ศาสนาพุทธ ได้รับอิทธิพลจากศาสนาเชนมากแค่ไหนครับ น่าสนใจมากครับ

ผมเห็นหลายอย่างคล้ายๆกัน สำหรับธรรมมะปลีกย่อยบางประการ แล้วก็ประวัติของมหาวีระ ก็คล้ายๆกันมาก น่าสนใจครับ เพื่อนพี่ๆท่านใดพอมีความรู้แบ่งปันไหมครับ ผมอยากรู้เกี่ยวกับศาสนาเชนมากขึ้น ว่าพุทธศาสนาได้รับอิทธิพลมามากน้อยแค่ไหนครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
เชนไม่ได้มีอิทธิพลอะไรกับศาสนาพุทธเลยครับ ถ้าจะมีลัทธิใดมีอิทธิพลต่อศาสนาพุทธ ก็อาจจะพราหมณ์ แต่จะเรียกว่ามีอิทธิพลก็ไม่เชิงนัก เพราะเหมือนคุณเกิดมา คุณก็ต้องเข้าสู่หลักสูตรการศึกษาที่สมัยนั้นมี  อย่างสมัยเราเราก็ต้องเข้าเรียนประถมมัธยม มหาลัย สมัยนั้นคุณเกิดมาถ้าอยู่ในสังคมชั้นสูง พ่อแม่คุณก็จะส่งให้คุณไปเรียนกับพราหมณ์ คุณอยากหาความรู้อะไรเพิ่มเติมคุณก็ต้องไปหาจากพราหมณ์ พราหมณ์ก็เปรียบเสมือนอาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย หรือนักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น  จะว่าหลักสูตรเหล่านั้นมีอิทธิพลกับเราไหม ก็คงใช่ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเราเก่งพอ เราก็สามารถที่จะเป็นอาจารย์และมีระบบของเราเองได้

ในส่วนของเชน มีความร่วมกัน คือเกิดขึ้นร่วมยุคสมัยเดียวกันกับพุทธ จึงทำให้มีหลายส่วนใกล้กันอยู่บ้าง เชนเองนั้นก็มีลักษณะเดียวกับพุทธก็อาศัยฐานความรู้แต่เดิมจากพราหมณ์ แต่ต้องทำความเข้าใจบริบทของพราหมณ์ เราจึงจะเข้าใจภาพมากขึ้น พราหมณ์มีสองยุคใหญ่คือยุคพระเวทย์คือยุคบวงสรวงบูชาเทพเจ้าโดยมีพราหมณ์เป็นตัวแทนเทพและปกครองชี้นำมนุษย์ กินเวลามายาวนานหลายพันปีไปจนยุคก่อนประวัติศาตร์ ยุคต่อมาคือยุคคำภีร์อุปนิษัท คือช่วงประมาณ500ปีก่อนพุทธกาลจนถึงพุทธกาล ยุคนี้มีพราหมณ์กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งแตกตัวออกมาเพื่อแสวงหาความรู้แท้จริงเชิงปรัชญาแห่งชีวิต มากกว่าการบวงสรวงอ้อนวอนเทพเจ้า  ปลีกวิเวกจากสังคมมุ่งแสวงหาโมกษะ หลุดพ้นวิโมกษ์ พยายามเข้าหาความจริงระดับสุดท้ายด้วยการปฏิบัติหลากหลายรูปแบบ จนเกิดการค้นพบเรื่องการทำฌานสมาธิในยุคนี้ สำนักพราหมณ์ที่โดดเด่นสำนักหนึ่งคือสำนักสางขยะ ในช่วงพุทธกาล อาจารย์ที่ประจำสำนักนี้ก็คืออุทกดาบส และอาฬรดาบสนั่นเอง การทำฮานสมาธินั้น เป็นฐานสำคัญที่บรรดาปราชญ์ปัญญาชนสมัยนั้นต่างก็หยิบไปพัฒนาจนเป็นสำนักต่างๆของตนหลายสำนัก เชนหรือศาสดามหาวีระนั้น ก็เป็นผู้หนึ่งที่มีสำนักใหญ่ของตัวเองใต้ยุคอุปนิษัทนี้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเรื่องทับซ้อนกับพระพุทธเจ้า เพราะทั้งสองท่านก็รู้จักกันสาวกของท่านมหาวีระนั้น ก็ยังมาเคยมาโต้วาทีกับพระพุทธเจ้า จนศิษย์เอกเปลี่ยนมาเป็นสาวกพระพุทธเจ้า เรื่องเป็นกษัตริย์เหมือนกัน ก็เรื่องปกติครับ สมัยนั้นคนเป็นเจ้าชายมีมากมายหลายแคว้น กษัตริย์ก็มีความใกล้ชิดกับพราหมณ์เพราะเป็นทั้งที่ปรึกษา และส่งลูกให้เรียนด้วย ดังนั้นถ้าจะมีคนระดับเจ้าชายเหมือนกัน เลือกจะออกบวชไปศึกษากับพราหมณ์เหมือนกัน ก็ไม่แปลกอะไร คาดว่าก็น่าจะมีเจ้าชายหลายคนออกบวชเหมือนกัน แต่ไม่ประสบความสำเร็จจนมีสำนักของตนได้

ศาสนาที่เกิดร่วมในยุคคำภีร์อุปนิษัทที่ยังเหลือมาถึงปัจจุบันนอกจากเชน ก็ยังมีโยคะ ซึ่งก็จะมีระบบใกล้เคียงกันอยู่ คือเห็นตรงกันเรื่องศีลคือละเว้นการเบียดเบียน เอาเรื่องเมตากรุณาเป็นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ และมีการฝึกจิตใจเพื่อความสงบ บ้างก็ไปได้ถึงฌาน ความต่างก็คือระบบ และทุกฝ่ายนั้นก็อ้างว่ามาจนถึงจุดสูงสุดกันหมด

แต่เชน และ โยคะนั้น ไม่สามารสลัดตนเองให้หลุดจากพราหมณ์ได้ครับ คือไม่มีรูปแบบหรือชุดความรู้ใด ที่แสดงให้เห็นว่าต่างจากพราหมณ์ยุคอุปนิษัทตรงไหนเลย

ส่วนพุทธนั้นสิ่งที่เด็ดขาดออกไปจากระบบพราหมณ์เลยคือ สมมติฐานต่อธรรมชาตินั้นคือไตรลักษณ์ ประกอบด้วยระบบเหตุและผลแห่งทุกข์จนถึงการพ้นจากมันด้วยอริยสัจย์ เหตุของทุกข์เสนอด้วย ปฏิจจสมุปบาท วิธีการดำเนินเพื่อดับเหตุหรือการปฏิบัติคือ มรรค8 และมรรคที่สร้างความต่างจากลัทธิอื่นที่เคยมีมาคือ สติ เสนอด้วยหลักสติปัฏฐาน และเรียนรู้ลงปัจจุบันต่อสิ่งที่ปรากฏคือ ขันธ์5 หรือรูปนาม เมื่อจิตแก่รอบจากการเรียนรู้ในกองขันธ์ จึงพรากออกเป็นผลคือนิโรธ นี่คือความรู้ที่พ้นอย่างเด็ดขาดจากพราหมณ์ ไม่เคยมีพราหมณ์หรือลัทธิพวกใดเคยสอนอะไรแบบนี้มาก่อนเลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่