ศูนย์สอนคอม

กริ๊งงง!! กริ๊งงง!!

หญิงสาววัยกลางคนไม่ปล่อยให้โทรศัพท์บ้านดังอยู่นาน หากจะมีใครติดต่อมาทางเบอร์โทรศัพท์บ้าน ถ้าไม่ใช่จากที่ทำงาน ก็คงจากศูนย์เปิดการเรียนการสอนวิชาคอมพิวเตอร์ที่ตนเพิ่งส่งลูกชายเข้าเรียนไปได้ไม่กี่วัน

“สวัสดีค่ะ” หญิงสาววัยกลางคนกล่าวรับโทรศัพท์อย่างนุ่มนวล
‘คุณผู้ปกครองใช่มั้ยคะ? จากศูนย์สอนคอมพิวเตอร์นะคะ’ เป็นอย่างที่คาด..
“ใช่ค่ะ” หญิงสาวตอบรับ
‘พอดีจะโทรมาสอบถามเรื่องอาการของน้องน่ะค่ะ เห็นว่าไม่สบายจนขาดเรียนไป..’ ศูนย์สอนคอมพิวเตอร์ติดต่อมาสอบถามเรื่องอาการของเด็กชายคนหนึ่งขาดเรียนไปหลายวัน หลังจากที่ให้สาเหตุการขาดเรียนกับทางศูนย์ว่าป่วยหนัก

ในอีกมุมหนึ่ง..ด้วยความที่เป็นหน่วยงานภาคเอกชน หากจะมีรายได้ใดๆ เข้ามา คงจะมีแต่รายได้จากที่ผู้ปกครองเสียค่าเทอมให้ทั้งนั้น หาใช่เบี้ยเลี้ยงจากรัฐบาลแต่อย่างใด เพราะฉะนั้น หากจะมีเด็กคนหนึ่งต้องลาออกไป นั่นหมายความว่า ศูนย์สอนคอมฯ ก็จะเสียรายได้ไปเช่นกัน

“อ๋อ..ตอนนี้อาการของน้องน่าจะดีขึ้นระดับหนึ่งแล้วล่ะค่ะ อีกวันสองวันน่าจะกลับไปเรียนได้ แล้วทางบ้านจะแจ้งให้ทราบนะคะ” หญิงสาวตอบคำถามจากคนของศูนย์สอนคอมฯ อยู่สักพักถึงวางสายไป ก่อนจะต้องหันมาแล้วตกใจกับภาพลูกชายตัวน้อยของตนกำลังยืนอยู่กลางทางเดินในบ้าน ที่ลงมาจากชั้นสองอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง

หญิงสาววัยกลางคนถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ เข้าใจไปเองว่าอาจจะเป็นใครคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกชายของตน เพราะในวันที่ลูกชายของตนกลับมาถึงบ้านจากศูนย์สอนคอมฯ ครั้งล่าสุด คือวันที่ครูจากศูนย์ฯ ต้องขับรถมาส่งด้วยตัวเอง พร้อมประคองลูกชายที่มีอาการหวาดกลัวสุดขีดลงมาจากรถ ก่อนที่เด็กชายจะมีอาการชักอย่างรุนแรงคล้ายคนจับไข้ขั้นสูงจนสลบไป

“เป็นไงบ้างลูก? ดีขึ้นแล้วเหรอ?” เด็กชายเดินก้าวเดินฉับๆ เข้ามาหาผู้เป็นแม่อย่างรวดเร็ว ผู้เป็นแม่ถามพลางเอามือแตะหน้าผากเพื่อดูไข้ลูกชายอย่างคร่าวๆ คำตอบจากเด็กชายคือการพยักหน้าให้เบาๆ
“แล้วอีกสองวันนี้ลูกจะกลับไปเรียนได้รึยังล่ะ หืม?” คราวนี้คำตอบที่ได้จากเด็กชายคือการสั่นหัวอย่างรุนแรง ก่อนที่เด็กชายจะเริ่มสะอื้นจนมีน้ำตาไหลอาบสองแก้มอย่างช้าๆ
“ทำไมล่ะลูก?” ผู้เป็นแม่คุกเข่าลงหนึ่งข้างเพื่อให้ความสูงของตนใกล้เคียงกับลูกชายมากที่สุด
“ผมไม่อยากไปเรียนคอมอีกแล้ว” เด็กชายพูดออกมาทั้งสะอื้น
“ไหนบอกคุณแม่ได้มั้ย? ทำไมถึงไม่อยากกลับไปเรียน? มีเพื่อนคนไหนแกล้งลูกรึเปล่า?” ผู้เป็นแม่เริ่มคิดไปต่างๆ นาๆ ด้วยสัญชาติญาณความเป็นแม่ที่กลไกการปกป้องลูกที่ยังอยู่วัยเด็ก ในใจคิดว่าพร้อมจะเอาเรื่องทุกคนหากมีผู้ปกครองคนอื่นปล่อยให้เด็กในความดูแลมากลั่นแกล้งลูกชายของตน หรือทางศูนย์สอนคอมฯ ที่ตนเองให้ความไว้วางใจแต่กลับทำหน้าที่ดูแลลูกชายของตนในฐานะบ้านหลังที่สองได้ไม่ดีพอ

“มีผู้หญิง..ผู้หญิงตัวใหญ่ๆ เขา..เขาแกล้งผม..”


................................................................................................................................................................................


    2 วันก่อน..

    เด็กหลายสิบคนพากันออกจากห้องหลังจากได้เวลาอันควรที่ศูนย์สอนคอมพิวเตอร์จะให้นักเรียนคลาสเด็กแยกย้ายกันเดินทางกลับบ้าน ทว่ายังมีเด็กคนหนึ่งที่เดินออกมาเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองลืมกระเป๋าเครื่องเขียนเอาไว้ในห้องเรียน จึงเดินกลับเข้าไป จนมาถึงโต๊ะตัวเอง กลับไม่พบมันอยู่..

    ท่ามกลางบรรยากาศวังเวงแม้จะเป็นยามเย็นที่มีแสงสีส้มส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง แต่ในเงามืด ณ มุมหนึ่งในห้องเรียน เด็กชายเหมือนจะรู้สึกว่าเพิ่งเห็นใครเดินผ่านห่างตาตนไปอยู่ชั่วขณะ

    ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจะยังไม่เจนโลกดีพอที่จะรู้ว่า สิ่งใดควรเดินเข้าหา หรือสิ่งใดไม่ควร ขาคู่เล็กพาร่างกายของเด็กชายให้เดินเข้าไปยังมุมมืดนั้น เพราะจากล่าสุดที่เห็น แม้จะหางตา แต่ก็พอเห็นอยู่ลางๆ ว่าที่เดินผ่านไปนั้นคือ ‘ร่างของคน’

    คลึกๆๆๆ! คลึกๆๆๆ!

    ยิ่งเดินตามทางที่ทอดเข้ามาสู่มุมมืดของห้องเรียน เสียงเขย่าวัตถุอะไรบางอย่างยิ่งดังชัดเจนขึ้น ด้วยความที่เป็นเสียงอันคุ้นเคย เพราะเด็กชายเองก็เคยทำเสียงที่ว่านั้นเช่นกัน จึงจำได้ว่า..นั่นคือเสียงเขย่ากระเป๋าเครื่องเขียนของตน

    คลึกๆๆๆ! คลึกๆๆๆ!

    ภาพของหญิงสาวร่างท้วมวัยกลางคนในชุดกระโปรงของภารโรงนั่งยองอยู่ ณ มุมหนึ่งของห้องเรียน มันคือมุมมืดอันเกิดจากแสงแดดยามเย็นที่ไม่อาจส่องได้ทั่วจนเกิดเป็นเงาดำๆ ขึ้น ณ มุมนั้น..มันคือพื้นที่อันมืดมิดที่หากเป็นคนอื่น อาจจะไม่กล้าเข้าหา แต่ในมือของหญิงสาวคนนั้น คือกระเป๋าเครื่องเขียนของเด็กชายที่กำลังเขย่าอยู่เป็นพักๆ และสายตาของหญิงสาววัยกลางคนเองก็จับจ้องมายังเด็กชายเช่นกัน..

    เด็กชายเข้าใจว่านั่นคือการแสดงท่าททางให้เด็กชายเดินเข้าไปรับกระเป๋าเครื่องเขียนคืน เด็กชายจึงเดินเข้าไปหาร่างท้วมของหญิงสาววัยกลางคนนั้นอย่างช้าๆ ก่อนจะยื่นมือไปหวังจะหยิบกระเป๋าเครื่องเขียนจากหญิงสาวคืน

    ทว่า ยังไม่ทันที่อุ้งมือเล็กๆ ของเด็กชายจะได้สัมผัสกับผิวกระเป๋าเครื่องเขียน อุ้งมืออันหยาบกระด้างของหญิงสาวัยกลางคนก็คว้าไว้ที่ข้อมือของเด็กชาย
    “อยากได้คืนหรอ!? ต้องพูดว่าอะไรก่อน!?” ร่างกายของเด็กชายเริ่มสั่นด้วยความตกใจต่อการกระทำของหญิงสาวตรงหน้า
    “อยากได้คืนหรอ!? ต้องพูดว่าอะไรก่อน!?” ร่างกายของหญิงสาววัยกลางคนเริ่มเปลี่ยนสีผิวจากผิวคล้ำกรำแดด กลายเป็นขาวขึ้นเรื่อยๆ..จนซีดเซียว..มันดูซีดเซียวเกินกว่าจะเป็นสีผิวที่เคยมีหยาดเลือดหล่อเลี้ยงร่างกายเอาไว้
    “มะ..ไม่!!” เด็กชายเริ่มกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว พยายามจะกระชากมือให้หลุดจากพันธนาการด้วยอุ้งมือของหญิงสาว แต่ในขณะเดียวกัน หญิงสาวก็เริ่มออกแรงเหนี่ยวรั้งเด็กชายไว้เช่นกัน
    “อยากได้คืนเหรอ!? ต้องพูดว่าอะไรก่อน!?” จากผิวอันซีดเซียว สีผิวร่างกายของหญิงสาววัยกลางคนก็เริ่มเปลี่ยนอีกอย่างต่อเนื่อง ในคราวนี้มันเริ่มคล้ำขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสีดำราวกับถ่าน ดวงตาถลึงกว้างใส่เด็กชายดูดุร้าย มันกว้างเสียจนเด็กชายมองเห็นเส้นเลือดฝอยในดวงตานั้นแตกทีละเส้นเล็กเส้นน้อยจนเกิดเป็นเลือดคั่งในดวงตา

ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!

................................................................................................................................................................................




    7 วันต่อมา..

    “เดี๋ยวรอครูก่อนแปบนึงนะ มันค่ำแล้ว มืดๆ งี้มันจะอันตราย เดี๋ยวลงไปพร้อมกัน” เสียงของหญิงสาวผู้ทำหน้าที่เป็นครูพิเศษในการสอนวิชาคอมพิวเตอร์ของศูนย์การสอนแห่งนี้ประกาศขึ้นเพื่อให้เด็กๆ ในการสอนรอตนเองเก็บของเตรียมสอนให้เสร็จก่อนจึงค่อยลงจากอาคารพร้อมกัน ภายนอกอาจจะดูว่าตนเป็นห่วงเด็กๆ ซึ่งนั่นก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนคือด้วยความที่ตนเองรู้สึกว่าพอพลบค่ำไปแล้ว ชั้น 4 ของอาคารแห่งนี้มันถูกบรรยากาศอันชวนวังเวงเข้าปกคลุมจนอดรู้สึกขนลุกไม่ได้ ท่ามกลางห้องเรียนคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่ถูกแบ่งเป็นส่องแถวหลักๆ โดยมีสองแถวย่อยเป็นโต๊ะสำหรับวางคอมพิวเตอร์ที่ผู้เรียนจะหันหน้าเข้าหากันโดยมีคอมพิวเตอร์สองเครื่องที่หันหลังให้กันคั่นกลางอยู่

    เด็กๆ นักเรียนได้ยินประโยคดังนั้นก็เงียบแล้วหันมามองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่นักเรียนคนหนึ่งจะเหลือบมองไปยังมุมหนึ่งของห้องแล้วรีบคว้ากระเป๋าลุกออกไปทันที ตามด้วยคนอื่นๆ ที่เข้าใจว่ามีคนแสดงความต้องการที่จะไม่รอให้หญิงสาวผู้สอนเก็บของจนเสร็จก่อนแล้วค่อยออกไปพร้อมกัน ซึ่งแท้จริงแล้ว เด็กนักเรียนที่ลุกออกไปคนแรกนั้นดูเหมือนจะเจอเข้ากับ ‘อะไรบางอย่าง’ ที่มุมนั้นของห้องมากกว่า..ตรงนี้ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นหรือไม่มีใครทราบได้

    หญิงสาวหันกลับมามองตามเสียงจอแจของเด็กนักเรียนที่พากันทยอยออกจากห้อง เมื่อเห็นดังนั้นก็อดถอนหายใจเฮือกใหญ่ไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละ อาจเพราะธรรมชาติของเด็กๆ ที่ไม่ต้องการจะดูสนิทสนมกับผู้ที่รับหน้าที่เป็นผู้สอนเท่าไหร่ จึงได้รีบพากันตีตัวออกห่างขนาดนั้น โดยเฉพาะตัวหญิงสาวเองที่รู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้ติดอันดับครูสาวแสนสวยที่เป็นขวัญใจของเด็กๆ อย่างที่โลกอินเตอร์เน็ตเขาพากันชื่นชม

    เด็กนักเรียนทยอยกันออกจากห้องกันไปหมดเร็วกว่าที่คิด จากที่รู้สึกวังเวงอยู่แล้วทั้งที่มีเด็กนักเรียนอยู่ด้วย ในตอนนี้ความรู้สึกที่มากับบรรยากาศเหล่านั้นดูเหมือนจะยิ่งทวีคูณ

    ในระหว่างที่หญิงสาวยังคงสาละวนอยู่กับการเก็บของประจำการสอนอยู่นั้นเอง เสียงต๊อกแต๊กชั่วขณะหนึ่งก็ดังขึ้น หญิงสาวหันไปมองตามเสียงนั้นก็ไม่พบใครอยู่ในห้อง แต่เมื่อครู่หญิงสาวมั่นใจว่าที่ได้ยินนั้นคือเสียงแป้นพิมพคอมพิวเตอร์ที่ถูกกดพิมพ์ไม่ผิดแน่

    หญิงสาวใช้พยายามในการบังคับความคิดให้คิดว่าเสียงกดพิมพ์เมื่อครู่อาจจะเกิดจากการที่แป้นพิมพ์ดีดตัวกลับขึ้นเอง เป็นเรื่องปกติจากการใช้งานแป้นพิมพ์แบบคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่เวลาเรากดแป้นพิมพ์แรงเกินไป ทำให้มีปุ่มยุบตัวลงไปค้างคาแป้นพิมพ์อยู่อย่างนั้น บางทีมันก็จะเด้งกลับขึ้นมาจากการคลายตัวของปุ่ม เมื่อคิดได้ดังนั้นก็กลับมาเก็บของจนเสร็จ กระเป๋าถือขนาดใหญ่พอใส่ของส่วนตัวได้ประมาณหนึ่งถูกหยิบขึ้นมาสะพายไว้ที่แขนขวาของหญิงสาว จนกระทั่งหญิงสาวหันกลับมายังห้องเรียน ก็ตรงจังหวะพอดีกับที่เสียงแป้นพิมพ์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันดังขึ้นจากอีกฝั่งของแถวโต๊ะเรียน

    หญิงสาวเดินมายังแถวโต๊ะเรียนที่มีเสียงแป้นพิมพ์ครั้งที่สองดังขึ้น ชะเง้อหน้ามองไปยังบริเวณที่ได้ยินเสียงอยู่ไกลๆ ก็ยังไม่พบอะไร ซึ่งเสียงที่ได้ยินเป็นครั้งที่สองนี้ยาวกว่าเสียงครั้งแรกจนเกินกว่าที่ความคิดของหญิงสาวจะพยายามกล่อมจิตใจว่ามันเป็นแค่เสียงปุ่มแป้นพิมพ์ดีดตัวกลับ เพราะครั้งนี้ฟังยังไงก็ไม่ผิดว่ามันคือเสียงของมือที่กำลังพรหมนิ้วพิมพ์บนแป้นพิมพ์จริงๆ

    และไม่ปล่อยให้จังหวะถูกทิ้งช่วงนาน เสียงแป้นพิมพ์ครั้งที่สามก็ดังขึ้นอีกครั้ง โดยที่คราวนี้มันกลับไปอยู่ฝั่งเดียวกับที่ได้ยินเป็นครั้งแรก ตามด้วยครั้งที่สี่..ครั้งที่ห้า..หก..เจ็ด ที่ดังติดต่อกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสียงของการพิมพ์อย่างต่อเนื่อง และภาพอันสุดแสนจะเหลือเชื่อที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าหญิงสาวผู้ต้องกลายเป็นผู้ประสบโชคร้ายของวันนี้ที่ยังยืนอยู่ในห้องเรียนด้วยอาการผวาจนขาทั้งสองเริ่มจับตัวแข็ง ยากที่จะขยับแม้แต่เดิน คือภาพของคอมพิวเตอร์เกือบทั้งห้องเรียนเปิดตัวขึ้นเกือบจะพร้อมกันทั้งห้อง ก่อนจะกลายเป็นจอสีน้ำเงินแสดงค่า Error พร้อมกัน ตามด้วยเสียงหัวเราะแหลมเล็กคล้ายเสียงเด็กที่ดังระงมขึ้นก้องไปทั่วห้องเรียน ซึ่งมันไม่ได้ดังอยู่แค่ในโสตประสาทของหญิงสาว แต่มันดังคล้ายกับว่าก้องอยู่ในหัวเข้าขั้นฝังรากในความคิดของหญิงสาวจนส่งผลให้เกิดอาการวิงเวียนหัวอย่างรุนแรง

    เมื่อถึงขีดที่ทั้งร่างกายและจิตใจมันสุดแสนจะฝืนทนต่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า หญิงสาวรวบรวมสติและกำลัง พาตัวเองออกไปจากห้องเรียนอย่างเร็วที่สุด โดยทิ้งให้ภาพแห่งความเหลือเชื่อท่ามกลางบรรยากาศชวนหลอนในยามค่ำคืนไว้เบื้องหลัง ไม่ได้หันกลับไปมองอีกเลยจนไม่รู้ว่าคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องที่แสดงค่า Error ผ่านหน้าจอเมื่อครู่นั้นกลับเป็นปกติ และห้องที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแหลมเล็กชวนขนหัวลุกเมื่อครู่ก็กลับคืนสู่ความเงียบงันราวกับเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น..
................................................................................................................................................................................
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่