อยากมีเพื่อนผู้ชาย ทำไมมันยากจังคะ

อยากถามทุกคนจังเลยค่ะว่าการเป็นเพื่อนกันเนี่ยมันยากมากไหมคะ ตอนนี้เราขึ้นมหาลัยปีสามแล้วมีเพื่อนผู้หญิงที่สนิทกันอยู่ห้าหกคน เราไปไหนมาไหนด้วยกันตั้งแต่ปีหนึ่ง กินนอนด้วยกันเพราะอยู่หอเดียวกัน แต่กลุ่มเราก็ปลอดผู้ชายสุดๆเพราะไม่มีใครมีแฟนเลยแม้แต่คนเดียว เราขอเล่าเรื่องราวคร่าวๆของเรากับประสบการณ์ในเรื่องเพื่อนแล้วกันนะคะ

ย้อนกลับไปตอนปีหนึ่งนะคะ ตอนนั้นในสาขาที่เราเรียนมีผู้ชายกับผู้หญิงอย่างละครึ่ง พอถึงเวลาพักฝั่งผู้หญิงเที่ยงก็แบ่งกันไปกลุ่มใครกลุ่มมัน ตามปะสาคนที่ยังไม่ค่อยสนิทกันมาก แต่ฝั่งผู้ชายกับสามารถไปด้วยกันทั้งหมดได้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน เราค่อนข้างตกใจนะ ตอนนั้นเราคิดเลยว่าผู้ชายนี่สนิทกันได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ รู้จักกันไม่นานก็สามารถไปร่วมโต๊ะกินข้าวกันได้แล้ว และยิ่งผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์ก็ตบหัวลูบหลังกันเป็นปกติ ขนาดกลุ่มที่เป็นผู้หญิงอย่างเรานอนห้องเดียวกันยังต้องหอบเสื้อผ้าเข้าไปในห้องอาบน้ำอยู่เลย แม้แต่ตอนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ต้องเข้าห้องน้ำ ได้มากสุดก็แค่เสื้อกล้ามกับขาสั้น ไม่เคยถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้

ผ่านไปไม่ถึงเดือนผู้หญิงในสาขาก็เริ่มออกลายแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ก็คือกลุ่มเรากับอีกกลุ่ม เรื่องของเรื่องคือผู้หญิงในกลุ่มนั้นชอบพูดคำว่า ใสๆ ใส่เพื่อนเราที่อยู่ในกลุ่ม เพื่อนคนนี้ค่อนข้างซื่อแล้วและเป็นคนปฏิเสธคนไม่เป็น ใครขอให้ช่วยอะไรก็ช่วย ชอบทำตัวไม่หวานและเข้ากับผู้ชายง่ายมาก แต่ผู้ชายที่เข้าหานางแต่ละคนเราว่าเข้ามาด้วยจุดประสงค์อื่น นางเองก็พอรู้นะแต่ก็พูดอะไรไม่ได้ปฏิเสธใครเค้าไม่เป็น นั่นเลยทำให้ดูเหมือนเด็กใสๆคิขุอาโนเนะแบบที่คนอื่นเขาเรียกกัน อีกคำที่ฝั่งนั้นเข้ากระแนะกระแหนมาก็คือ เป็นโรคเหรอ? เราเองก็ไม่เข้าใจว่าคำนี้มันหมายถึงอะไรแต่ฟังแล้วก็บาดจิตชอบกล เราขอแทนชื่อเพื่อนเราว่า A แล้วกัน  A ต้องทนฟังคำสองคำนั้นมานานอยู่หลายอาทิตย์โดยที่ไม่ยอมตอบโต้ หรือตอบโต้ไม่ได้ เพราะทางนั้นเขาพูดมาแล้วก็หัวเราะเหมือนกับพูดหยอกๆ หากร้อนรนตอบโต้ไปมีดก็คงหันคมมาหากลุ่มเรา เราเลยเงียบเอาไว้ จนในที่สุดเรื่องมันก็บานปลายไปเรื่อย เพื่อนในกลุ่มคนนี้มีเรื่องกับคนในกลุ่มโน้น เพื่อนในกลุ่มโน้นไม่พอใจเพื่อนเราคนนี้ จนกระทั่งรุ่นพี่ปีสองต้องจับมานั่งเปิดอกคุยกัน จนในที่สุดก็ปรับความเข้าใจกันได้ว่าไอ้คำว่า ใสใส และ เป็นโรคเหรอ? นั่นไม่ใช่คำด่า หลังจากนั้นฝั่งผู้หญิงก็เริ่มไปมาหาสู่กัน คนนั้นไปหาคนนี้ คนนี้ไปกินข้าวกับคนนั้น ก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น

ยกเว้นเราอ่ะนะ หลายๆคนไปมาหาสู่กันกินข้าวร่วมกันระหว่างกลุ่มสองกลุ่มแต่ยกเว้นเรา เรารู้สึกเหมือนอยู่โดดเดี่ยวมากขึ้น ยิ่งภายหลังมีเพื่อนคนหนึ่งชอบมาขลุกอยู่กับกลุ่มเรา เธอเป็นคนสวย ห้าว แล้วก็พูดจาโผงผางตรงดิ่ง พอเขาเข้ามาได้ไม่กี่วันบทสนทนาในกลุ่มเรานอกจากเรื่องในกลุ่มแล้วเรื่องของคนๆนี้ก็กลายมาเป็นบทสนทนาที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง เรารู้เลยว่าเพื่อนในกลุ่มให้ความสำคัญกับเพื่อนคนนี้มาก เราขอแทนชื่อ B แล้วกัน ตั้งแต่ B เข้ามาเราคิดว่าทุกอย่างกลายเป็นต้องหมุนตาม B ไปทั้งหมด ทั้งเรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องแฟชั่น หรือแม้กระทั่งเรื่องเพื่อนผู้ชาย เธอเป็นคนที่มีบุคลิกผู้นำชัดเจน มีแต่คนให้ความสนใจ B เป็นคนร่าเริงมาก ลักษณะห้าวๆทำให้ B เข้ากับผู้ชายได้ง่ายสุดๆ B เป็นผู้หญิงคนแรกที่สามารถเล่นหัวกระโดดถึบเพื่อนผู้ชายได้ ต่างกับเราที่พยายามเท่าไหร่ก็ยาก

แต่ก็นั่นแหละเราไม่ได้สนใจอะไรนัก โดยปกติเราก็อยู่ตัวคนเดียวอยู่แล้ว ถึง B จะเข้ามาแต่เราก็ไม่ได้ไหลไปตามการหมุนของ B กลับกันเรายิ่งทำตัวเฉยๆไม่ได้ใส่ใจอะไรจนเหมือนเป็นคนเฉยชา แต่แม้ว่าเราจะอยากอยู่เฉยๆแค่ไหนเรื่องมันก็ชอบเข้ามาหา เป็นเพราะในกลุ่มมีแต่เราที่เรียนได้เรื่องสุด จึงทำให้ทุกคนคอยแต่จะพึ่งเรา ไม่ว่าจะเป็น การบ้าน งานเดี่ยว งานกลุ่ม หรือแม้กระทั่งการสอบ เราเหนื่อยที่ทุกคนคอยแต่จะเกาะแบบนี้ บางทีก็ยังเผลอคิดว่าทำไมถึงไม่พึ่งตัวเองกันบ้าง เราไม่เคยมีความสำคัญนอกจากตอนจะมีงาน หากมีงานกลุ่มเมื่อไหร่คนที่ทำอย่างน้อย เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ต้องเป็นเรา แม้จะอยากให้เพื่อนช่วยแค่ไหนแต่ก็ไม่ได้เพราะเพื่อนเอาแต่อ้างว่าทำไม่เป็น ทำไม่ดี ทำไม่ได้ พอเราจะไม่ทำเพื่อนก็ไม่กระตือรือร้น จนใกล้ถึงวันส่งแล้วเราถึงต้องเร่งทำซะเองเพราะทนไม่ได้ถ้าต้องขาดส่งงานอาจารย์ พอตอนสอบแต่ละคนก็คอนเอาแต่นั่งใกล้ๆเพราะหวังให้เราบอกข้อสอบ พอเราแกล้งไม่ได้ยินเกรดออกมาต่างกันมาก ก็พากันแบนเราบอกเราไม่ยอมช่วยตั้งใจทิ้งเพื่อน เราเหนื่อย...

เรารู้ว่าเพื่อนไม่ได้เป็นแบบนี้ในตอนแรกแต่พอ B เข้ามาทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด แต่ละคนหมุนไปตามการบีบคั้นของ B จะขัดขืนก็ทำไม่ได้เพราะเขาเข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตของแต่ละคนไปแล้ว ตั้งแต่นั้นมาเราก็โดนแบนด์ ก็ไม่เชิงโดนแบนด์หรอกเราถอยห่างออกมาเอง A ก็ถอยออกมาตามเรา A เป็นอีกคนที่ไม่หมุนไปตามการเดินทางของ B แต่ก็ปฏิเสธอะไรไม่ได้เพราะเขาปฏิเสธไม่เป็นแม้กระทั่งความรู้สึก เราสนิทกับ A มากเพราะเขาเป็นคนช่างพูด ผิดกับเราที่ไม่ค่อยพูด เขาเหมือนกับส่วนหนึ่งของชีวิตที่เราไม่มี แม้เขาจะเรียนไม่เก่ง ปฏิเสธใครไม่เป็น แต่ข้อดีของเขาคือเขารักเพื่อนมาก แล้วเราเองก็ให้ความสำคัญกับเขามากขึ้น

ตั้งแต่นั้นมาเรากับ A ก็ตัวติดกันขัดกับ B ที่เรายิ่งห่าง แต่คราวนี้ไม่ได้ห่างด้วยความเฉยชาแต่ห่างเพราะความมึนตึงแทน ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินเหมือนปกติ เรายังไปกินข้าวกันเป็นกลุ่มเหมือนเดิม เพียงแค่ไม่ได้อะไรมากมายเหมือนเมื่อก่อน B เป็นคนขี้ระแวง พอมีเรื่องอะไรนิดหน่อยก็จะสงสัยคนใน โชคดีที่เราเป็นคนไม่ค่อยอะไรเลยไม่สงสัยเรา และเพราะความระแวงนั้นเองจึงทำให้ B และเพื่อนในกลุ่มที่เหลือต้องถอยห่างออกจากกัน เราเคยปรับความเข้าใจรวมกลุ่มกันใหม่หลายครั้ง แต่เราก็ไม่สามารถกลับไปเหมือนเดิมได้อีก ไม่ว่าจะทำยังไงก็ตาม อาจเพราะความระแวงของ B หรือเพราะความไม่ยอมลงของเรา จึงทำให้การรวมกลุ่มกลับเป็นเรื่องที่ยาก

ผ่านไปมานานจนขึ้นปีสอง เรายังใช้ชีวิตอยู่แบบนั้น เพื่อนผู้ชายในห้องก็ยังเหมือนเดิม ที่มีก้าวหน้าขึ้นหน่อยก็คือสามารถพูดนับคำขึ้นได้จากที่ไม่เคยพูดอะไรกันเลย เราพยายามมากที่จะเป็นเพื่อนกับพวกเขา เราชอบอ่านนิยายแฟนตาซี ชอบดูการ์ตูนสายบู้ แล้วก็ชอบเล่นเกมแนว RPG วันหนึ่งเราเห็นเพื่อนเล่นคุกกี้รันซึ่งเราเคยเล่นเมื่อนานมาแล้ว เราก็ไปโหลดมาเล่นใหม่เพราะหวังอยากเล่นกับเพื่อน พอเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งเห็นก็ถามเราว่าเล่นด้วยเหรอ เราก็บอกว่า เล่น พอพวกเขาขอยืมดูสถิติเราก็ล้อแบบโอเวอร์ว่าคะแนนดีอะไรเทือกนั้น เรามีความสุขมากจริงๆที่เริ่มคุยกับพวกเขาได้ มันเหมือนกับได้อะไรที่มีค่ามากมาอยู่ในมือ รู้สึกดีแปลกๆ แต่หลังจากนั้นไม่ถึงสามวันพวกนั้นก็ลบคุกกี้รันออก แล้วไปเล่นเกมเศรษฐีแทน เรากลัวว่าจะหาว่าเราเล่นตามก็เลยไม่ยอมโหลดเกมเศรษฐีมาเล่น แต่พอจากนั้นไปอีกอาทิตย์ พวกนั้นก็ชวนกันไปเล่นฮอนซะแล้ว เราเข้าใจเลยว่า ผู้ชายเป็นเพศที่เปลี่ยนใจอะไรได้ง่ายมาก เราค่อนข้างปลงแล้วกับเรื่องเล่นเกมหันไปช่วยเรื่องงานดีกว่า พออาจารย์สั่งงานอะไรที่เป็นส่วนรวมปกติแล้วผู้หญิงก็จะทำบ้างแต่ไม่มาก เพราะผู้ชายชอบไล่มาอยู่ในร่ม เราก้ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ให้ช่วยจะได้รีบทำรีบเสร็จรีบกลับไปพัก เพื่อนเราเคยจะไปช่วยทีหนึ่งก็โดนไล่กลับมาเข้าร่มไม่ให้ลงไป เราก็เลยตัดสินใจไป ไม่ให้ช่วยก็ไม่ช่วย แต่จะช่วยเรื่องของกินกับน้ำแล้วกัน เราชวนเพื่อนผู้หญิงไปซื้อน้ำและขนมกลับมาอยู่บ่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ผู้ชายในสาขาเราเข้ากับคนอื่นง่ายมาก ในบรรดาเสคอื่นที่เรียนรวมกันก็จะบอกว่าผู้ชายสาขาเราเป็นมิตรสุดๆ เราแอบภูมิใจเล็กๆแม้จะไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลยก็เถอะ

เคยถาม A อยู่บ่อยๆว่าทำไมเราถึงเข้ากับเพื่อนผู้ชายยาก A ก็บอกว่าเรานิ่งเกินจนผู้ชายไม่กล้าเล่น ทำไมล่ะ? ทั้งที่ผู้หญิงคนอื่นก้พูดกูมีงใส่กันได้ ทำไมเวลาพูดกับเราต้องพูดสุภาพแล้วก็ไม่พูดคำหยาบ แถมเรื่องบางเรื่องถ้าเราอยู่แล้วมันติดเรทมากก็จะไม่พูดไปซะอีก เราอยากให้เขาพูดกูใส่ อยากให้หัวเราะอยากให้เล่นเหมือนกับที่เล่นกับเพื่อนผู้หญิงคนอื่น แต่ก็ยากเหลือเกิน ในบางครั้งเพื่อนผู้ชายที่เป็นหัวหน้าห้องก็ชวนเราคุยบ้าง วกเรื่องมาหาเราบ้าง เราดีใจมากแต่ก็ไปต่อไม่เป็นจนกลายเป็นเงียบแป่วไปซะทั้งคู่ เราไม่ได้อยากเป็นแบบนี้แต่ทำยังไงก็ไม่สามารถคุยราบรื่นได้สักที ไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไรพูดคุยเรื่องอะไร มันดูยากไปหมด

เราท้อนะ  บางครั้งเพื่อนเราอีกคนที่อยู่ในกลุ่มแต่เรียนต่างคณะยังสนิทกับพวกเขาได้เร็วมากกว่าเราซะอีก เราขอแทนเพื่อนคนนี้ว่า C แล้วกัน C เป็นคนอารมณ์ร้อนและชอบใช้อารมณ์ร่วมกับเหตุผล อาจฟังดูแปลก แต่เขาชอบเอารมณ์มารวมกับเหตุผลซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาทำได้ยังไง เอาเป็นว่าเขาเป็นคนตรงและพูดจาโผงผางมาก เราเคยพา C มาที่คณะบ่อยครั้งจนเพื่อนผู้ชายก็พอยสนิทไปด้วย C สนิทกับเพื่อนผู้ชายเร็วมากจนถึงขนาดเอามือตบหลังกันได้ภายในอาทิตย์แรก! เราโคตรอิจฉา เราไม่มีทางทำได้แบบนั้น เราเคยนอนคุยกับ C แล้วพูดเรื่องเข้ากับเพื่อนผู้ชายพอเราบอก C ว่าเราอิจฉา C มากที่สามารถเข้ากับเพื่อนผู้ชายได้เร็ว C ก็แปลกใจ C เหมือนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเขาบอกว่าไม่ได้ใช้ความพยายามอะไร มันเป็นไปเอง มันเหมือนความเคยชิน เพราะ C ก็มีเพื่อนผู้ชายเยอะมาก พอเราเล่าถึงชอตที่เราโหลดคุกกี้รันมาเพื่อหวังจะมีเรื่องคุยกับเพื่อนผู้ชาย C ก็หัวเราะหนัก เราเข้าใจเลยว่า C หัวเราะทำไม แน่นอนว่าคงไม่มีใครบ้าเหมือนเราหรอกที่ต้องทำขนาดนั้น

หลายๆอย่างก็ผ่านไปเร็วขึ้น เรื่องของ B ก็ยังไปๆมาๆตามอารมณ์ เราก็ปล่อยไปตามเรื่องตามราวจนกระทั่งเราปิดเทอม เราหางานพิเศษทำ ไปได้งานที่โลตัสเป็นพาทไทม์ เราทำกะดึก ในนั้นมีเพื่อนร่วมงานไปซะ สี่สิบคน หญิงชายครึ่งๆ เราไปเซ็นสัญญาวันแรกเราได้เพื่อนผู้หญิงมาสองคน คนแรกเป็นคนสวยชอบพูดจาจิกๆเชิงหยอกแต่เป็นคนดีมาก คนที่สองเป็นเพื่อนผู้หญิงไม่ห้าวมากแต่เข้ากับผู้ชายได้ง่ายค่อนข้างมาก เราขอแทนคนสวยว่า D และแทนอีกคนว่า E แล้วกัน D จะเข้ากับเพื่อนผู้หญิงได้ง่ายบางพวกและเข้าได้ดีสุดๆกับกระเทย ส่วน E เข้าได้ดีกับผู้ชายแต่น้อยกับผู้หญิง ส่วนเราก็ เฉยๆไปตามปกติ เราตั้งใจจะหาเพื่อนผู้ชายให้ได้สักครั้ง อย่างน้อยคุยกันสักสองสามประโยคก็ยังดี โดยส่วนตัวแล้วเราชอบเข้าไปช่วยงานคนอื่นโดยเฉพาะผู้หญิง ยิ่งงานเราเสร็จเร็วเราก็จะไปช่วยคนนั้นคนนี้ เรามักจะโดน D กับ E บ่นว่าชอบไปช่วยคนอื่นมากแต่เราก็ไม่อะไรนะ เรายังช่วยต่อไป ตอนนั้นเราไม่ได้สังเกตุเลยสักนิด ไม่เคยสังเกตุเลยว่า...ไม่เคยมีใครมาช่วยเราก่อนสักครั้ง

วันหนึ่งเราได้รับงานที่ค่อนข้างหนักและหลายส่วนเราก็ต้องนั่งทำคนเดียวขณะที่ผู้หญิงคนข้างๆมีแต่คนรุมช่วย เราค่อนข้างเสียใจนะ ทั้งที่เราก็เคยช่วยพวกเขาแต่ก็ไม่มีใครยื่นมือหรือเอ่ยปากถามเราเลย เราคิดกับตัวเองว่าเราจะไม่ช่วยใครอีกแล้ว แต่พอถึงวันใหม่เราก็เหมือนคนไม่รู้จักจำชอบไปช่วยคนอื่นอยู่อีกนั่นแหละ ไม่รู้ทำไมถึงไม่เข็ดสักที เราท้อและแสนจะเหนื่อย

เราคิดนะว่าที่เราเหนื่อยเป็นเพราะเราไม่เป็นตัวเองหรือเปล่า แต่พอคิดอีกที เราว่านี่แหละตัวเราล่ะ เคยลองปรับแล้วแต่ก็ไม่รอดให้ตายยังไงก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมทุกที ชีวิตมันยาก...

ขอบคุณที่ฟังเราเพ้อนะ เราเองก็จะไม่ยอมหยุดอยู่แค่นี้ จะพยายามต่อไปอีก มันต้องมีสักหนทางล่ะนะที่เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง สักวันเราอาจจะกลับมาที่พันทิปแล้วบอกว่า เรามีเพื่อนผู้ชายคนแรกแล้ว ก็เป็นไปได้

หวังว่านะ...

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่