ว่าด้วยเรื่องของตม. เห็นช่วงนี้กำลังเป็นข่าวใหญ่โตเกี่ยวกับตม.เกาฯ ก็เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ของตัวเองกับตม.สิงคฯบ้าง กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่อิชั้นเขียนขึ้น หากมีข้อผิดพลาดประการใด ก็ต้องกราบขอสุมาอภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะเจ้าคะ.. _/\_
เอาล่ะ เริ่มเลยละกัน.. เนื่องจากว่าเมื่อต้นปี๕๘ จขกท.ได้พบรักกับหนุ่มเมืองลอดช่องแห่งนี้เข้า ก็เลยได้มีโอกาสเข้าๆออกๆประเทศนี้ค่อนข้างบ่อย (เดือนเว้นเดือนหรือเดือนเว้น๒เดือน) ช่วงต้นปี๕๘จนถึงช่วงกลางปีก็เข้าได้ปกติไม่มีปัญหาอะไร จวบจน..ประมาณกลางๆปีได้มีผู้หญิงไทยคนหนึ่งโพสเฟสฯโชว์รูปเงินสิงคฯ โชว์รูปบ้าน โชว์รูปรถBMW(รุ่นเก่า)ของนาง พร้อมกับแคปชั่นสุดเก๋ไก๋ประมาณว่า 'เนี่ยะ ดูสิ ผู้ชายสิงคฯโง่แค่ไหน นางไปทำงานไม่ถึงเดือน หอบเงินกลับบ้านมาเป็นแสนๆ' (อารมณ์ประมาณนี้) พอดีว่าช่วงนั้นเราอยู่สิงคฯพอดี แล้วแฟนก็เอาโทรฯให้ดูว่าเนี่ยะยูดูสิ ผู้หญิงไทยมาทำงานที่สิงคฯแล้วโพสแบบนี้ๆ บลาบลาบลา จนสังคมโซเชียลของสิงคฯเอาไปลงพร้อมกับเตือนประชากรผู้ชายของสิงคฯให้ระวังตัวกันเลยทีเดียว (อารมณ์เหมือนโพสลงพันทิปประมาณนี้) ซึ่งหลังจากข่าวนี้เป็นข่าวใหญ่โตไปแล้วล่ะก็ ตม.สิงคฯตรวจเข้มหนักมาก(ก.ไก่ล้านตัว) ชะนีหน้าสวยๆหุ่นดีๆทั้งหลายเริ่มโดนตรวจเข้มมากขึ้น มีเคสส่งกลับทุกวัน เคยได้ยินมาว่าเคยมีพาสฯไทยโดนส่งกลับแบบยกลำมาแล้วอีกด้วย(ไม่ว่าจะ ญหรือช แก่หรือหนุ่ม โดนหมด) หรืออีกเคสคือเดินลงมาจากบันไดเลื่อนที่จะเข้าช่องตรวจคนเข้าเมือง ก็จะมีจนท.ดักอยู่แล้วขอดูพาสฯ หากเป็นพาสฯไทยแล้วล่ะก็ เชิญห้องเย็นเลยจร้าาา
เอาล่ะ..เกริ่นมายาวเกินไปละ สำหรับตัวอิชั้นนั้นก่อนหน้าที่จะมีแฟนเป็นสิงคโปร์เรี่ยนนั้น เคยได้มีโอกาสไปเที่ยวสิงคโปร์มาแล้ว๒ครั้ง จากนั้นก็บินเข้าๆออกๆเป็นว่าเล่น หลังจากเกิดเหตุการณ์ชะนีขี้อวดโพสรูปแล้วนั้น มีแฟน(ญ ไทย)ของเพื่อนแฟนอิชั้นบินไปสิงคฯปรากฎว่าโดนส่งกลับจร้าาา หลังจากนั้นแฟนอิชั้นก็วิตกกังวลหนักมาก กลัวว่าอิชั้นจะโดนบ้าง เพราะถ้าโดนส่งกลับนี่คือเรามีประวัติเสียกับประเทศนี้ไปเลย แฟนอิชั้นก็เลยไปที่ตึกICA(Immigration & Checkpoints Authority)เพื่อขอยื่นเจตจำนงค์ขอรับรองให้กับตัวอิชั้น หลังจากรอ๒อาทิตย์ก็ได้จม.มาแบบนี้..

แต่..คุณขาาา จม.ฉบับนี้ก็ไม่ได้แปลว่าอิชั้นจะเดินเข้าได้แบบสบายใจ๑๐๐%นะเจ้าคะ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของจนท.ที่เคาน์เตอร์อีกทีนึง ซึ่งครั้งแรกที่ใช้จม.นี้ก็โดนถามนิดหน่อยเล็กน้อยแต่พองาม แล้วก็ผ่านเข้าไปได้ และทุกๆครั้งที่บินเข้าสิงคฯ อิชั้นต้องเตรียมพร้อมหนักมาก จม., ตั๋วขากลับและเงิน! (บัตรเครดิตจนท.ไม่สนใจนะเจ้าคะว่าคุณจะมีกี่ใบ จะเป็นWisdomหรือPlatinumอะไรก็แล้วแต่ โนสนจ๊ะ เงินสดเท่านั้น!!!)
ทีนี้ก็มาถึงประสบการณ์การเข้าห้องเย็นกันบ้าง ซึ่งอิชั้นเคยได้เข้าห้องเย็น๓ครั้งถ้วน..
ครั้งที่๑ : วันนั้นก็เข้าช่องตรวจปกติ แต่! ที่ไม่ปกติก็คือจนท.ตรวจๆๆพาสฯของอิชั้นแล้วพับปิด พรึ่บ! แล้วบอกให้เดินตามไป อิชั้นนี่ใจหายแว๊บ หัวใจเต้นตึ่กๆตั่กๆ ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้มาทำอะไรผิดนะ อ่ะ ก็เข้าไปในออฟฟิศเล็กๆ ซึ่งต้องใช้บัตรจนท.ในการแสกนเข้า-ออกเท่านั้น ก็ไปนั่งรอ จนท.ก็เรียกไปเช็คลายนิ้วมือ(นิ้วโป้ง๒ข้าง) ซึ่งในระหว่างนั้นก็มีคนเข้ามาอีกเรื่อยๆ ตัวอิชั้นเองก็นั่งก้มหน้าก้มตาส่งไลน์หาแฟนว่าชั้นติดออฟฟิศนะ นั่นนี่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เรียกไปสัมฯทีละคนเริ่มจากอิชั้นก่อน ก็ถามคำถาม เอาเท่าที่จำได้นะ เค้าก็ถามเราว่าอิชั้นมาทำอะไร, ที่อยู่กับเบอร์โทรฯที่กรอกในใบตรวจคนเข้าเมืองเนี่ยะของใคร? ขอตรวจเช็คโทรฯ ขอดูรูปถ่ายกับแฟน เช็คแม้กระทั่งไลน์! แล้วก็ถามว่าเราเอาเงินมาเท่าไหร่ ซึ่งอิชั้นพกเงินตราต่างประเทศไปหลายประเทศเหลือเกิน จนท.ก็บอกให้นับแล้วจดให้เค้าว่ามีเท่าไหร่อะไรยังไง ณ จุดๆนี้เพลียใจสุดดด อิชั้นก็ตอบคำถามผ่านไปได้ด้วยดี ระหว่างนั้นก็มีชะนี(น้อย)ไทย๒นางถูกส่งเข้ามาในห้องเย็น ซึ่งจากสายตาอิชั้นที่เป็นคนไทยด้วยกันเองยังมองดูแล้วก็แอบคิดในใจว่า'น้องก็สมควรโดนกักตัวจริงๆ' เพราะนางเล่นใส่เสื้อครอปเอวลอย+เกงยีนส์ขาสั้นเอวสูงงี้ อ่ะเราสัมฯเสร็จ เราก็ออกไปนั่งรอ แต่คุณขาน้องนี๒นางนั้นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยยย ความซวยก็ตกมาอยู่ที่อิชั้น จนท.เรียกอิชั้นไปแปลให้ค่ะคู๊ณณณ ก็คำถามเดิมๆ มาทำไม พักที่ไหน เอาเงินมาเท่าไหร่ ยังไงๆๆ อ่ะนางก็บอกว่านางมาเที่ยวกับเพื่อน๒คน คนนึงมีเงินอยู่$1000 อีกคนมีอยู่฿500 แต่ไม่มีใบบุ๊กกิ้งรร. แล้วจู่ๆจนท.ก็ถามนางว่า'ยูบอกว่ายูมากับเพื่อน งั้นเพื่อนยูชื่ออะไร' โอ้ววว.. นางเหวอไปเลยคร่า อึกอักตอบไม่ได้ แล้วจนท.ก็แอบเม้าท์กับอิชั้นว่า เนี่ยะ ๒คนเนี้ยไม่ได้เป็นเพื่อนกันหรอก พึ่งมาเจอกันบนเครื่องบินนี่แหละ ตึ่ง!!! อิชั้นก็ได้แต่ยิ้มแหะๆ เพราะไม่รู้จะบอกอีน้องนางยังไงดี แล้วคือจนท.เค้าจะมีคำถามแบบจิตวิทยามาถามตลอดนะคะ ถามย้ำๆซ้ำๆอยู่นั่นแหละ คือจับพิรุจอ่ะ แล้วอีกประเด็นก็คือ คุณบอกว่าคุณมาเที่ยวกัน๒คน แต่ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานคุณไม่ได้เลยสักนิด จนท.เค้าคงจะเชื่อหรอกนะคะ หลังจากสัมฯกันเสร็จแล้ว(จริงๆแล้วอิชั้นได้เป็นล่ามให้ทั้งหมดอยู่๔-๕คนเชียวนะคุณผู้ชมขา) จนท.ก็พาเราออกไปที่สายพาน ไปเอากระเป๋าแล้วตรวจ!!! เพื่อจะดูในเรื่องของเสื้อผ้าวับๆแวมๆ รองเท้าส้นสูงหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เค้าสามารถสงสัยว่าคุณอาจจะเข้ามาทำงาน ซึ่งพอเปิดเช็คกระเป๋าอิชั้น๒ใบใหญ่ เจอแต่กระเพาะปลาตากแห้งงี้ เห็ดหอมแห้งงี้ คือวัตถุดิบในการทำอาหารทั้งนั้น จนท.ก็เลยไม่ตรวจอะไรของอิชั้นมากนัก แต่ของน้องนี๒นางนั้น รื้อกระจุยค่ะ ขอบอก!!! และแล้วอิชั้นก็ผ่านเข้ามาได้ (รอบนี้ติดอยู่ประมาณ๓ชั่วโมงนิดๆ)
ครั้งที่๒ : ครั้งนี้อิชั้นจะเข้ามาเพื่อที่จะจดทะเบียนสมรสแล้ว ก็ได้ปริ้นท์เอกสารทุกสิ่งอย่างติดตัวมาด้วย ทั้งใบจองจดทะเบียนฯ(ที่สิงคฯหากต้องการจดทะเบียนฯต้องมีการจองล่วงหน้าก่อนนะคะ ไม่เหมือนที่ไทยสะดวกกันวันไหนก็ควงกันไปจดได้เลย) ตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ ก็ยังมิวายโดนอีกค่ะ! อ่ะ เอาไปเช็คว่าเอกสารเนี้ยะของจริงมั้ย มีชื่ออยู่ในระบบได้ทำการจองไว้จริงๆรึเปล่า อ่ะรอบนี้โดนไปประมาณครึ่งชั่วโมง อ่อๆเกือบลืมเล่า ตอนที่จนท.เคาน์เตอร์พาเราไปส่งให้จนท.ออฟฟิศ พอเจ้าหน้าที่ออฟฟิศเห็นเอกสารของเรา เค้าก็ส่ายหัวแล้วพูดกับจนท.ที่อยู่จุดนั้นว่า เอกสารก็พร้อมขนาดนี้ ยังจะส่งมาอีกทำไม (อิชั้นก็แอบหัวเราะในใจไปสิ) ต้องบอกก่อนว่าจนท.เคาน์เตอร์ที่เป็นแขกๆเค้าจะค่อนข้างเฮี๊ยบมาก หรือเรียกอีกอย่างนึงคือบ้าอำนาจค่ะ ไม่รู้ล่ะ อำนาจอยู่ในมือ_แล้วก็ต้องเอาซะหน่อย ไรงี้
ครั้งที่๓ : ครั้งนี้คืออิชั้นเริ่มมีน้ำโหละ เนื่องจากรอบนี้อิชั้นจะเข้ามาทำบัตรLong Term(๑ปี) เพราะอิชั้นได้ทำการสมัครไว้ก่อนกลับไทย พอApprovedแล้ว ก็เลยจะต้องมาตรวจร่างกายก่อนเพื่อยื่นรับบัตร จนท.เคาน์เตอร์ตรวจเอกสารของอิชั้นที่แนบไปให้กับพาสฯ ซึ่งมีใบ'ทะเบียนสมรส'ด้วย มีใบที่'ICA approved'ด้วย เปิดๆเช็คๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมาบอกอิชั้นว่า ไม่ต้องตกใจนะ เดี๋ยวจะส่งไปเช็คเอกสารนิดหน่อย ในใจนี่ขึ้นเลย อยากจะตะโกนWTFออกมาดังๆเลยเชียว (ปล.เจ้าหน้าที่เป็นแขกอีกเช่นเคย๕๕๕+) ก็เข้าไปออฟฟิศ เหยยย... โดนถามคำถามเหมือนครั้งแรกที่เข้าออฟฟิศเลยคร่า เช็คเงินด้วย คือไร๊? นี่ขนาดว่าจดทะเบียนแล้วนะคะคุณผู้ชมมมมม โอยๆ โมโหแต่ทำไรไม่ได้ เดี๋ยวเกิดมันแกล้งส่งกลับอีก เรื่องจะยาว รอบนี้ติดอยู่ประมาณเกือบชั่วโมงได้
เพิ่มเติมนิดนึงนะคะ : สำหรับสาวๆที่จะมาทำงานที่สิงคฯเนี่ยะ หาร้านที่ออกใบเวิร์คให้เถอะค่ะ การเสี่ยงดวงมานี่เป็นอะไรที่ต้องอาศัยดวงจริงๆ มาแบบถูกกฎหมายเถอะนะ แล้วก็คนที่มีแฟนเป็นสิงคฯแล้วอยากเข้ามาแต่ประวัติไม่ดี เช่นเคยอยู่Over stay(ตอนขาเข้าจนท.เค้าจะเขียนกำกับไฟลท์ขากลับของเราไว้ด้วยนะคะ ป้องกันพวกที่พอเข้าได้แล้วเลื่อนตั๋วขากลับ อยู่เป็นเดือนไรงี้) พวกนี้นี่ตอนขากลับจะโดนส่งเข้าออฟฟิศแล้วทำประวัติ เป็นAuto blacklistเลยนะคะ จะไม่สามารถเข้าสิงคฯได้อีกจนกว่าจะมีคนสิงคฯส่งจดหมายรับรองให้ ซึ่งบางคนคำขอถูกปฏิเสธก็มีเยอะค่ะ บางคนคิดว่าแฟนบินไปรับแล้วบินเข้ามาพร้อมกันจะเข้าได้ ไม่เสมอไปนะคะ เคสของรุ่นน้องที่รู้จักคือOver stayโดนเข้าออฟฟิศตอนขากลับ พอจะมาอีก ให้แฟนบินไปรับ ปรากฎว่าจนท.ไล่ให้แฟนน้องเข้าไปก่อน ส่วนตัวน้องติดออฟฟิศและส่งกลับไทย ตม.สิงคฯเดี๋ยวนี้เค้ามีแสกนลายนิ้วมือตรงเคาน์เตอร์เลยนะคะ ใครมีประวัติอะไรเด้งขึ้นมาหมด แล้วก็อีกกลุ่มที่ชอบคิดว่าพอเปลี่ยนชื่อ-สกุลแล้วจะเข้ามาได้นี่คือคุณใช้ไรคิดคะ? อย่าลืมสิคะว่าลายนิ้วมือคุณมันเปลี่ยนไม่ได้!!!
สำหรับเราตอนนี้ไม่กลัวแล้วค่ะจนท.ตม. สะบัดบ๊อบใส่สวยๆ เดินเข้าช่องAuto passเท่านั้น! ๕๕๕+
หากใครมีคำถามอะไร สงสัยตรงไหนถามได้เน้อ ถ้าเรารู้เราจะตอบให้นะเจ้าคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ขอบคุณนะเจ้าคะที่อ่านจนจบ (^^,)
จากใจ.. สะใภ้สิงคโปร์
ความโหดของตม.สิงคโปร์
เอาล่ะ เริ่มเลยละกัน.. เนื่องจากว่าเมื่อต้นปี๕๘ จขกท.ได้พบรักกับหนุ่มเมืองลอดช่องแห่งนี้เข้า ก็เลยได้มีโอกาสเข้าๆออกๆประเทศนี้ค่อนข้างบ่อย (เดือนเว้นเดือนหรือเดือนเว้น๒เดือน) ช่วงต้นปี๕๘จนถึงช่วงกลางปีก็เข้าได้ปกติไม่มีปัญหาอะไร จวบจน..ประมาณกลางๆปีได้มีผู้หญิงไทยคนหนึ่งโพสเฟสฯโชว์รูปเงินสิงคฯ โชว์รูปบ้าน โชว์รูปรถBMW(รุ่นเก่า)ของนาง พร้อมกับแคปชั่นสุดเก๋ไก๋ประมาณว่า 'เนี่ยะ ดูสิ ผู้ชายสิงคฯโง่แค่ไหน นางไปทำงานไม่ถึงเดือน หอบเงินกลับบ้านมาเป็นแสนๆ' (อารมณ์ประมาณนี้) พอดีว่าช่วงนั้นเราอยู่สิงคฯพอดี แล้วแฟนก็เอาโทรฯให้ดูว่าเนี่ยะยูดูสิ ผู้หญิงไทยมาทำงานที่สิงคฯแล้วโพสแบบนี้ๆ บลาบลาบลา จนสังคมโซเชียลของสิงคฯเอาไปลงพร้อมกับเตือนประชากรผู้ชายของสิงคฯให้ระวังตัวกันเลยทีเดียว (อารมณ์เหมือนโพสลงพันทิปประมาณนี้) ซึ่งหลังจากข่าวนี้เป็นข่าวใหญ่โตไปแล้วล่ะก็ ตม.สิงคฯตรวจเข้มหนักมาก(ก.ไก่ล้านตัว) ชะนีหน้าสวยๆหุ่นดีๆทั้งหลายเริ่มโดนตรวจเข้มมากขึ้น มีเคสส่งกลับทุกวัน เคยได้ยินมาว่าเคยมีพาสฯไทยโดนส่งกลับแบบยกลำมาแล้วอีกด้วย(ไม่ว่าจะ ญหรือช แก่หรือหนุ่ม โดนหมด) หรืออีกเคสคือเดินลงมาจากบันไดเลื่อนที่จะเข้าช่องตรวจคนเข้าเมือง ก็จะมีจนท.ดักอยู่แล้วขอดูพาสฯ หากเป็นพาสฯไทยแล้วล่ะก็ เชิญห้องเย็นเลยจร้าาา
เอาล่ะ..เกริ่นมายาวเกินไปละ สำหรับตัวอิชั้นนั้นก่อนหน้าที่จะมีแฟนเป็นสิงคโปร์เรี่ยนนั้น เคยได้มีโอกาสไปเที่ยวสิงคโปร์มาแล้ว๒ครั้ง จากนั้นก็บินเข้าๆออกๆเป็นว่าเล่น หลังจากเกิดเหตุการณ์ชะนีขี้อวดโพสรูปแล้วนั้น มีแฟน(ญ ไทย)ของเพื่อนแฟนอิชั้นบินไปสิงคฯปรากฎว่าโดนส่งกลับจร้าาา หลังจากนั้นแฟนอิชั้นก็วิตกกังวลหนักมาก กลัวว่าอิชั้นจะโดนบ้าง เพราะถ้าโดนส่งกลับนี่คือเรามีประวัติเสียกับประเทศนี้ไปเลย แฟนอิชั้นก็เลยไปที่ตึกICA(Immigration & Checkpoints Authority)เพื่อขอยื่นเจตจำนงค์ขอรับรองให้กับตัวอิชั้น หลังจากรอ๒อาทิตย์ก็ได้จม.มาแบบนี้..
ทีนี้ก็มาถึงประสบการณ์การเข้าห้องเย็นกันบ้าง ซึ่งอิชั้นเคยได้เข้าห้องเย็น๓ครั้งถ้วน..
ครั้งที่๑ : วันนั้นก็เข้าช่องตรวจปกติ แต่! ที่ไม่ปกติก็คือจนท.ตรวจๆๆพาสฯของอิชั้นแล้วพับปิด พรึ่บ! แล้วบอกให้เดินตามไป อิชั้นนี่ใจหายแว๊บ หัวใจเต้นตึ่กๆตั่กๆ ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้มาทำอะไรผิดนะ อ่ะ ก็เข้าไปในออฟฟิศเล็กๆ ซึ่งต้องใช้บัตรจนท.ในการแสกนเข้า-ออกเท่านั้น ก็ไปนั่งรอ จนท.ก็เรียกไปเช็คลายนิ้วมือ(นิ้วโป้ง๒ข้าง) ซึ่งในระหว่างนั้นก็มีคนเข้ามาอีกเรื่อยๆ ตัวอิชั้นเองก็นั่งก้มหน้าก้มตาส่งไลน์หาแฟนว่าชั้นติดออฟฟิศนะ นั่นนี่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เรียกไปสัมฯทีละคนเริ่มจากอิชั้นก่อน ก็ถามคำถาม เอาเท่าที่จำได้นะ เค้าก็ถามเราว่าอิชั้นมาทำอะไร, ที่อยู่กับเบอร์โทรฯที่กรอกในใบตรวจคนเข้าเมืองเนี่ยะของใคร? ขอตรวจเช็คโทรฯ ขอดูรูปถ่ายกับแฟน เช็คแม้กระทั่งไลน์! แล้วก็ถามว่าเราเอาเงินมาเท่าไหร่ ซึ่งอิชั้นพกเงินตราต่างประเทศไปหลายประเทศเหลือเกิน จนท.ก็บอกให้นับแล้วจดให้เค้าว่ามีเท่าไหร่อะไรยังไง ณ จุดๆนี้เพลียใจสุดดด อิชั้นก็ตอบคำถามผ่านไปได้ด้วยดี ระหว่างนั้นก็มีชะนี(น้อย)ไทย๒นางถูกส่งเข้ามาในห้องเย็น ซึ่งจากสายตาอิชั้นที่เป็นคนไทยด้วยกันเองยังมองดูแล้วก็แอบคิดในใจว่า'น้องก็สมควรโดนกักตัวจริงๆ' เพราะนางเล่นใส่เสื้อครอปเอวลอย+เกงยีนส์ขาสั้นเอวสูงงี้ อ่ะเราสัมฯเสร็จ เราก็ออกไปนั่งรอ แต่คุณขาน้องนี๒นางนั้นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยยย ความซวยก็ตกมาอยู่ที่อิชั้น จนท.เรียกอิชั้นไปแปลให้ค่ะคู๊ณณณ ก็คำถามเดิมๆ มาทำไม พักที่ไหน เอาเงินมาเท่าไหร่ ยังไงๆๆ อ่ะนางก็บอกว่านางมาเที่ยวกับเพื่อน๒คน คนนึงมีเงินอยู่$1000 อีกคนมีอยู่฿500 แต่ไม่มีใบบุ๊กกิ้งรร. แล้วจู่ๆจนท.ก็ถามนางว่า'ยูบอกว่ายูมากับเพื่อน งั้นเพื่อนยูชื่ออะไร' โอ้ววว.. นางเหวอไปเลยคร่า อึกอักตอบไม่ได้ แล้วจนท.ก็แอบเม้าท์กับอิชั้นว่า เนี่ยะ ๒คนเนี้ยไม่ได้เป็นเพื่อนกันหรอก พึ่งมาเจอกันบนเครื่องบินนี่แหละ ตึ่ง!!! อิชั้นก็ได้แต่ยิ้มแหะๆ เพราะไม่รู้จะบอกอีน้องนางยังไงดี แล้วคือจนท.เค้าจะมีคำถามแบบจิตวิทยามาถามตลอดนะคะ ถามย้ำๆซ้ำๆอยู่นั่นแหละ คือจับพิรุจอ่ะ แล้วอีกประเด็นก็คือ คุณบอกว่าคุณมาเที่ยวกัน๒คน แต่ภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานคุณไม่ได้เลยสักนิด จนท.เค้าคงจะเชื่อหรอกนะคะ หลังจากสัมฯกันเสร็จแล้ว(จริงๆแล้วอิชั้นได้เป็นล่ามให้ทั้งหมดอยู่๔-๕คนเชียวนะคุณผู้ชมขา) จนท.ก็พาเราออกไปที่สายพาน ไปเอากระเป๋าแล้วตรวจ!!! เพื่อจะดูในเรื่องของเสื้อผ้าวับๆแวมๆ รองเท้าส้นสูงหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เค้าสามารถสงสัยว่าคุณอาจจะเข้ามาทำงาน ซึ่งพอเปิดเช็คกระเป๋าอิชั้น๒ใบใหญ่ เจอแต่กระเพาะปลาตากแห้งงี้ เห็ดหอมแห้งงี้ คือวัตถุดิบในการทำอาหารทั้งนั้น จนท.ก็เลยไม่ตรวจอะไรของอิชั้นมากนัก แต่ของน้องนี๒นางนั้น รื้อกระจุยค่ะ ขอบอก!!! และแล้วอิชั้นก็ผ่านเข้ามาได้ (รอบนี้ติดอยู่ประมาณ๓ชั่วโมงนิดๆ)
ครั้งที่๒ : ครั้งนี้อิชั้นจะเข้ามาเพื่อที่จะจดทะเบียนสมรสแล้ว ก็ได้ปริ้นท์เอกสารทุกสิ่งอย่างติดตัวมาด้วย ทั้งใบจองจดทะเบียนฯ(ที่สิงคฯหากต้องการจดทะเบียนฯต้องมีการจองล่วงหน้าก่อนนะคะ ไม่เหมือนที่ไทยสะดวกกันวันไหนก็ควงกันไปจดได้เลย) ตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ ก็ยังมิวายโดนอีกค่ะ! อ่ะ เอาไปเช็คว่าเอกสารเนี้ยะของจริงมั้ย มีชื่ออยู่ในระบบได้ทำการจองไว้จริงๆรึเปล่า อ่ะรอบนี้โดนไปประมาณครึ่งชั่วโมง อ่อๆเกือบลืมเล่า ตอนที่จนท.เคาน์เตอร์พาเราไปส่งให้จนท.ออฟฟิศ พอเจ้าหน้าที่ออฟฟิศเห็นเอกสารของเรา เค้าก็ส่ายหัวแล้วพูดกับจนท.ที่อยู่จุดนั้นว่า เอกสารก็พร้อมขนาดนี้ ยังจะส่งมาอีกทำไม (อิชั้นก็แอบหัวเราะในใจไปสิ) ต้องบอกก่อนว่าจนท.เคาน์เตอร์ที่เป็นแขกๆเค้าจะค่อนข้างเฮี๊ยบมาก หรือเรียกอีกอย่างนึงคือบ้าอำนาจค่ะ ไม่รู้ล่ะ อำนาจอยู่ในมือ_แล้วก็ต้องเอาซะหน่อย ไรงี้
ครั้งที่๓ : ครั้งนี้คืออิชั้นเริ่มมีน้ำโหละ เนื่องจากรอบนี้อิชั้นจะเข้ามาทำบัตรLong Term(๑ปี) เพราะอิชั้นได้ทำการสมัครไว้ก่อนกลับไทย พอApprovedแล้ว ก็เลยจะต้องมาตรวจร่างกายก่อนเพื่อยื่นรับบัตร จนท.เคาน์เตอร์ตรวจเอกสารของอิชั้นที่แนบไปให้กับพาสฯ ซึ่งมีใบ'ทะเบียนสมรส'ด้วย มีใบที่'ICA approved'ด้วย เปิดๆเช็คๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมาบอกอิชั้นว่า ไม่ต้องตกใจนะ เดี๋ยวจะส่งไปเช็คเอกสารนิดหน่อย ในใจนี่ขึ้นเลย อยากจะตะโกนWTFออกมาดังๆเลยเชียว (ปล.เจ้าหน้าที่เป็นแขกอีกเช่นเคย๕๕๕+) ก็เข้าไปออฟฟิศ เหยยย... โดนถามคำถามเหมือนครั้งแรกที่เข้าออฟฟิศเลยคร่า เช็คเงินด้วย คือไร๊? นี่ขนาดว่าจดทะเบียนแล้วนะคะคุณผู้ชมมมมม โอยๆ โมโหแต่ทำไรไม่ได้ เดี๋ยวเกิดมันแกล้งส่งกลับอีก เรื่องจะยาว รอบนี้ติดอยู่ประมาณเกือบชั่วโมงได้
เพิ่มเติมนิดนึงนะคะ : สำหรับสาวๆที่จะมาทำงานที่สิงคฯเนี่ยะ หาร้านที่ออกใบเวิร์คให้เถอะค่ะ การเสี่ยงดวงมานี่เป็นอะไรที่ต้องอาศัยดวงจริงๆ มาแบบถูกกฎหมายเถอะนะ แล้วก็คนที่มีแฟนเป็นสิงคฯแล้วอยากเข้ามาแต่ประวัติไม่ดี เช่นเคยอยู่Over stay(ตอนขาเข้าจนท.เค้าจะเขียนกำกับไฟลท์ขากลับของเราไว้ด้วยนะคะ ป้องกันพวกที่พอเข้าได้แล้วเลื่อนตั๋วขากลับ อยู่เป็นเดือนไรงี้) พวกนี้นี่ตอนขากลับจะโดนส่งเข้าออฟฟิศแล้วทำประวัติ เป็นAuto blacklistเลยนะคะ จะไม่สามารถเข้าสิงคฯได้อีกจนกว่าจะมีคนสิงคฯส่งจดหมายรับรองให้ ซึ่งบางคนคำขอถูกปฏิเสธก็มีเยอะค่ะ บางคนคิดว่าแฟนบินไปรับแล้วบินเข้ามาพร้อมกันจะเข้าได้ ไม่เสมอไปนะคะ เคสของรุ่นน้องที่รู้จักคือOver stayโดนเข้าออฟฟิศตอนขากลับ พอจะมาอีก ให้แฟนบินไปรับ ปรากฎว่าจนท.ไล่ให้แฟนน้องเข้าไปก่อน ส่วนตัวน้องติดออฟฟิศและส่งกลับไทย ตม.สิงคฯเดี๋ยวนี้เค้ามีแสกนลายนิ้วมือตรงเคาน์เตอร์เลยนะคะ ใครมีประวัติอะไรเด้งขึ้นมาหมด แล้วก็อีกกลุ่มที่ชอบคิดว่าพอเปลี่ยนชื่อ-สกุลแล้วจะเข้ามาได้นี่คือคุณใช้ไรคิดคะ? อย่าลืมสิคะว่าลายนิ้วมือคุณมันเปลี่ยนไม่ได้!!!
สำหรับเราตอนนี้ไม่กลัวแล้วค่ะจนท.ตม. สะบัดบ๊อบใส่สวยๆ เดินเข้าช่องAuto passเท่านั้น! ๕๕๕+
หากใครมีคำถามอะไร สงสัยตรงไหนถามได้เน้อ ถ้าเรารู้เราจะตอบให้นะเจ้าคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากใจ.. สะใภ้สิงคโปร์