นครโบราณสาปสูญที่ถูกค้นพบ

 เทสซาโลนีกิแห่งกรีซ


เมืองเทสซาโลนีกินับเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางการค้าสำคัญมานานหลายร้อยปีของประเทศกรีซ ตอนนี้ได้กลายเป็นแหล่งโบราณคดีที่น่าตื่นเต้น หลังจากคนงานขุดสร้างทางรถไฟใต้ดินได้ค้นพบเมืองโบราณจมอยู่ข้างใต้   โดยสำนักงานโบราณวัตถุเทสซาโลนีกิเผยว่าเมืองเก่าแก่แห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 6 ช่วงอารยธรรมไบเซนไทน์ และน่าจะเป็นยุคสมัยของจักรพรรดิจัสตีเนียน

ภายในเมืองโบราณยังมีสิ่งปลูกสร้างคล้ายคฤหาสน์ที่ระบุว่าสร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 4 โดยพบพื้นห้องอาบน้ำร้อนในคฤหาสน์ที่มีแหวนทองคำตกอยู่
สันนิษฐานว่าแหวนอาจเป็นของผู้หญิงที่ลืมทิ้งไว้ตอนไปอาบน้ำในยุคนั้น 
 
นอกจากนี้ ยังมีรายการวัตถุโบราณมากกว่า 300,000 รายการที่ขุดพบตามเส้นทางการสร้างรถไฟใต้ดิน ไม่ว่าจะเป็นหรีดทองและอัญมณีที่อยู่บนหลุมศพกว่า 5,000 หลุม, เหรียญโบราณราวๆ 50,000 เหรียญ, ลานหินอ่อน 2 แห่ง, อ่างน้ำพุขนาด 15 เมตร และโบสถ์คริสเตียนในยุคแรกๆ ฯลฯ
 
อย่างไรก็ตาม การค้นพบโบราณสถานและขุมทรัพย์ครั้งนี้ ดูจะเป็นสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากการขุดสร้างทางรถไฟใต้ดินอันเป็นโครงการระยะเวลา 15 ปี จริงๆแล้วควรเสร็จสิ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 แต่ก็ล่าช้ามาถึงปัจจุบัน ซึ่งกำหนดว่าจะต้องเสร็จสิ้นในปี พ.ศ.2563 แต่การรักษาเมืองโบราณใต้ดินก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน 
 นักโบราณคดีเผยว่าเมืองแห่งนี้จะเป็นสิ่งที่เติมเต็มช่องว่างทางประวัติศาสตร์ที่ขาดหายไปของเมืองเทสซาโลนีกิ. 
เขียนโดย menmen 
Cr. https://generalmenmen.blogspot.com/2018/07/blog-post_31.html
 
 
 


Ciudad Perdida


ย้อนกลับไปในปี 1972 กลุ่มนักล่าสมบัติที่กำลังออกเดินทางอยู่ในป่ารกทึบของเขต Sierra Nevada ประเทศ โคลอมเบีย ได้บังเอิญพบกับบันไดหินที่มีลักษณะคล้ายกับกำลังนำพาไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง และเมื่อกลุ่มนักล่าสมบัติเดินตามไปเรื่อยๆ จนสุดขั้นบันได พวกเขาก็ได้พบกับ นครโบราณร้าง ซึ่งพวกเขาตั้งชื่อตามภาษาสเปนว่า ‘Ciudad Perdida’ หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า ‘นครโบราณที่หายสาบสูญ’ ทั้งนี้กลุ่มนักสำรวจไม่ได้ค้นพบนครโบราณเพียงอย่างเดียว พวกเขายังค้นพบทองคำ รูปปั้นโบราณ และ สิ่งของมีค่าอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนถูกส่งไปขายต่อยังตลาดมืดทั้งสิ้น

กว่าที่ทางการโคลอมเบียจะทราบเรื่อง และเริ่มบูรณะนครโบราณแห่งนี้ก็ปาเข้าไปปี 1976 ซึ่งในเวลานั้นนครโบราณ Ciudad Perdida เหลือเพียงแค่โครงสร้างไม่ได้มีสิ่งของมีค่าใดๆ อยู่อีกแล้ว โดยจากการศึกษาของนักโบราณคดี พบว่านครโบราณแห่งนี้น่าจะมีอายุราวๆ ค.ศ. 650 – 800 ซึ่งมันมีอายุเก่าแก่กว่า มาชูปิกชู ในประเทศเปรูเสียด้วยซ้ำ และเมื่อครั้งที่นคร Ciudad Perdida เจริญรุ่งเรือง มันอาจมีผู้อยู่อาศัยมากถึง 2,000 – 8,000 คนเลยทีเดียว
 
ส่วนสาเหตุที่ทำให้นครโบราณถูกทิ้งร้างเป็นเพราะสเปนเข้ามาล่าอาณานิคมในดินแดนแห่งนี้ ทำให้ชาวเมือง Ciudad Perdida ต้องสละทิ้งเมือง หรือไม่พวกเขาก็อาจจะถูกฆ่าสังหารจนสิ้น แม้ปัจจุบันนครโบราณ Ciudad Perdida จะไม่หลงเหลือสิ่งของล้ำค่าอยู่อีกแล้ว แต่สิ่งปลูกสร้างของที่นี่ก็ถือว่าอัศจรรย์และยิ่งใหญ่เป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่มาเยือนจะได้พบกับบันไดหินซึ่งถูกเรียงตามทางเดินเป็นจำนวน 1,200 ขั้น อีกทั้งยังมีพื้นและระเบียงหิน ซึ่งถูกสลักจากหินของภูเขาสร้างความสวยงามตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
 
ในอดีตนครโบราณ Ciudad Perdida ถือเป็นสถานที่อันตรายและมีเหตุลักพาตัวนักท่องเที่ยวอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากกลุ่มที่ลักพาตัวนักท่องเที่ยวต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการกับกลุ่มกบฏ ซึ่งออกมาปล้นฆ่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ไม่ไกลจากนครโบราณ Ciudad Perdida อยู่เป็นประจำ โดยในปี 2003 มีนักท่องเที่ยวถูกลักพาตัวไปถึง 8 คน ก่อนที่ทางการโคลอมเบียจะยอมรับข้อเสนอและจัดการกับกลุ่มกบฏ ทำให้สถานการณ์ในเขตนครโบราณ Ciudad Perdida กลับมาเป็นปกติสุขอีกครั้ง
เขียนโดย menmen 
Cr.https://generalmenmen.blogspot.com/2018/06/ciudad-perdida.html
 
 

 
เมืองโบราณ ชาวมายัน


อาณาจักรมายา (Maya) เป็นอาณาจักรโบราณที่ตั้งอยู่ในอเมริกากลางแถบประเทศเม็กซิโก เบลิซ และกัวเตมาลา ซึ่งอารยธรรมมายายิ่งใหญ่ที่สุดอารยธรรมหนึ่งของโลก สร้างสรรค์ทั้งสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และก่อเกิดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ที่เป็นมรดกล้ำค่าให้คนรุ่นหลังได้นำมาใช้ประโยชน์ ล่าสุดมีการค้นพบซากเมืองโบราณในป่าดงดิบกัวเตมาลา โดยนักโบราณคดีจากสหรัฐอเมริกา ยุโรป และกัวเตมาลา ที่ทำงานร่วมกับมูลนิธิธรรมชาติและมรดกชาวมายันในกัวเตมาลา

ทีมวิจัยใช้เทคนิคการทำแผนที่ด้วยการสะท้อนแสงเลเซอร์ที่เรียกว่า LiDAR (Light Detection And Ranging) ลงไปที่ผืนป่า ทำให้พบโครงสร้างพื้นฐานอาคารบ้านเรือนรวมถึงสถาปัตยกรรมต่างๆ และพีระมิด โดยเทคโนโลยีดังกล่าวสร้างให้เห็นรูปทรงของสิ่งปลูกสร้าง และเมื่อวัดขนาดของพื้นที่แล้วพบว่าเมืองโบราณแห่งนี้ใหญ่ประมาณ 2,100 ตารางกิโลเมตร และยังมีร่องรอยการทำเกษตรกรรม การขุดคลองชลประทานขนาดใหญ่ รวมถึงกำแพงกั้นคูน้ำ รวมทั้งป้อมปราการ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าในเมื่อครั้งอดีตนั้นมีชาวมายันอาศัยอยู่ราวๆ 10 ล้านคน

ทีมสำรวจเผยว่า อารยธรรมมายาเจริญรุ่งเรืองระหว่างประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช มาจนถึงคริสต์ศักราชที่ 900 โดยลูกหลานของชนเผ่ามายันยังคงอาศัยอยู่ในภูมิภาคแถบนี้ และเมื่อวิเคราะห์จากเส้นทางสัญจรและสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งการขยายตัวของการทำเกษตรกรรม ก็ตั้งข้อสังเกตว่าอารยธรรมมายานั้นแตกต่างจากวัฒนธรรมโบราณอื่นๆ.­­
Cr.https://www.thairath.co.th/news/foreign/1202208




Angamuco


ศาสตราจารย์คริส ฟิเชอร์ นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยโคโลราโดสเตทของสหรัฐฯ เผยว่าพบซากเมืองใหญ่ของชาว Purépecha ซึ่งเป็นชนเผ่าศัตรูของชาวแอซเท็คในป่าลึก โดยอารยธรรมของชนเผ่านี้มีความรุ่งเรืองอย่างยิ่งในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 ก่อนที่นักล่าอาณานิคมชาวสเปนจะมาถึงดินแดนแถบอเมริกากลาง
ซากเมืองโบราณดังกล่าวซึ่งมีชื่อว่า "อันกามูโค" (Angamuco) มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของเมือง Tzintzuntzan ซึ่งเป็นเมืองหลวงของชนเผ่า Purépecha ที่นักโบราณคดีค้นพบไปก่อนหน้านี้ โดยคาดว่ามีพื้นที่กว่า 26 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรราว 1 แสนคน อาศัยอยู่ในอาคารบ้านเรือนกว่า 40,000 หลัง ซึ่งความหนาแน่นของสิ่งปลูกสร้างในเมืองนี้เทียบได้กับใจกลางเมืองใหญ่ของโลกอย่างย่านแมนฮัตตันในสหรัฐฯ

เมืองอันกามูโคมีรูปแบบของผังเมืองแตกต่างไปจากเมืองใหญ่ในปัจจุบัน โดยแทนที่จะรวมสิ่งก่อสร้างสำคัญเช่นพีระมิดและจัตุรัสต่าง ๆ เอาไว้ที่ศูนย์กลาง เมืองแห่งนี้กลับกระจายสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ออกไปอยู่ในพื้นที่ 8 แห่งรอบนอก แต่ก็ยังคงทำให้เมืองแห่งนี้เป็นเมืองโบราณยุค ค.ศ. 1,000-1,350 ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของเม็กซิโก เท่าที่เคยมีการค้นพบมา

ปัจจุบันมีการขุดค้นพื้นที่ของเมืองโบราณนี้ไปแล้วบางส่วน โดยพบเศษภาชนะเซรามิกและเครื่องบวงสรวงจำนวนหนึ่ง  หากนักโบราณคดีดำเนินการสำรวจโดยไม่ใช้เทคโนโลยีล่าสุดเข้าช่วย คาดว่าอาจต้องใช้เวลากว่า 10 ปี กว่าที่จะทำการสำรวจได้ทั่ว
Cr.https://www.bbc.com/thai/international-43095695



Timgad 


ทิมกาด (Timgad) อาณาจักรโบราณหนึ่งในอาณานิคมของโรมัน ตั้งอยู่ในเทือกเขา Aurès ณ ประเทศแอลจีเรีย เป็นเมืองเก่าแก่ที่เคยรุ่งเรืองมากในสมัย2,000 ปีที่แล้ว โดยเมืองมีพื้นที่กว้างขวางสำหรับผู้อยู่อาศัยกว่า 15,000 คน และเมืองนี้ยังเป็นหนึ่งในต้นแบบการวางผังเมืองแบบตาราง ซึ่งได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกเรียบร้อยแล้ว

ทิมกาดยังมีซากปรักหักพังที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรสมัยก่อนไว้มากมาย ซึ่งก่อตั้งโดยจักพรรดิทราจัน (จักรพรรดิไตรยานุส) ผู้ได้ชื่อว่าเป็นจักรพรรดิที่ดีและเก่งกาจทั้งด้านการปกครองและด้านการทหารของโรมัน

 โดยเจตนาแรกต้องการสร้างเป็นป้อมปราการเพื่อป้องกันชนเผ่าเบอร์เบอร์ พลเมืองส่วนใหญ่ก็คือทหารที่ได้รับรางวัลจากการผ่านศึกนั่นเอง และผังเมืองนี้เป็นรูปทรงจัตรุรัสมีความยาว 355 เมตรในทุกด้าน แต่ต่อมาประชากรได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น จึงได้แผ่ขยายเมืองเพิ่มเติมไป 4 เท่า แต่ยังคงรูปทรงจัตรุรัสไว้

สมัยก่อนเมืองนี้แสดงถึงความรุ่งเรืองทางด้านวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ที่ดี ตั้งแต่แหล่งทำการเกษตรที่สมบูรณ์ขนาด 1,000 เมตร มีโรงละครขนาดใหญ่ซึ่งมีความจุกว่า 3,500 ที่นั่งอยู่ใจกลางเมือง และยังมีสถานที่สำหรับชุมชนทั้งห้องสมุด โบส์และห้องอายน้ำสาธารณะ นอกจากนี้ยังมีแลนด์มาร์คประตูชัยทราจันที่สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้เกียรติจักรพรรดิทราจัน

ทิมกาดสงบสุขมาได้หลายร้อยปี แต่ในช่วงศตวรรษที่ 5 เมืองได้ถูกบุกรุกและโดนพวกชนเผ่าเบอร์เบอร์โจมตีจนเมืองเสื่อมโทรมลง แต่ก็ถูกฟื้นฟูอีกครั้งโดยจักรพรรดิท่านอื่น แต่สุดท้ายในศตวรรษที่ 7 เมืองก็ถูกโจมตีอีกครั้งจากชนเผ่าอาหรับอย่างรุนแรงจนเมืองล่มสลายไป ฝังอยู่ในดินทรายและถูกขุดพบขึ้นในปีค.ศ.1881
Cr.https://travel.thaiza.com/foreign/340805/



Ucetia 


ซากอารยธรรมของเมืองโรมันโบราณที่เชื่อกันว่ามีอายุเก่าแก่ถึง 2,000 ปี ได้เผยโฉมปรากฏให้โลกเห็นอีกครั้ง โดยเชื่อกันว่าเป็นเมือง Ucetia เมืองโบราณที่เคยมีชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์
การค้นพบครั้งนี้เกิดขึ้นทางตอนใต้ของฝรั่งเศส บรรดาทีมนักโบราณคดีพากันประหลาดใจกับสิ่งที่พวกเขาพบเจอไม่ว่าจะเป็นร่องรอยของสิ่งปลูกสร้างในอดีต ตลอดจนภาพกระเบื้องโมเสคที่ถ่ายทอดศิลปะอันงดงามในช่วงเวลานั้น ด้วยภาพเรขาคณิตขนาดใหญ่ และสิงสาราสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นนกฮูก, กวาง, นกอินทรี และเป็ด นอกจากนั้นทีมนักโบราณคดียังค้นพบเครื่องปั้นดินเผาอีกจำนวนหนึ่งอีกด้วย
 
 ตามประวัติศาสตร์ชาวโรมันพิชิตดินแดนฝรั่งเศสเมื่อ 121 ปี ก่อนคริสตกาล โดยเมืองที่ค้นพบนี้ถูกเชื่อว่ามีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 จนถึงศตวรรษที่ 7
 
หนึ่งในความประทับใจที่ทีมนักโบราณคดีค้นพบก็คือ บริเวณพื้นของส่วนที่เคยเป็นอาคารนี้น่าจะเป็นระบบอาคารส่วนกลางของเมืองที่ทำหน้าที่ให้ความร้อน หรือที่เรียกกันว่า Hypocaust ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชาวโรมันในสมัยนั้นที่สร้างความร้อนใต้พื้นของอาคารเพื่อช่วยให้กำแพง และพื้นของอาคารอบอุ่นขึ้น ตลอดจนมีการสร้างท่อปลดปล่อยไอร้อนขึ้นมายังบนอาคาร

การค้นพบครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการเตรียมการก่อสร้างโรงเรียนแห่งใหม่ ในปี 2019 ซึ่งทางนักโบราณคดีจะเคลื่อนย้ายภาพโมเสคทั้งหมดนี้ออก เพื่อนำไปเก็บรักษาไว้ยังที่อื่น นักประวัติศาสตร์คาดหวังว่าหลักฐานชิ้นใหม่เหล่านี้จะช่วยให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการล่มสลายของอาณาจักรโรมันมากขึ้น

อาณาจักรโรมันในอดีตนั้นแผ่ขยายอิทธิพลครอบคลุมตั้งแต่อังกฤษ, สเปน, ฝรั่งเศส, เบลเยียม ไปจนถึงเยอรมนี และสวิสเซอร์แลนด์ นอกจากในยุโรปแล้วยังแผ่ขยายไปถึงบางส่วนของแอฟริกาทางตอนเหนือ และบางส่วนของเอเชียอย่างพื้นที่ในตุรกี และซีเรียอีกด้วย ก่อนที่จะล่มสลายลงในปีค.ศ. 476 โดยมีทฤษฎีที่ว่าเป็นผลมาจากการรุกรานของอาณาจักรอื่นๆ และการล่มสลายจากภายในเองเมื่อช่องว่างระหว่างคนจน และคนรวยมีมากเกินไป
Cr. https://www.posttoday.com/world/488263
 
  
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่