... เก็บพับไปเลย ที่นี่ต้องแดนซ์โอนลี่ ... พี่อินเค้าแดนซ์กันฟอร์กระจายนะคะ) ดูหนังงี้ นั่งส่องหนุ่มงี้ ... โอยย เรียกได้เลยว่า มาอินเดียได้ทำทุกอย่างครบรสอ่ะ เราก็เรียนหนัก ๆ แบบนั้นไปเดือนนึง แล้วก็เริ่มหยุดคลาสพูด เพราะเราไม่มีเวลาจะทำการบ้านของ IELTS ที่มันเยอะมากถึงมากที่สุด
เล่ายาวมาถึงตรงนี้ เอาเป็นว่า เราขอสรุปให้ฟังเลยดีกว่า ว่ามาเรียนภาษาที่อินเดียมันดียังไง จากประสบการณ์ตรงของเราเอง
1. เรียนภาษาอังกฤษที่อินเดีย “ราคาถูก มว๊ากกก” ยิ่งถ้านับหารต่อชั่วโมง ราคาพอ ๆ หรือไม่ก็ถูกกว่าที่ไทยแน่นอนอ่ะ
2. คลาสเรียนขนาดเล็ก ที่นี่ห้องเรียนห้องนึงมักจะมีนักเรียนประมาณ 4-6 คน มากสุดไม่เกิน 12 คนในบางสถาบัน และแน่นอน นักเรียนไทยแท้แบบเรา แทบไม่เคยมีปากเสียงในคลาสเรียน แต่ด้วยความที่ห้องเรียนมันคนน้อยไง ครูก็จี้ให้พูด ให้ตอบ ให้เรากล้าแสดงความคิดเห็น แถมครูยังใส่ใจเราได้เต็มที่อีกด้วย
3. ทักษะการพูด เราได้พัฒนาขึ้นแบบไม่ทันรู้ตัว เพราะตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากหอ มันก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารแล้วอ่ะ ... คนอินเดียที่บังกาลอร์ สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าขายชา หรือแม้กระทั้งคนขับรถออโต้ก็ตาม
4. การเรียนภาษาอังกฤษ ที่เน้นการพูดฟัง มาก่อนแกรมม่า ... เฮ้ยยยยย คือจุดนี้มันคือจุดพีค!!! มาอยู่ที่นี่ เค้าเน้นให้เราพูดให้รู้เรื่องก่อน แกรมม่ามาทีหลัง แล้วคือเราชอบ เราเชื่อเลยว่าถ้าคนเราพูดฟังรู้เรื่องแล้ว จากนั้นอ่านออกเขียนได้ มันตามมาแน่นอน แต่ถ้าอ่านออกเขียนได้ แต่พูดฟังไม่รู้เรื่อง มันจะไปสนุกอะไรกับการเรียนที่ต้องนั่งอ่านหนังสือและเขียนแบบฝึกหัดตอบคำถามอยู่ตลอดเวลาอ่ะ
5. เพื่อนร่วมคลาสที่ไม่ใช่คนไทย ซึ่งข้อนี้มันสำคัญมากสำหรับมุมมองของเรา เรามองว่ามันยากมาก ที่เราจะหันมาพูดภาษาอังกฤษกับเพื่อนคนไทย แล้วเราจะเอาโอกาสที่ไหนไปฝึกพูดจริง ๆ จัง ๆ ใช่ปละ... แต่ในเมื่ออีเพื่อนร่วมคลาสมันไม่ใช่คนไทย เราก็จำเป็นที่จะต้องใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเม้าท์มอย จะไปเที่ยว จะไปกินข้าว ... สกิลภาษาอังกฤษ ถูกขุดจากซีรีบรัมชั้นลึกสุดออกมาใช้งานแน่นอน [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
6. เปิดโลกทัศน์ให้กว้าง จากที่เราบอกว่าเพื่อนร่วมคลาสที่เป็นต่างชาติ มันทำให้เราได้เรียนรู้ว่า คนต่างชาติ ต่างภาษา ต่างศาสนาและต่างวัฒนธรรมเนี่ย มันมีอะไรที่แตกต่างทั้งการใช้ชีวิต การกินการอยู่ รวมถึงความเชื่อความศรัทธาที่แบบเราต้องร้อง เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ยยยยย เยอะมาก [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
** มีต่อที่ความเห็นข้างล่างนะคะ **