ตามชื่อกระทู้เลยค่ะ มัลดีฟส์คือทริปในฝันที่เราอยากไปมากๆ พอดีสบโอกาสได้แต่งงาน เลยไปอ้อนคุณแฟนขอไปฮันนีมูนที่มัลดีฟส์ พอแฟนตกลงเราก็รอเวลาสอยตั๋วโปรงามๆจาก Bangkok Airways ได้มาที่ราคา ไป-กลับ คนละ 7,xxx บาท เดินทาง 25-28 May 2017 ซึ่งเป็นช่วง Low Season ค่ะ ที่เลือกช่วงนี้เพราะราคาที่พักจะถูกกว่าช่วง High มาก เดี๋ยวมาดูกันนะคะว่าบรรยากาศการเที่ยวช่วง Low Season จะเป็นยังไง จากนั้นเราค่อยหาที่พักค่ะ ข้อมูลเราหาจากเอเจ้นต่างๆและรีวิวในพันทิปนี่แหละค่ะ โดยเลือกงบประมาณที่เราจ่ายไหว และสไตล์ที่พักที่เราชอบ โดยเราจองที่พักกับเอเจ้นจะได้ถูกกว่าจองโดยตรงกับโรงแรม และก็สะดวกดีค่ะ ลองเทียบลองดูหลายๆเจ้านะคะ อ่านรีวิวของคนอื่นมาเยอะ เลยอยากแชร์ประสบการณ์ของเราบ้างค่ะ หวังว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆบ้างนะคะ ออกตัวก่อนว่าเราถ่ายรูปไม่เก่งนะคะ ใช้ Lumix GF7 จบหลังกล้อง ไม่แต่งเพิ่มเพราะทำไม่เป็นค่ะ
การเดินทาง
เราเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปมัลดีฟส์ โดยสายการบิน Bangkok Airways ซึ่งจะมีไฟล์ทบินทุกวันๆละ 2 ไฟล์ท คือ ขาไป PG711 (ออกจากไทย 9.30 น.) และขากลับ PG712 (กลับถึงไทย 19.05 น.) เคาท์เตอร์เชคอิน Bangkok Airways ที่สนามบินสุวรรณภูมิ อยู่แถว F จะเปิดให้เชคอิน 6.30 น. ซึ่งเราไปถึงสนามบินและเชคอินตอน 7 โมงกว่าๆ คิวเชคอินน้อยมาก จากนั้นก็ผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง คนไม่ค่อยเยอะ และมีช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Automatic Channel) ทำให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ แม้จะมีเครื่องตรวจอัตโนมัติแล้ว เรายังคงต้องกรอกบัตรขาออก (ใบสีขาว) ส่งให้เจ้าหน้าที่ที่ยืนประจำเครื่องอยู่ด้วยนะคะ
ก่อนขึ้นเครื่องเราแวะทานของว่างที่ Boutique Lounge บริเวณ Gate A ชั้น 3 อาหารก็จะมีแซนวิช เบเกอรี่ ข้าวต้มมัด ป๊อปคอร์น เครื่องดื่มร้อน-เย็น และมี free Wi-Fi ให้ด้วยค่ะ





เมื่อขึ้นเครื่องแล้วก็จะมีของว่างเสิร์ฟให้ก่อนเลยค่ะ เป็นกล้วยหอมทอดอบกรอบและเครื่องดื่ม สักพักก็เสิร์ฟอาหาร อิ่มปุ๊ปหลับปั๊ป ^^


เครื่องบินใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง 15 นาที ก็จะถึงสนามบิน Velana International Airport (MLE) อยู่ที่มาเล่ เมืองหลวงของประเทศมัลดีฟส์ เมื่อผ่านออกมาด้านนอกจะมีเจ้าหน้าที่ถือป้ายชื่อโรงแรมรอรับอยู่ เราก็เดินเข้าไปหาแจ้งว่าพักที่ Centara Grand เจ้าหน้าจะพาไปเชคอินที่ Trans Maldivian Airways แล้วส่งเราขึ้นรถบัสเพื่อไปขึ้น Sea plane ค่ะ เราต้องรอไฟล์ทบินของเราอีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ บริเวณที่รอก็จะมีร้านเล็กๆขายอาหารและเครื่องดื่ม และมี free Wi-Fi ค่ะ แน่นอนสิ่งแรกที่ทำก็คือเชคอินในเฟซบุ๊คซิคะจะรออะไร ^^ เมื่อใกล้ถึงเวลาบินเจ้าหน้าที่จะประกาศเรียก หรือเราดูจากจอแสดงไฟล์ทและเวลาบินเองก็ได้ค่ะ เดินไปรอที่ห้องเล็กๆใกล้ๆกันนั้นแหละ แต่ห้องนี้มีแอร์และมีน้ำดื่มขวดเล็กให้ฟรี รอไม่นานเจ้าหน้าที่จะมานำไปที่เครื่องบินค่ะ


ประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตกับ Sea plane ก็สนุกดีนะคะ นักบินแต่งตัวชิคมาก ขาสั้นรองเท้าแตะ 555+ แต่อากาศในห้องโดยสารค่อนข้างอบอ้าวและเสียงใบพัดดังพอสมควร โชคร้ายว่าตอนที่ขึ้นเครื่องไปแล้วปรากฏว่าฝนตกค่ะ ขาไปเลยไม่ได้เห็นวิวสวยๆ แต่โชคดีว่าขากลับฝนไม่ตกค่ะ เลยได้เห็นวิวสวยๆเหมือนในรีวิวต่างๆที่เราหาข้อมูล แต่อยากบอกว่ามาเห็นด้วยตาตัวเองสวยกว่าแน่นอนค่ะ
ขาไป

ขากลับ



อย่างที่บอกว่า ขาไปพอขึ้น Sea plane ไปแป๊ปเดียวฝนก็ตก บินไปกลางทางคือตกหนักขึ้นอีก นักบินตัดสินใจลงจอดก่อนถึงที่ แล้วแจ้งว่าทางข้างหน้าฝนตกหนักมากเราต้องจอดรอดูสถานการณ์ก่อน รอสักพักฝนเริ่มตกหนักขึ้น เค้าก็แจ้งว่าเดี๋ยวจะมีเรือของโรงแรมใกล้ๆนี้มารับให้ไปพักบนเกาะก่อน แล้วทาง Centara จะส่งเรือมารับเราอีกที เหมือนจะมีเครื่องบินอีกลำที่ประสบชะตากรรมเดียวกันกับเราด้วยค่ะ โรงแรมที่เราไปพักคือ Vilamendhoo จากนั้นเรือของ Centara ก็มารับเราไปถึงที่พักโดยสวัสดิภาพค่ะ เย่ๆ (ช่วงนี้ไม่มีรูปค่ะ ฝนกระหน่ำ กลัวกล้องเปียก)
ที่พัก
เราเลือก Centara Grand Island Resort & Spa Maldives ด้วยเหตุผลว่า
1. เราชอบสไตล์การตกแต่งแบบนี้
2. มี All-inclusive program ซึ่งรวมอาหาร เครื่องดื่ม กิจกรรมที่น่าสนใจไว้ให้หมดแล้ว เราไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีก
3. บริเวณที่พักมีแนวปะการังสวยงาม
4. มีห้องพักกลางน้ำ
5. อยู่ในงบประมาณที่ตั้งไว้
ห้องพักเราเลือกแบบ Deluxe Water Villa ซึ่งเป็นห้องพักกลางน้ำที่ราคาถูกที่สุดของรีสอร์ท (แค่นี้ก็ทะลุงบที่ตั้งไว้มาหน่อยๆแล้วค่ะ) ห้องกว้างขวาง เตียงนอนสบายหันหน้าออกทะเล ระเบียงมีตะข่ายให้นั่งเล่น ห้องน้ำใหญ่พอๆกับห้องนอน โดยแยกห้องส้วม ห้องอาบน้ำ และอ่างจากุซซี่ อุปกรณ์จำเป็นครบครัน ปลั๊กไฟเสียบได้เลยไม่ต้องใช้ International plug adapter มินิบาร์ทานได้ทุกอย่าง เติมให้วันละ 1 ครั้ง ถ้าแจ้งว่ามาฮันนีมูนให้เอาการ์ดแต่งงานมาโชว์ด้วยหรือรูปถ่าย จะได้ไวน์ 1 ขวด และชอคโกแลต 1 จาน





อาหารและเครื่องดื่ม
ที่นี่มีห้องอาหาร 3 ที่ Bar 2 ที่ และมี The club ซึ่งเข้าใช้งานได้เฉพาะลูกค้าห้อง Sunset Ocean Pool Villa เท่านั้น ห้องอาหารบางส่วนเราต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้าด้วยนะคะ ทั้งนี้ เอเจ้นของเราจัดการจองไว้ให้หมดแล้วค่ะ
- Reef : ห้องอาหารนี้บริการอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น แบบ International Buffet ค่ะ อย่างน้อยเราต้องมาทานอาหารที่นี่ทุกเช้า อาหารมีหลากหลายมาก รสชาติธรรมดาตามมาตรฐาน มีโจ๊กให้ทานด้วยค่ะ มื้อกลางวันก็มีอาหารหลากหลาย มีข้าว-กับข้าวเอาใจชาวเอเชียด้วยค่ะ นอกจากนี้ เราสามารถจอง Teppanyaki มื้อกลางวัน-เย็น ซึ่งที่นั่งจำกัดแค่รอบละ 10-12 คนเท่านั้นค่ะ เราได้ทานมื้อกลางวันที่นี่ 1 มื้อ สเต็กเนื้ออร่อยมาก ใครไม่ทานเนื้อเชฟจะทำสเต็กไก่ให้แทนค่ะ




- Azzuri Mare : ห้องอาหารอิตาเลียน-ซีฟู้ด เปิดเฉพาะมื้อกลางวัน-เย็น ต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้า เราทานมื้อเย็นที่นี่ 2 ครั้ง ประทับใจมาก วิวดี อาหารอร่อย มีวงดนตรีขับกล่อม บรรยากาศโดยรวมดีจริงๆ สำหรับอาหารจะให้เลือกสั่งคนละ 3 อย่าง คือ Starter, Main course และ Dessert วันแรกเราสั่งพิซซ่ามาถาดใหญ่เชียว เค้าตัดมา 6 ชิ้น เราทานกัน 2 คน 4 ชิ้นนี่คือจุกอกมากพูดเลย แนะนำว่าถ้ามาหลายคนค่อยสั่งจะดีกว่านะคะ อาหารที่เราชอบส่วนตัวคือ สเต็กปลา Salmon กับ Sea bass ปลาสดและปรุงรสชาติอร่อยด้วยค่ะ ห้องอาหารค่อนข้างมืดถ่ายรูปยากจังค่ะ

ช่วงที่เราไปตรงกับวันเกิดเราด้วยค่ะ ทางรีสอร์ทมีเค้กมอบให้ 1 ก้อน เราขอให้ไปเสิร์ฟที่ห้องอาหารนี้ซึ่งเราจองไว้มื้อเย็นค่ะ ทางห้องอาหารได้จัดตกแต่งโต๊ะเป็นพิเศษให้ และตอนมาเสิร์ฟเค้กวงดนตรีเค้ามาร้องเพลง Happy Birthday ให้ที่โต๊ะเลยค่ะ ^^ (เราได้เค้กชอคโกแลต ซึ่งมันเข้มข้นมากเราเลิฟสุดๆ ใครไม่ชอบชอคโกแลตอาจต้องแจ้งล่วงหน้านะคะ)

- Suan Bua : อาหารไทยที่นี่ขอบอกว่าอร่อยมากๆค่ะ รสชาติจัดจ้านถึงใจ เราได้ทานอาหารเย็นที่นี่ 1 มื้อ จะให้เลือกคนละ 3 อย่างคือ Starter, Main course และ Dessert อิ่มอร่อยกลิ้งกลับบ้านพักกันเลยทีเดียว



- Coral Bar : บาร์เครื่องดื่มและของทานเล่น อยู่ใกล้กับห้องอาหาร Reef ช่วงบ่ายมี Afternoon tea จะมีของทานเล่นให้นิดหน่อย ตอนเย็นของทุกวันเจ้าหน้าที่จะโชว์ให้อาหารปลาฉลามและปลากระเบน ตอนกลางคืนก็จะมีกิจกรรมแต่ละวันสับเปลี่ยนกันไป และที่นี่มักเป็นจุดนัดพบของกิจกรรมที่ต้องออกเรือไปนอกเกาะด้วยค่ะ

- Aqua Bar : บาร์เครื่องดื่มและของทานเล่น อยู่ติดกับ Reception เลยค่ะ บรรยากาศดี แต่ช่วงที่เราไปลมแรงมาก เค้าเลยต้องปิดม่านพลาสติกใสไว้ตลอด ทำให้อดถ่ายรูปมุมสวยๆของบาร์นี้เลยค่ะ
ด้วย All-inclusive program เราสามารถสั่งเครื่องดื่มได้ตลอดเวลาเลยค่ะ ซึ่งมีทั้ง Alcohol และ Non-Alcohol สายแอลต้องปลื้มปริ่มแน่นอน
ต่อที่ Comment นะคะ
[CR] Maldives : ทริปฝันที่เป็นจริง @ Centara Grand ช่วง Low Season 2017
การเดินทาง
เราเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปมัลดีฟส์ โดยสายการบิน Bangkok Airways ซึ่งจะมีไฟล์ทบินทุกวันๆละ 2 ไฟล์ท คือ ขาไป PG711 (ออกจากไทย 9.30 น.) และขากลับ PG712 (กลับถึงไทย 19.05 น.) เคาท์เตอร์เชคอิน Bangkok Airways ที่สนามบินสุวรรณภูมิ อยู่แถว F จะเปิดให้เชคอิน 6.30 น. ซึ่งเราไปถึงสนามบินและเชคอินตอน 7 โมงกว่าๆ คิวเชคอินน้อยมาก จากนั้นก็ผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง คนไม่ค่อยเยอะ และมีช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Automatic Channel) ทำให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ แม้จะมีเครื่องตรวจอัตโนมัติแล้ว เรายังคงต้องกรอกบัตรขาออก (ใบสีขาว) ส่งให้เจ้าหน้าที่ที่ยืนประจำเครื่องอยู่ด้วยนะคะ
ก่อนขึ้นเครื่องเราแวะทานของว่างที่ Boutique Lounge บริเวณ Gate A ชั้น 3 อาหารก็จะมีแซนวิช เบเกอรี่ ข้าวต้มมัด ป๊อปคอร์น เครื่องดื่มร้อน-เย็น และมี free Wi-Fi ให้ด้วยค่ะ
ขาไป
ขากลับ
ที่พัก
เราเลือก Centara Grand Island Resort & Spa Maldives ด้วยเหตุผลว่า
1. เราชอบสไตล์การตกแต่งแบบนี้
2. มี All-inclusive program ซึ่งรวมอาหาร เครื่องดื่ม กิจกรรมที่น่าสนใจไว้ให้หมดแล้ว เราไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีก
3. บริเวณที่พักมีแนวปะการังสวยงาม
4. มีห้องพักกลางน้ำ
5. อยู่ในงบประมาณที่ตั้งไว้
ห้องพักเราเลือกแบบ Deluxe Water Villa ซึ่งเป็นห้องพักกลางน้ำที่ราคาถูกที่สุดของรีสอร์ท (แค่นี้ก็ทะลุงบที่ตั้งไว้มาหน่อยๆแล้วค่ะ) ห้องกว้างขวาง เตียงนอนสบายหันหน้าออกทะเล ระเบียงมีตะข่ายให้นั่งเล่น ห้องน้ำใหญ่พอๆกับห้องนอน โดยแยกห้องส้วม ห้องอาบน้ำ และอ่างจากุซซี่ อุปกรณ์จำเป็นครบครัน ปลั๊กไฟเสียบได้เลยไม่ต้องใช้ International plug adapter มินิบาร์ทานได้ทุกอย่าง เติมให้วันละ 1 ครั้ง ถ้าแจ้งว่ามาฮันนีมูนให้เอาการ์ดแต่งงานมาโชว์ด้วยหรือรูปถ่าย จะได้ไวน์ 1 ขวด และชอคโกแลต 1 จาน
อาหารและเครื่องดื่ม
ที่นี่มีห้องอาหาร 3 ที่ Bar 2 ที่ และมี The club ซึ่งเข้าใช้งานได้เฉพาะลูกค้าห้อง Sunset Ocean Pool Villa เท่านั้น ห้องอาหารบางส่วนเราต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้าด้วยนะคะ ทั้งนี้ เอเจ้นของเราจัดการจองไว้ให้หมดแล้วค่ะ
- Reef : ห้องอาหารนี้บริการอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น แบบ International Buffet ค่ะ อย่างน้อยเราต้องมาทานอาหารที่นี่ทุกเช้า อาหารมีหลากหลายมาก รสชาติธรรมดาตามมาตรฐาน มีโจ๊กให้ทานด้วยค่ะ มื้อกลางวันก็มีอาหารหลากหลาย มีข้าว-กับข้าวเอาใจชาวเอเชียด้วยค่ะ นอกจากนี้ เราสามารถจอง Teppanyaki มื้อกลางวัน-เย็น ซึ่งที่นั่งจำกัดแค่รอบละ 10-12 คนเท่านั้นค่ะ เราได้ทานมื้อกลางวันที่นี่ 1 มื้อ สเต็กเนื้ออร่อยมาก ใครไม่ทานเนื้อเชฟจะทำสเต็กไก่ให้แทนค่ะ
ด้วย All-inclusive program เราสามารถสั่งเครื่องดื่มได้ตลอดเวลาเลยค่ะ ซึ่งมีทั้ง Alcohol และ Non-Alcohol สายแอลต้องปลื้มปริ่มแน่นอน
ต่อที่ Comment นะคะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น