ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 3/6/2017 - มายา กับพระเจ้าจากอวกาศ

กระทู้คำถาม

ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ

1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน  ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีครับอมยิ้ม17 สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้ผม MC WANG JIE (แอ๊ด) เข้าประจำการครับอมยิ้ม36

วันนี้ จะเล่าเรื่องราวของ ชนเผ่ามายา ในอดีตกาล กับอารยธรรม ความเจริญที่น่าทึ่งของพวกเขา บวกกับ ตำนานชวนพิศวงเรื่อง "พระเจ้า" ของชนเผ่านี้


    อาณาจักรมายา ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกากลาง มีพื้นที่อยู่ในบริเวณประเทศเม็กซิโกคาบเกี่ยวกับเบลีซและกัวเตมาลา  มีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในช่วง 500 ปี ก่อนคริสตกาล จนถึง ค.ศ. 1502  มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ นครวากา (ปัจจุบันคือ เอลเปรู)  มีอายุร่วมสมัยเดียวกันกับ อารยธรรม เตโอตีอัวกาน (Teotihuacan) ถือว่าเป็นอาณาจักรที่ใหญ่มาก เพราะมีพื้นที่คาบเกี่ยวถึง 3 ปีะเทศคือ เม็กซิโก กัวเตมาลา และ ฮอนดูรัส

    อาณาจักรมายา เจริญรุ่งเรืองไพศาลมาก มีอายุยาวนานนับได้ราวสองพันปี นับตั้งแต่คริสต์ศักราช 250 (พ.ศ.793) และช่วงระหว่างปี พ.ศ. 800-1450 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยุโรปกำลังตกอยู่ในยุคมืดแห่งอวิชชา แต่สำหรับชาวมายานั้น อารยธรรมของพวกเขาได้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด เพราะพวกเขา มีทั้งสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่า ปิรามิด และพระราชวังที่ใหญ่โตมโหฬารวิจิตรอลังการมากมาย !


นักโบราณคดียุคปัจจุบัน ต่างตื่นตะลึงกับสิ่งก่อสร้างอันมหัศจรรย์ของชาวมายา ซึ่งไม่ใช้เครื่องมือโลหะในการก่อสร้างเลย เช่น วิหารรูปทรงปิรามิด ,พระราชวัง,หอดูดาว เป็นต้น  ยอดปิรามิดของชาวมายาจะแบนราบ ต่างจากปิรามิดของชาวอียิปต์ที่ยอดแหลม ยกเว้นปิรามิดแบบ "ขั้นบันได" ที่ทั้งสองแห่งมีเหมือนกัน


ปิรามิดที่เมืองติกัลสูงถึง 212 ฟุต บนส่วนยอดมีห้องมากมาย แท่นบูชา กับหินแกะสลักอักษรภาพ  และพระราชวังของเมืองติกัลเป็นอาคาร 4 ชั้น มีห้องมากถึง 42 ห้อง  เมืองอักซ์มัลมีโรงละครขนาดใหญ่ ทุกอย่างล้วนดูยิ่งใหญ่อลังการ น่าอัศจรรย์ เพราะอย่าว่าแต่สมัยโบราณเลย แม้จนถึงปัจจุบันนี้การสร้างสิ่งก่อสร้างแบบนี้นับว่าสร้างได้ยากมากๆ (ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องไม่มีเครื่องมืออุปกรณ์ใดๆเหมือนชาวมายาในอดีต)

ชาวมายามีความปราดเปรื่องในศาสตร์หลายแขนง ได้แก่คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ สถาปัตยกรรม ชลประทาน การทอผ้า การทำเครื่องปั้นดินเผา และมีระบบปฏิทินและภาษาเขียนของตนเอง นอกจากนั้นยังเชี่ยวชาญด้านเกษตรกรรมอีกด้วย


ความรู้ต่างๆ เหล่านี้ มาจากไหน ? ในเมื่อยุคนั้น พวกเขาแทบจะไม่มีอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมืออะไรเลย ???

อาณาจักรมายันมีเมืองสำคัญหลายเมือง คือ เมืองติกัล (Tikal) เพเตน (Peten) ในประเทศกัวเตมาลา ปาเลงกอ (Palenque) ในภาคใต้ของประเทศเม็กซิโก เมืองโคปัน (Copan) ในประเทศฮอนดูรัส เมือง อิทซา (Itzar) อักซ์มัล (Uxmal) และมายาปัน (mayapan) ในบริเวณคาบสมุทรยูคาตัน เมืองของชาวมายาประกอบด้วยชุมชนเกษตรอยู่ชั้นนอก ชุมชนเมืองอยู่ชั้นในล้อมรอบจุดศูนย์กลางซึ่งเป็นบริเวณสิ่งก่อสร้างที่ใช้ ประกอบพิธีกรรมต่างๆ

อาณาจักรมายันรุ่งเรืองมาตั้งแต่คริสต์ศักราช 250 และรุ่งเรืองสูงสุดเมื่อคริสต์ศักราช 900 หลังจากนั้นก็เสื่อมสลายลง

ทอม เชฟเวอร์ นักโบราณคดีหนึ่งเดียวขององค์การนาซาจากศูนย์การบินอวกาศมาร์แชลและทีมงาน ทำการศึกษาซากเมืองเพเตนในประเทศกัวเตมาลาซึ่งติดกับพรมแดนเม็กซิโก โดยการขุดค้นหาหลักฐานใต้พื้นดินและใช้รีโมตเซนซิ่งหาหลักฐานที่สายตามนุษย์มองไม่เห็น  สิ่งที่เชฟเวอร์ค้นพบใต้พื้นดินทั่วทั้งบริเวณของเมืองร้างแห่งนี้คือเรณูของต้น หญ้าแทนที่จะเป็นเรณูของต้นไม้ใหญ่ หลักฐานนี้แสดงว่าป่าไม้ของเมืองเพเตนลดลงกินบริเวณกว้างเมื่อประมาณ 1,200 ที่ผ่านมา  ทีมงานบอกว่าเมื่อไม่มีป่าฝนก็จะเกิดการกัดเซาะ และการระเหยของน้ำ และการกัดเซาะจะรุนแรงจนกวาดเอาปุ๋ยที่หน้าดินไปจนหมดสิ้น หลักฐานการกัดเซาะได้ถูกค้นพบในชั้นดินตะกอนในทะเลสาบ ยิ่งไปกว่านั้นการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ปกคลุมพื้นดินคือป่าไม้จะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น

บ๊อบ โอเกิลส์บี นักวิทยาศาสตร์ด้านอากาศของศูนย์การบินอวกาศมาร์แชลหนึ่งในทีมงานใช้แบบจำลอง คอมพิวเตอร์คำนวณผลแล้วปรากฏว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้น 5-6 องศาเซลเซียส การที่อุณหภูมิสูงขึ้นมีผลทำให้ผืนแผ่นดินแห้งแล้งซึ่งไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของพืช  นอกจากนั้นอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะมีผลกระทบต่อการมีฝนด้วย ดังนั้นในฤดูแล้งเมืองเพเตนจะตกอยู่ในสภาพขาดแคลนน้ำ ขณะที่น้ำใต้พื้นดินก็ลึกถึง 500 ฟุต จนไม่สามารถจะขุดนำมาใช้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวมายาจะต้องอาศัยการเก็บกักน้ำในอ่างเก็บน้ำแต่มันก็คงจะระเหยไปจนไม่ทันได้ใช้ ยิ่งไปกว่านั้นการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ปกคลุมพื้นดินคือป่าไม้จะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น บ๊อบ โอเกิลส์บี นักวิทยาศาสตร์ด้านอากาศของศูนย์การบินอวกาศมาร์แชลหนึ่งทีมงานใช้แบบจำลอง คอมพิวเตอร์คำนวณผลแล้วปรากฏว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้น 5-6 องศาเซลเซียส การที่อุณหภูมิสูงขึ้นมีผลทำให้ผืนแผ่นดินแห้งแล้งซึ่งไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของพืช นอกจากนั้นอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะมีผลกระทบต่อการมีฝน ด้วย ดังนั้นในฤดูแล้งเมืองเพเตนจะตกอยู่ในสภาพขาดแคลนน้ำ ขณะที่น้ำใต้พื้นดินก็ลึกถึง 500 ฟุต จนไม่สามารถจะขุดนำมาใช้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวมายาจะต้องอาศัยการเก็บกักน้ำในอ่างเก็บน้ำแต่มันก็คงจะระเหยไปจนไม่ทันได้ใช้ ขณะที่อาณาจักรมายันมีประชากรจำนวนมากซึ่งจำเป็นจะต้องใช้อาหารและน้ำเป็นจำนวนมากด้วย พอๆ กับนครลอสแองเจลิสในปี 2000 ซึ่งมีประชากร 2,345 คนต่อหนึ่งตารางไมล์ จนกระทั่งถึงคริสต์ศักราช 950 ก็เกิดความหายนะ " บางทีราว 90-95% ของชาวมายาต้องตายไป" เชฟเวอร์กล่าว

หลักฐานที่สนับสนุนความเป็นไปได้ก็คือ การพบว่ากระดูกของชาวมายาซึ่งมีชีวิตอยู่ในราวสองสามทศวรรษก่อนอาณาจักรมายันจะล่มสลายซึ่งแสดงว่าเป็นโรคขาดอาหารอย่างรุนแรง เชฟเวอร์ สรุปการศึกษาในครั้งนี้ว่า นักโบราณคดีเคยโต้เถียงกันมานานว่า สาเหตุของการล่มสลายว่าเป็นเพราะความแห้งแล้ง หรือสงคราม หรือโรคระบาดอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้ทีมงานของเขาคิดว่าทั้งหมดล้วนมีบทบาท ทว่าสาเหตุหลักก็คือ การขาดอาหารและน้ำอย่างยาวนาน ซึ่งเกิดจากความแห้งแล้งทางธรรมชาติผสมผสานกับการทำลายป่าไม้ของมนุษย์....ทั้งหมดนี้คือข้อสันนิษฐานของนักวิชาการ

พีระมิดของชาวมายาต่างไปจากของอียิปต์ตรงที่สำหรับชาวมายาแล้วพีระมิดเป็นสถานที่สำหรับสักการะพระเจ้า เมื่อพระเดินขึ้นไปตามบันไดสูงของพีระมิด ก็เหมือนกับได้เดินขึ้นสู่สวรรค์ไปคุยกับพระเจ้า พีระมิดของมายาจึงเป็นการเชื่อมต่อระหว่างสวรรค์กับโลก ผิดกับของอียิปต์ที่ไม่ได้ถูกสร้างเพื่อจุดประสงค์ทางศาสนา ส่วนข้อที่เหมือนกันระหว่างสถาปัตยกรรมของทั้ง 2 อารยธรรมนี้ก็เห็นจะเป็นการใช้ฐานของพีระมิดเป็นสุสาน เก็บศพกษัตริย์เท่านั้น ต่อมาเมื่ออารยธรรมมายารุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ กษัตริย์ยุคหลังๆ ก็เริ่มสร้างพีระมิดเพื่อโอ่อำนาจของตัวเอง ไม่ได้สร้างเพื่อสักการะพระเจ้าอย่างเดียวเหมือนในสมัยแรกๆพีระมิดหลายแห่งในทิคัลเปิดให้นักท่องเที่ยวปีนขึ้นไปชมวิวรอบๆ บริเวณได้ แต่บันได สูงชันมาก แต่พอปีนขึ้นไปก็หายเหนื่อยเพราะจะเห็นทิวไม้เขียวขจีของป่าสุดลูกหูลูกตา แถมยังเห็นยอดของพีระมิดแห่งอื่นภายในบริเวณเดียวกันที่โผล่พ้นยอดไม้ขึ้นมา เป็นภาพที่ประทับใจ


ชาวมายามีความรู้และเทคโนโลยีที่ทุกคนเห็นแล้วจะต้องทึ่ง และเป็นคนกลุ่มแรกในโลกที่คิดค้นนำเลขศูนย์มาใช้ในการคำนวณ ปัจจุบันเราใช้เลขฐาน 10 แต่ชาวมายาจะใช้เลขฐาน 20 คือนับ 1 ถึง 20 แล้วจึงเริ่มต้นใหม่ สัญลักษณ์ของเลขศูนย์คือรูปคล้ายๆ เปลือกหอย เลข 1 แทนด้วยจุด 1 จุด สำหรับเลข 5 ชาวมายาใช้เส้นแนวนอนสั้นๆ เป็นสัญลักษณ์แทน ดังนั้นถ้าเห็นจุด 4 จุดอยู่บนเส้นแนวนอน 1 เส้น นั่นหมายถึงเลข 9 นอกจากนี้ชาวมายายังมีเทคนิค การคำนวณปฏิทินของตัวเอง ซึ่งนักโบราณคดีพบว่าจำนวนวันในรอบ 1 ปีที่คำนวณตามกฎของชาวมายาโบราณนั้นมีความถูกต้องตามหลักดาราศาสตร์ปัจจุบัน มากกว่าระบบปฏิทินแบบเกรกอเรียนที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เสียอีก

คราวนี้มาว่ากันถึงเรื่อง "ตำนาน" ของชาวมายาที่มีบันทึกไว้ว่า ในอดีตกาล พวกเขาได้พบกับ "พระเจ้าจากฟากฟ้า" และ "พระเจ้า" ของพวกเขา มีผิวขาว เครายาว "พระเจ้า" นั้น ได้สอนความรู้ต่างๆให้กับพวกเขาเป็นอันมาก และแล้ว วันหนึ่ง "พระเจ้า" บอกกับพวกเขาว่า จำเป็นต้องจากพวกเขาไปแล้ว แต่สักวันหนึ่งในอนาคต "พระเจ้า" จะกลับมาอีก อย่างแน่นอน !!!

น่าแปลก ที่พระเจ้าของพวกเขา ล้วนพิลึกกึกกือที่สุด มีภาพแกะสลักบางภาพ เป็นรูปสาวกของพระเจ้ากำลังปราบปีศาจร้าย และอาวุธที่อยู่ในมือ นักโบราณคดีต่างลงความเห็นว่า มันคือ ปืน อย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อสองพันกว่าปีก่อนมีปืนใช้กันแล้วหรือ? ภาชนะบางชิ้นของพวกเขาก็เช่นกัน ถ้วยบางชิ้นมีภาพวาดของมนุษย์สวมหมวกอวกาศ และรูปนี้ เป็นรูป "พระเจ้า" กำลังขับยานอวกาศ ใช่หรือไม่ ???

ความเจริญของชาวมายา สิ้นสุดลงด้วยน้ำมือของชาวสเปน ซึ่งเริ่มล่าอาณานิคมในแถบละตินอเมริกา เมื่อปี ค.ศ.1517 และพยายามยึดแผ่นดินของชาวท้องถิ่นพร้อมกับฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวมายาที่ไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างของชาวสเปน สเปนไม่ได้นำแต่เรือรบมาเทียบท่าเท่านั้น แต่ยังนำโรคภัยไข้เจ็บที่ชาวมายาไม่เคยรู้จักมาก่อนมาฝากเขาอีก ไม่ว่าจะเป็นโรคฝีดาษ ไข้หวัดใหญ่ หรือหัด ผลจากการรุกรานของชาวสเปนครั้งนี้ทำให้ประชากรชาวมายากว่า 90% ต้องล้มหายตายจากจนเกือบจะสูญเผ่าพันธุ์ไปภายในเวลาแค่ 100 ปีเท่านั้น  และตอนที่พวกสเปนบุกเข้าไป พวกสเปน มีผิวขาว มีเครายาว...ซึ่งตรงกับลักษณะของ "พระเจ้า" ของชาวมายา เรื่องเศร้าจึงเกิดขึ้น พวกเขาจะทำการต้อนรับพวกสเปน ไม่มีอาวุธใดๆในมือ แต่พวกสเปน ฆ่าพวกเขาอย่างเหี้ยมโหดและยึดสมบัติมีค่าของพวกเขาไป กับเข้ายึดครองอาณาจักรของพวกเขา...

บางที "พระเจ้า" ของพวกเขา อาจกลับมาจริงๆ แต่ กลับมาช้าเกินไป กลับมาผิดยุคผิดสมัย

จบแล้วครับ ไว้พบกันใหม่ ในวันเสาร์หน้าครับ

เครดิต ที่มาของข้อมูล :http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2010/02/X8908369/X8908369.html,https://pantip.com/topic/35359353/,http://teen.mthai.com/variety/22561.html,และภาพจาก กูเกิ้ล


และต่อแต่นี้เป็นต้นไป เชิญทุกท่าน เข้าสู่มิติแห่งการแลกเปลี่ยนเสียงเพลงแก่กันและกันตามอัธยาศั
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 20
สวัสดีค่ะ MC พี่แอ๊ด และเพื่อนๆ ห้องเพลง

ขอบคุณค่ะ อ่านสนุก ได้ความรู้ อีกแล้ว  มาร่วมแจม



ชาวมายามีความเจริญด้านอารยธรรมอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ไม่มีคนรู้จักจนกระทั่งการล่าอาณานิคม สเปนเป็นชาติแรกที่เข้าไป และต่อมาชาวยุโรปก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์มากมาย ดังที่หัวกระทู้ว่าไว้ จนคำเล่าลือแพร่ไป ผู้คนก็แห่เข้ามาศึกษากัน



ชาวมายาเชื่อว่าพระเจ้ามีชื่อว่า Kukulcan แปลว่าพญางูบิน

ชาวมายารู้จักค้าขายเกลือ หยกและเครื่องปั้นดินเผา แต่ชาวมายาไม่รู้จักใช้ล้อและไม่รู้จักการถลุงแร่ ซึ่งแสดงว่าชาวมายาดำรงชีวิตเหมือนมนุษย์หินที่รู้จักใช้เพียงไม้ กระดูกสัตว์ หินปูน และหินทรายในการสร้างเมือง

ชาวมายานับถือเทพเจ้ามาก และมีเทพเจ้ามากมาย ทั้งสุริยเทพ วสันตเทพ และมรณเทพ เทพเจ้าเหล่านี้ทรงโปรดปรานการเสวยเลือด ดังนั้นจึงมีพิธีบูชายัญด้วยชีวิตของหญิงพรหมจารี (บริสุทธิ์) เพื่อถวายเทพ




ชาวมายาเป็นแค่ชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่กลางป่าดงดิบ แต่มีความรู้ทางดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นเยี่ยม ชาวมายานั้นคิดปฏิทินขึ้นมาได้ตั้งแต่สองพันปีที่แล้ว


เขายังคำนวณวันเดือนปีเดินหน้าถอยหลังไปถึงสี่ร้อยล้านปี!! รู้จักวงโคจรของดาวศุกร์ (Venus) ราวกับตาเห็น ทั้งที่กล้องดูดาวก็ไม่มีใช้กัน นอกจากนั้นยังรู้จักดาวยูเรนัสและเนปจูนเสียด้วย ทั้งที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยังเพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่นานมานี้เอง

ปฏิทินของชาวมายา


ปิระมิดของชาวมายาก็มีความหมาย ชาวมายาเป็นแค่คนกลุ่มเล็กๆ ไม่ใช่มหาอำนาจอย่างอียิปต์ ไม่มีทางเกณฑ์ไพร่พลมากมายมาสร้างสิ่งมหึมาขนาดนั้นได้ ก็ไม่รู้ว่าทำได้ยังไง

ทุกด้านประกอบด้วยบันไดด้านละ 91 ขั้น รวมกับยกพื้นที่ฐานของปิระมิดอีกนับรวมเป็นได้ 365 ครบหนึ่งปีพอดี ถือเป็นปฏิทินถาวรอย่างหนึ่งของชาวมายา หนึ่งปีของชาวมายามี 13 เดือน และฤดูกาลอีก 4 ฤดู ไม่น้อยหน้าคนสมัยใหม่อย่างพวกเราซักนิด

ปิระมิดของชาวมายามีความสูงกว่า 150 ฟุต ประกอบด้วยบันไดทางขึ้น 4 ด้าน บนยอดปิระมิดจะแบนราบแตกต่างไปจากของอียิปต์ที่ปลายแหลม บนยอดวิหารมีห้องต่างๆ  มีแท่นบูชา หินแกะสลัก ฯลฯ



นอกจากนี้ ตามเมืองใหญ่น้อยยังมีป้อมปราการสร้างเป็นเชิงเทิน และมีสิ่งก่อสร้าง ที่เรียกว่า วัง อีกหลายแห่ง


มีการสร้างอ่างเก็บน้ำด้วย นักโบราณคดีอึ้งเมื่อได้พบเขื่อนและอ่างเก็บน้ำถึง 13 แห่งในเมืองติกัล ติดกับบริเวณศักดิ์สิทธิ ต่อมาก็พบท่อส่งน้ำและทางระบายน้ำชั้นดีที่ทำเอาการประปาสมัยนี้ยังอาย ไม่น่าเชื่อเนอะสิ่งเหล่านี้ขึ้นเมื่อ 2000 เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://allmysteryworld.blogspot.com/2011/06/blog-post_4141.html#ixzz4iwHtLh1Q
http://nunaroundtheworld.blogspot.com/2015/09/blog-post.html
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2010/02/X8908369/X8908369.html
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/X2773178/X2773178.html
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่