คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7
ขอแยกตอบเป็นทีละประเด็นนะครับ
1.พวกปืนกล Gatling สามารถหยุดทหารม้า ทหารราบได้มากน้อยแค่ไหน? มีประเทศไหนบ้างเอาไปใช้?
ตอบ จริงๆอันนี้ก็สามารถศึกษาได้ตั้งแต่ช่วงปลายสงครามกลางเมืองอเมริกาครับ ที่ถูกเอาไปใช้งานหลักๆโดย Benjamin Butler แต่น่าเสียดายไม่มีบันทึกรายละเอียดมากนักว่าใช้ยังไงให้ผลความสำเร็จในการใช้ไว้ว่าได้ผลดีแค่ไหนเพียงแต่มีบันทึกการรบที่สังเกตุเห็นการใช้เล็กๆน้อยๆเท่านั้นมีตัวอย่างอย่างเช่น บันทึกของร้อยเอก Gustavus Dana นายทหารสื่อสารประจำ X Corps หน่วยเดียวกับ Benjamin Butler สังเกตุเห็นการใช้งานระหว่างช่วงที่หน่วยของ Butler โดนตีจนมุมที่ Bermuda Hundred
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าใช้ Gatling ขนาดลำกล้องเท่าไหร่แหละครับถ้าใช้ขนาด 1 นิ้วที่ยิงกระสุนลูกปราย Buck and Ball ผลงานที่ทำได้ก็ทำให้เป้าหมายเละเทะมากกว่า Gatling ปกติที่ก็ทำให้เป้าหมายเละเทะจากอัตราการยิงสูงๆอยู่แล้ว
แต่หลักฐานแน่นๆคงจะเป็นช่วงปลายสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย หลังพ่ายศึกที่ Sedan ฝรั่งเศสเสีย Mitrailleuse ไปเพียบเลยไปจัดหา Gatling กันมาเสริมทัพ แถมยังเรียนรู้บทเรียนเท่าทันเกมโดยคราวนี้เอามาใช้ถูกวิธีเป็นปืนป้องกันแบบจุด เช่น ป้องกันทางข้ามแม่น้ำตั้งรับยิงสนับสนุนระยะประชิดร่วมกับทหารราบปกติ ทำให้ผลงานค่อนข้างออกมาเลยทีเดียวครับ อย่างตอนการรบที่ LeMan ฝรั่งเศสเอากองปืน Gatling ไปตั้งเฝ้าระวังจุดทางข้ามแม่น้ำ Huisne แถวๆ Anvours แล้วขุดสนามเพลาะเป็นฐานยิงปืนซ่อนพรางปืนอย่างดีเปิดฉากยิงเฉพาะเวลามีกองทหารปรัสเซียรวมกำลังข้ามแม่น้ำละลายกองทัพปรัสเซียไปไม่น้อยครับ
มีประเทศไหนบ้างเอาไปใช้?
ถ้าไม่นับการซื้อใช้เป็นการส่วนตัวโดย Benjamin Butler ในช่วงสงครามกลางเมืองสหรัฐฯที่ซื้อไปใช้ 12 กระบอกกับกระสุนอีก 12,000 นัด ด้วยงบส่วนตัว ในราคาทั้งสิ้น 12,000$ แต่กรมสรรพาวุธสหรัฐฯในตอนนั้นยังไม่ยอมรับ Gatling เข้าประจำการอย่างเป็นทางการละก็
สหรัฐฯก็เป็นผู้ใช้รายแรกโดยสั่งซื้อเข้าประจำการอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 สิงหาคม ปี 1866 ใน 2 แบบ คือ ปืน Gatling ขนาดลำกล้อง 1 นิ้ว 50 กระบอก และ .50 นิ้ว 50 กระบอก (แบบลำกล้อง 1 นิ้ว ยิงได้ทั้งกระสุนลูกตันและกระสุนลูกปราย Buck and Ball) และถ้านับแค่ช่วงก่อนสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ก็คงจะมีอีกแค่ 2 ประเทศคือ รัสเซียและตุรกีครับที่สั่งเข้าประจำการจริงๆจังๆหลังร้อยกระบอกเหมือนสหรัฐฯก่อนหน้า
*ขอเสริมอธิบายตรงส่วนที่ยังมีความเข้าใจผิดให้ครับ Gatling เป็นที่รู้จักกันในระหว่างสงครามกลางเมืองเพราะการโฆษณาของตัว Gatling เองและก็พวกสื่อหนังสือพิมพ์กับวารสารที่สนใจในความล้ำยุคของปืน Gatling ครับ ที่พยายามอธิบายสรรพคุณ คุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมของตัวปืนตลอด
เนื่องจากทางฝ่ายเหนือโดยเฉพาะพวกประชาชนพลเรือนต่างเชื่อและค่อนข้างภูมิใจว่าตนเองมีความได้เปรียบทางอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมึบุคลากรอย่างนักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์หรือนักอุตสาหกรรมเก่งๆที่ล้วนแล้วแต่อยู่ในรัฐทางเหนือทั้งสิ้นจะช่วยออกแบบผลิตเข็นอาวุธเทคโนโลยีที่เหนือกว่าฝ่ายใต้ออกมาบดขยี้ทำลายกองทัพฝ่ายใต้ได้อย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายความหวังที่จะชนะสงครามอย่างรวดเร็วในตอนต้นสงครามต้องพังทลาย เนื่องจากฝ่ายเหนือดันขาดนายทหารเก่งๆมาบัญชาการรบแม้ว่าจะมีกองทัพใหญ่กว่าอาวุธดีกว่าการส่งกำลังบำรุงดี
2.ฝรั่งเศสในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียตกม้าตายเพราะเอาไปใช้ผิดวิธี?
ตอบ อันที่จริงแล้วฝรั่งเศสก็ไม่ได้เอาไปใช้ผิดวิธีหรอกครับ เพราะชาติอื่นๆในตอนนั้นก็มีวิธีการใช้แบบเดียวกันทั้งสิ้นโดยเอาไปเป็นกองปืนใหญ่ยิงสนับสนุนระยะไกลทั้งงั้น เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครชาติใดประเทศไหนทราบวิธีการใช้หรือหลักนิยมที่ชัดเจนว่าใครจะเอาอาวุธชนิดใหม่นี้ไปใช้งานยังไงกันแน่ แม้แต่สหรัฐฯเองที่เป็นผู้ใช้งาน Gatling รายแรกประจำการก่อนชาวบ้านเป็นรายแรกก็ยังเอาไปใช้ประจำการอยู่ในกองทหารปืนใหญ่ยิงสนับสนุนเลยครับ(อาจจะมีหรูหน่อยอย่างเช่น เอามาเป็นปืนป้องกันป้อมปราการป้องกันตามจุดก็เท่านั้น) ไม่มีการเอาไปประจำในหน่วยทหารราบปกติเคลื่อนที่ด้วยทหารราบแนวหน้าติดตามทหารราบเข้าช่วยยิงสนับสนุนระยะประชิดตามแบบที่เห็นในปัจจุบัน หรือก็คือ กองทัพในยุคนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้มากครับก็เลยยังติดสินไม่ได้ว่าเป็นอะไรกันแน่
ซึ่งก็ต้องโทษเรื่องคุณลักษณะพื้นฐานของตัวอาวุธ Volley gun ในลักษณะแบบนี้ด้วยครับที่ทำให้โดนเอาไปบรรจุอยู่ในหน่วยทหารปืนใหญ่
พิจารณาแล้วก็อยู่ในระหว่างกึ่งกลางชั้นปืนใหญ่ปกติยิงกระสุนลูกเหล็กตันกับปืนใหญ่ปกติที่ยิงกระสุนลูกปราย แต่ตัวปืนยิงกระสุนขนาดเล็กใกล้เคียงกับลูกปรายแต่เป็นกระสุนตามแบบของปืนทหารราบปกติด้วยความแม่นยำที่สูงและหวังผลได้ไกลกว่าปืนใหญ่ธรรมดาที่ยิงกระสุนลูกปรายแถมอัตราการยิงยังสูงกว่ามาก แต่ทว่าทั้งขนาดและน้ำหนักของตัวปืนนั้นก็ยังหนักพอๆกับปืนใหญ่ธรรมดาอย่าง 6 Pounder เลยลากไปไหนมาไหนก็ลำบากจะให้ทหารราบปกติใช้งานลากติดตามไปด้วยก็ลำบากขึ้นไปอีก ดังนั้นไม่แปลกใจเลยที่จะถูกเอาไปบรรจุในหน่วยทหารปืนใหญ่อยู่ครับ
ส่วนผลงานของ Mitrailleuse ก็ไม่ได้แย่มากตามที่คิดครับ โดยเฉพาะในบ้างสถานการณ์อย่างการรบที่ Mars-la-tour ที่เมื่อเอามาเป็นปืนป้องกันแบบจุด point-defense แล้วก็ช่วยละลายกรมทหารราบที่ 38 ของปรัสเซียพร้อมกับทหารม้าทีบุกเข้าชาร์จตรงๆหวังทำลายกองปืน Mitrailleuse ในการรบไปเกือบครึ่งเลยครับ ซึ่งก็ค่อนข้างตรงกับผลการทดสอบของอังกฤษเองที่ Shoeburyness ในเรื่องความแม่นยำอำนาจการยิงที่ระยะตั้งแต่ 300-1000 หลา ที่น่าประทับใจในระดับที่แข่งขันกันกับ Gatling ได้สูสีเลยทีเดียว
แต่เรื่องน่าตกม้าตายจริงๆของฝรั่งเศสในการเอา Mitrailleuse ไปใช้งานเห็นคงจะเป็นเรื่องการเอาไป Counter-battery ที่พี่แกเล่นเอาไปยิงดวลกันกับปืน Kruppe ของปรัสเซียเเหละครับ ซึ่งแน่นอนว่าแพ้ราบให้กับทาง Kruppe เรื่องระยะหวังผลตั้งแต่ต้นอยู่แล้วแบบไม่ต้องเอาเรื่องกระสุนระเบิดชนวนกระทบแตกมาคิดเลย
สุดท้ายเรื่อง Gatling มีฐานหมุนแล้วได้เปรียบมุมยิงไม่แคบเหมือน Mitrailleuse เลยมีประสิทธิภาพมากกว่า
อันนี้ไม่จริงเท่าไหร่ครับ เพราะทั้ง Gatling และ Mitrailleuse ในช่วงระหว่างสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ต่างก็มีฐานแคร่รถแบบปืนใหญ่ทั้งสิ้น เพราะถูกพิจารณาให้ประจำการใช้งานแบบหน่วยทหารปืนใหญ่ตั้งแต่ต้นทั้งคู่เลยครับ ฉะนั้นเลยมีแค่เกลียวปรับทางสูงมุมก้ม-มุมเงยระยะยิงเท่านั้นครับ เวลาจะปรับการยิงทางขางก็จะใช้วิธีการหมุนทั้งแค่รถเลยครับ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ทำให้มุมยิงนั้นแคบมากๆแล้วอาจจะหันหมุนยิงตอบสนองเวลาเป้าหมายเคลื่อนที่มาจากด้านข้างไม่ทัน แต่อันที่จริงแล้วก็ได้ผลในระดับหนึ่งเลยครับ จากการที่ว่าเวลายิงปืนกลุ่มกระสุนแต่ละนัดแต่ละลำกล้องมันกระจายตัวกันออกไปเมื่อระยะไกลขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้เรียกว่า Beaten zone ครับ ที่ระยะประมาณ 1,000 หลา กลุ่มกระสุนที่ยิงออกไปแม้ว่าจะเล็งไปที่จุดเดียวกันเสมอมันก็จะกระจายตัวออกปกคลุมพื้นที่ประมาณ 60-70 ตารางฟุตเลยครับ
บวกกับการที่มันถูกบรรจุใช้งานแบบปืนใหญ่ยิงสนับสนุนจากระยะไกลๆอยู่เเล้วก็เลยถือว่ายัง OK อยู่ครับที่จะใช้งานแบบนี้ กว่าจะเริ่มมีการปรับปรุงใส่ตัวปรับการยิงทางขางไปช่วงปี 1872-1873 เลยครับที่ Gatling จะแก้ไขใหม่เพิ่มตัวปรับทางขางซ้าย-ขวาส่ายปืนกราดยิงแบบอัตโนมัติและตั้งตายแบบผู้ใช้หมุนซ้ายขวาเอาเองเชื่อมกับแกนหมุนของคันหมุน แต่ก็หมุนแบบช้าๆซ้ายขวาประมาณ 12 องศาเองครับต่างกันกับปัจจุบันโดนสิ้นเชิงเลย หรือก็คือยังเน้นการใช้แบบปืนใหญ่ยิงที่ระยะไกลๆอยู่ไม่จำเป็นต้องหมุนตัวปืนมาก จนกระทั้งออกรุ่น Camel gun ขาตั้ง 3 ขาออกมาถึงจะใส่ฐานหมุนอิสระเข้าไปหมุนตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
1.พวกปืนกล Gatling สามารถหยุดทหารม้า ทหารราบได้มากน้อยแค่ไหน? มีประเทศไหนบ้างเอาไปใช้?
ตอบ จริงๆอันนี้ก็สามารถศึกษาได้ตั้งแต่ช่วงปลายสงครามกลางเมืองอเมริกาครับ ที่ถูกเอาไปใช้งานหลักๆโดย Benjamin Butler แต่น่าเสียดายไม่มีบันทึกรายละเอียดมากนักว่าใช้ยังไงให้ผลความสำเร็จในการใช้ไว้ว่าได้ผลดีแค่ไหนเพียงแต่มีบันทึกการรบที่สังเกตุเห็นการใช้เล็กๆน้อยๆเท่านั้นมีตัวอย่างอย่างเช่น บันทึกของร้อยเอก Gustavus Dana นายทหารสื่อสารประจำ X Corps หน่วยเดียวกับ Benjamin Butler สังเกตุเห็นการใช้งานระหว่างช่วงที่หน่วยของ Butler โดนตีจนมุมที่ Bermuda Hundred
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าใช้ Gatling ขนาดลำกล้องเท่าไหร่แหละครับถ้าใช้ขนาด 1 นิ้วที่ยิงกระสุนลูกปราย Buck and Ball ผลงานที่ทำได้ก็ทำให้เป้าหมายเละเทะมากกว่า Gatling ปกติที่ก็ทำให้เป้าหมายเละเทะจากอัตราการยิงสูงๆอยู่แล้ว
แต่หลักฐานแน่นๆคงจะเป็นช่วงปลายสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย หลังพ่ายศึกที่ Sedan ฝรั่งเศสเสีย Mitrailleuse ไปเพียบเลยไปจัดหา Gatling กันมาเสริมทัพ แถมยังเรียนรู้บทเรียนเท่าทันเกมโดยคราวนี้เอามาใช้ถูกวิธีเป็นปืนป้องกันแบบจุด เช่น ป้องกันทางข้ามแม่น้ำตั้งรับยิงสนับสนุนระยะประชิดร่วมกับทหารราบปกติ ทำให้ผลงานค่อนข้างออกมาเลยทีเดียวครับ อย่างตอนการรบที่ LeMan ฝรั่งเศสเอากองปืน Gatling ไปตั้งเฝ้าระวังจุดทางข้ามแม่น้ำ Huisne แถวๆ Anvours แล้วขุดสนามเพลาะเป็นฐานยิงปืนซ่อนพรางปืนอย่างดีเปิดฉากยิงเฉพาะเวลามีกองทหารปรัสเซียรวมกำลังข้ามแม่น้ำละลายกองทัพปรัสเซียไปไม่น้อยครับ
มีประเทศไหนบ้างเอาไปใช้?
ถ้าไม่นับการซื้อใช้เป็นการส่วนตัวโดย Benjamin Butler ในช่วงสงครามกลางเมืองสหรัฐฯที่ซื้อไปใช้ 12 กระบอกกับกระสุนอีก 12,000 นัด ด้วยงบส่วนตัว ในราคาทั้งสิ้น 12,000$ แต่กรมสรรพาวุธสหรัฐฯในตอนนั้นยังไม่ยอมรับ Gatling เข้าประจำการอย่างเป็นทางการละก็
สหรัฐฯก็เป็นผู้ใช้รายแรกโดยสั่งซื้อเข้าประจำการอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 สิงหาคม ปี 1866 ใน 2 แบบ คือ ปืน Gatling ขนาดลำกล้อง 1 นิ้ว 50 กระบอก และ .50 นิ้ว 50 กระบอก (แบบลำกล้อง 1 นิ้ว ยิงได้ทั้งกระสุนลูกตันและกระสุนลูกปราย Buck and Ball) และถ้านับแค่ช่วงก่อนสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ก็คงจะมีอีกแค่ 2 ประเทศคือ รัสเซียและตุรกีครับที่สั่งเข้าประจำการจริงๆจังๆหลังร้อยกระบอกเหมือนสหรัฐฯก่อนหน้า
*ขอเสริมอธิบายตรงส่วนที่ยังมีความเข้าใจผิดให้ครับ Gatling เป็นที่รู้จักกันในระหว่างสงครามกลางเมืองเพราะการโฆษณาของตัว Gatling เองและก็พวกสื่อหนังสือพิมพ์กับวารสารที่สนใจในความล้ำยุคของปืน Gatling ครับ ที่พยายามอธิบายสรรพคุณ คุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมของตัวปืนตลอด
เนื่องจากทางฝ่ายเหนือโดยเฉพาะพวกประชาชนพลเรือนต่างเชื่อและค่อนข้างภูมิใจว่าตนเองมีความได้เปรียบทางอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมึบุคลากรอย่างนักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์หรือนักอุตสาหกรรมเก่งๆที่ล้วนแล้วแต่อยู่ในรัฐทางเหนือทั้งสิ้นจะช่วยออกแบบผลิตเข็นอาวุธเทคโนโลยีที่เหนือกว่าฝ่ายใต้ออกมาบดขยี้ทำลายกองทัพฝ่ายใต้ได้อย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายความหวังที่จะชนะสงครามอย่างรวดเร็วในตอนต้นสงครามต้องพังทลาย เนื่องจากฝ่ายเหนือดันขาดนายทหารเก่งๆมาบัญชาการรบแม้ว่าจะมีกองทัพใหญ่กว่าอาวุธดีกว่าการส่งกำลังบำรุงดี
2.ฝรั่งเศสในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียตกม้าตายเพราะเอาไปใช้ผิดวิธี?
ตอบ อันที่จริงแล้วฝรั่งเศสก็ไม่ได้เอาไปใช้ผิดวิธีหรอกครับ เพราะชาติอื่นๆในตอนนั้นก็มีวิธีการใช้แบบเดียวกันทั้งสิ้นโดยเอาไปเป็นกองปืนใหญ่ยิงสนับสนุนระยะไกลทั้งงั้น เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครชาติใดประเทศไหนทราบวิธีการใช้หรือหลักนิยมที่ชัดเจนว่าใครจะเอาอาวุธชนิดใหม่นี้ไปใช้งานยังไงกันแน่ แม้แต่สหรัฐฯเองที่เป็นผู้ใช้งาน Gatling รายแรกประจำการก่อนชาวบ้านเป็นรายแรกก็ยังเอาไปใช้ประจำการอยู่ในกองทหารปืนใหญ่ยิงสนับสนุนเลยครับ(อาจจะมีหรูหน่อยอย่างเช่น เอามาเป็นปืนป้องกันป้อมปราการป้องกันตามจุดก็เท่านั้น) ไม่มีการเอาไปประจำในหน่วยทหารราบปกติเคลื่อนที่ด้วยทหารราบแนวหน้าติดตามทหารราบเข้าช่วยยิงสนับสนุนระยะประชิดตามแบบที่เห็นในปัจจุบัน หรือก็คือ กองทัพในยุคนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้มากครับก็เลยยังติดสินไม่ได้ว่าเป็นอะไรกันแน่
ซึ่งก็ต้องโทษเรื่องคุณลักษณะพื้นฐานของตัวอาวุธ Volley gun ในลักษณะแบบนี้ด้วยครับที่ทำให้โดนเอาไปบรรจุอยู่ในหน่วยทหารปืนใหญ่
พิจารณาแล้วก็อยู่ในระหว่างกึ่งกลางชั้นปืนใหญ่ปกติยิงกระสุนลูกเหล็กตันกับปืนใหญ่ปกติที่ยิงกระสุนลูกปราย แต่ตัวปืนยิงกระสุนขนาดเล็กใกล้เคียงกับลูกปรายแต่เป็นกระสุนตามแบบของปืนทหารราบปกติด้วยความแม่นยำที่สูงและหวังผลได้ไกลกว่าปืนใหญ่ธรรมดาที่ยิงกระสุนลูกปรายแถมอัตราการยิงยังสูงกว่ามาก แต่ทว่าทั้งขนาดและน้ำหนักของตัวปืนนั้นก็ยังหนักพอๆกับปืนใหญ่ธรรมดาอย่าง 6 Pounder เลยลากไปไหนมาไหนก็ลำบากจะให้ทหารราบปกติใช้งานลากติดตามไปด้วยก็ลำบากขึ้นไปอีก ดังนั้นไม่แปลกใจเลยที่จะถูกเอาไปบรรจุในหน่วยทหารปืนใหญ่อยู่ครับ
ส่วนผลงานของ Mitrailleuse ก็ไม่ได้แย่มากตามที่คิดครับ โดยเฉพาะในบ้างสถานการณ์อย่างการรบที่ Mars-la-tour ที่เมื่อเอามาเป็นปืนป้องกันแบบจุด point-defense แล้วก็ช่วยละลายกรมทหารราบที่ 38 ของปรัสเซียพร้อมกับทหารม้าทีบุกเข้าชาร์จตรงๆหวังทำลายกองปืน Mitrailleuse ในการรบไปเกือบครึ่งเลยครับ ซึ่งก็ค่อนข้างตรงกับผลการทดสอบของอังกฤษเองที่ Shoeburyness ในเรื่องความแม่นยำอำนาจการยิงที่ระยะตั้งแต่ 300-1000 หลา ที่น่าประทับใจในระดับที่แข่งขันกันกับ Gatling ได้สูสีเลยทีเดียว
แต่เรื่องน่าตกม้าตายจริงๆของฝรั่งเศสในการเอา Mitrailleuse ไปใช้งานเห็นคงจะเป็นเรื่องการเอาไป Counter-battery ที่พี่แกเล่นเอาไปยิงดวลกันกับปืน Kruppe ของปรัสเซียเเหละครับ ซึ่งแน่นอนว่าแพ้ราบให้กับทาง Kruppe เรื่องระยะหวังผลตั้งแต่ต้นอยู่แล้วแบบไม่ต้องเอาเรื่องกระสุนระเบิดชนวนกระทบแตกมาคิดเลย
สุดท้ายเรื่อง Gatling มีฐานหมุนแล้วได้เปรียบมุมยิงไม่แคบเหมือน Mitrailleuse เลยมีประสิทธิภาพมากกว่า
อันนี้ไม่จริงเท่าไหร่ครับ เพราะทั้ง Gatling และ Mitrailleuse ในช่วงระหว่างสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ต่างก็มีฐานแคร่รถแบบปืนใหญ่ทั้งสิ้น เพราะถูกพิจารณาให้ประจำการใช้งานแบบหน่วยทหารปืนใหญ่ตั้งแต่ต้นทั้งคู่เลยครับ ฉะนั้นเลยมีแค่เกลียวปรับทางสูงมุมก้ม-มุมเงยระยะยิงเท่านั้นครับ เวลาจะปรับการยิงทางขางก็จะใช้วิธีการหมุนทั้งแค่รถเลยครับ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ทำให้มุมยิงนั้นแคบมากๆแล้วอาจจะหันหมุนยิงตอบสนองเวลาเป้าหมายเคลื่อนที่มาจากด้านข้างไม่ทัน แต่อันที่จริงแล้วก็ได้ผลในระดับหนึ่งเลยครับ จากการที่ว่าเวลายิงปืนกลุ่มกระสุนแต่ละนัดแต่ละลำกล้องมันกระจายตัวกันออกไปเมื่อระยะไกลขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้เรียกว่า Beaten zone ครับ ที่ระยะประมาณ 1,000 หลา กลุ่มกระสุนที่ยิงออกไปแม้ว่าจะเล็งไปที่จุดเดียวกันเสมอมันก็จะกระจายตัวออกปกคลุมพื้นที่ประมาณ 60-70 ตารางฟุตเลยครับ
บวกกับการที่มันถูกบรรจุใช้งานแบบปืนใหญ่ยิงสนับสนุนจากระยะไกลๆอยู่เเล้วก็เลยถือว่ายัง OK อยู่ครับที่จะใช้งานแบบนี้ กว่าจะเริ่มมีการปรับปรุงใส่ตัวปรับการยิงทางขางไปช่วงปี 1872-1873 เลยครับที่ Gatling จะแก้ไขใหม่เพิ่มตัวปรับทางขางซ้าย-ขวาส่ายปืนกราดยิงแบบอัตโนมัติและตั้งตายแบบผู้ใช้หมุนซ้ายขวาเอาเองเชื่อมกับแกนหมุนของคันหมุน แต่ก็หมุนแบบช้าๆซ้ายขวาประมาณ 12 องศาเองครับต่างกันกับปัจจุบันโดนสิ้นเชิงเลย หรือก็คือยังเน้นการใช้แบบปืนใหญ่ยิงที่ระยะไกลๆอยู่ไม่จำเป็นต้องหมุนตัวปืนมาก จนกระทั้งออกรุ่น Camel gun ขาตั้ง 3 ขาออกมาถึงจะใส่ฐานหมุนอิสระเข้าไปหมุนตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
แสดงความคิดเห็น
ปืนแก็ตลิงมีประสิทธิภาพหยุดทหารม้า ทหารราบได้ไหมครับ?
ปืนแก็ตลิง (อังกฤษ: Gatling gun) เป็นอาวุธยิงเร็วในยุคแรกๆ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีชนิดหนึ่ง เป็นผู้บุกเบิกปืนกลสู่รูปแบบปัจจุบัน มันเป็นที่รู้จักเพราะการใช้งานโดยกองกำลังฝ่ายสหพันธรัฐระหว่างสงครามกลางเมืองอเมริกันในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1860 ซึ่งเป็นการใช้งานครั้งแรกของปืนชนิดนี้ในสนามรบ ภายหลังมันเป็นที่ความนิยมมากในการใช้โจมตีในยุทธการหุบเขาแซนจัวน์ระหว่างสงครามสเปน-อเมริกา
การทำงานของปืนแก็ตลิงมีจุดเด่นอยู่ที่การออกแบบลำกล้องปืนให้มีหลายลำกล้อง รวมกลุ่มแบบวงกลม ซึ่งจะช่วยในการระบายความร้อนและลำดับการยิงที่เกิดขึ้นพร้อมการบรรจุกระสุน แต่ละลำกล้องจะยิงออกไปหนึ่งนัดเมื่อถึงจุดรอบ จากนั้นจะสลัดปลอกกระสุนเปล่า บรรจุกระสุนใหม่ และระบายความร้อน โครงแบบนี้ช่วยให้ปืนมีอัตราการยิงที่เร็วโดยที่ลำกล้องไม่ร้อนเกินไป ที่มา : [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วิดีโอ อธิบายการทำงาน ซึ่งใช่หลักการเดียวกันกับแก็ตลิงนั้นแหละครับ
แล้วปืนกล หรือปืนรุ่นที่ใช้มือ ก่อนที่จะมีปืนกลอย่าง ปืนกลแม็กซิม (Maxim gun) เกิดขึ้น เช่น
เป็นปืนกลที่ใช้มือเหมือนแก็ตลิ่งถูกใช้ในช่วง สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ใช้โดยฝรั่งเศส ซึ่งตกม้าตาย เพราะฝรั่งเศสเอาไปใช้ผิดวิธีผิดวิธี จากการตอบกระทู้จากกระทู้ที่ผมตั้งก่อนหน้านี่คือ ขอรายละเอียด และขอถามเกี่ยวกับสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย 1870 –1871 [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ คือ ใช้ยิงในระยะไกล(คือนำปืนมาตั้งกับหน่วยปืนใหญ่ที่แยกออกมาต่างหาก) ทำให้ไม่ค่อยได้ผล มีการบันทึกของทหารปรัสเซียว่าทหารที่โดน mitralleuse ยิงตายนั้นมักจะโดนยิงใส่สี่ห้านัดเลย แต่คนที่อยู่ใกล้ๆ ไม่โดนกระสุน เพราะ ใช้บนฐานที่เป็นปืนใหญ่ ไม่ใช่ฐานหมุนแบบปืนแก็ตลิงทำให้กราดยิงไม่ได้ ทำได้เพียงยิงแบบแคบๆ ซึ่งไร้ประสิทธิภาพอย่างมาก