ปืนแก็ตลิงมีประสิทธิภาพหยุดทหารม้า ทหารราบได้ไหมครับ?

ในสงครามโลกครั้งที่ 1 2 บทบาททหารม้าถูกลดลงอย่างมาก เมื่อเจอกับอาวุธชนิดใหม่เช่น ปืนกลแม็กซิม MG42 เป็นต้น ที่สามารถสงบการชาร์ตของทหารม้าได้ รวมถึงทหาราบ แม้ว่าในสงครามโลกครั้งที่ 1 2 ยังใช้ทหารม้าอยู่ก็ตาม แต่ก็ถูกลดบทบาทอย่างมาก แต่ช่วงก่อนหน้านั้นล่ะ? พวกปืนกลแก็ตลิง หรืออาวุธที่สามารถยิงกราดได้ แต่ไม่อัตโนมัติ ใช้มือ สามารถหยุดพวกทหารม้า หรือทหาราบได้มากน้อยแค่ไหน มีประเทศไหนนำไปใช้บ้าง เท่าที่รู้ สมัย ร.5 ได้มีการนำปืนแก็ตลิงติดหลังช้าง ในสงครามปราบฮ่อ

ปืนแก็ตลิง (อังกฤษ: Gatling gun)



ปืนแก็ตลิง (อังกฤษ: Gatling gun) เป็นอาวุธยิงเร็วในยุคแรกๆ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีชนิดหนึ่ง เป็นผู้บุกเบิกปืนกลสู่รูปแบบปัจจุบัน มันเป็นที่รู้จักเพราะการใช้งานโดยกองกำลังฝ่ายสหพันธรัฐระหว่างสงครามกลางเมืองอเมริกันในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1860 ซึ่งเป็นการใช้งานครั้งแรกของปืนชนิดนี้ในสนามรบ ภายหลังมันเป็นที่ความนิยมมากในการใช้โจมตีในยุทธการหุบเขาแซนจัวน์ระหว่างสงครามสเปน-อเมริกา
การทำงานของปืนแก็ตลิงมีจุดเด่นอยู่ที่การออกแบบลำกล้องปืนให้มีหลายลำกล้อง รวมกลุ่มแบบวงกลม ซึ่งจะช่วยในการระบายความร้อนและลำดับการยิงที่เกิดขึ้นพร้อมการบรรจุกระสุน แต่ละลำกล้องจะยิงออกไปหนึ่งนัดเมื่อถึงจุดรอบ จากนั้นจะสลัดปลอกกระสุนเปล่า บรรจุกระสุนใหม่ และระบายความร้อน โครงแบบนี้ช่วยให้ปืนมีอัตราการยิงที่เร็วโดยที่ลำกล้องไม่ร้อนเกินไป ที่มา : [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


จาก หนังเรื่อง The Last Samurai มหาบุรุษซามูไร ซึ่งเอาตามจริงทหารพระเอกจำนวนน้อยมากแล้ว แถมก่อนเจอปืนกล ยังเจอแถวทหารยิงก่อนหน้านั้นด้วย พร้อมปืนใหญ่(วิถีโถ้ง)

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


หนังเรื่อง The Lone Ranger หน้ากากพิฆาตอธรรม

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ปืนกลแก็ตลิงในหนังเรื่องนี้จะเป็นแบบขาตั้ง
วิดีโอ อธิบายการทำงาน ซึ่งใช่หลักการเดียวกันกับแก็ตลิงนั้นแหละครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ



แล้วปืนกล หรือปืนรุ่นที่ใช้มือ ก่อนที่จะมีปืนกลอย่าง ปืนกลแม็กซิม (Maxim gun) เกิดขึ้น เช่น

Mitrailleuse  




เป็นปืนกลที่ใช้มือเหมือนแก็ตลิ่งถูกใช้ในช่วง สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ใช้โดยฝรั่งเศส ซึ่งตกม้าตาย เพราะฝรั่งเศสเอาไปใช้ผิดวิธีผิดวิธี จากการตอบกระทู้จากกระทู้ที่ผมตั้งก่อนหน้านี่คือ ขอรายละเอียด และขอถามเกี่ยวกับสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย 1870 –1871 [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ คือ ใช้ยิงในระยะไกล(คือนำปืนมาตั้งกับหน่วยปืนใหญ่ที่แยกออกมาต่างหาก) ทำให้ไม่ค่อยได้ผล มีการบันทึกของทหารปรัสเซียว่าทหารที่โดน mitralleuse ยิงตายนั้นมักจะโดนยิงใส่สี่ห้านัดเลย แต่คนที่อยู่ใกล้ๆ ไม่โดนกระสุน เพราะ ใช้บนฐานที่เป็นปืนใหญ่ ไม่ใช่ฐานหมุนแบบปืนแก็ตลิงทำให้กราดยิงไม่ได้ ทำได้เพียงยิงแบบแคบๆ ซึ่งไร้ประสิทธิภาพอย่างมาก

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


Gardner gun




คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


Nordenfeldt




คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7
ขอแยกตอบเป็นทีละประเด็นนะครับ
1.พวกปืนกล Gatling สามารถหยุดทหารม้า ทหารราบได้มากน้อยแค่ไหน? มีประเทศไหนบ้างเอาไปใช้?
ตอบ จริงๆอันนี้ก็สามารถศึกษาได้ตั้งแต่ช่วงปลายสงครามกลางเมืองอเมริกาครับ ที่ถูกเอาไปใช้งานหลักๆโดย Benjamin Butler แต่น่าเสียดายไม่มีบันทึกรายละเอียดมากนักว่าใช้ยังไงให้ผลความสำเร็จในการใช้ไว้ว่าได้ผลดีแค่ไหนเพียงแต่มีบันทึกการรบที่สังเกตุเห็นการใช้เล็กๆน้อยๆเท่านั้นมีตัวอย่างอย่างเช่น บันทึกของร้อยเอก Gustavus Dana นายทหารสื่อสารประจำ X Corps หน่วยเดียวกับ Benjamin Butler สังเกตุเห็นการใช้งานระหว่างช่วงที่หน่วยของ Butler โดนตีจนมุมที่ Bermuda Hundred
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าใช้ Gatling ขนาดลำกล้องเท่าไหร่แหละครับถ้าใช้ขนาด 1 นิ้วที่ยิงกระสุนลูกปราย Buck and Ball ผลงานที่ทำได้ก็ทำให้เป้าหมายเละเทะมากกว่า Gatling ปกติที่ก็ทำให้เป้าหมายเละเทะจากอัตราการยิงสูงๆอยู่แล้ว
    แต่หลักฐานแน่นๆคงจะเป็นช่วงปลายสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย หลังพ่ายศึกที่ Sedan ฝรั่งเศสเสีย Mitrailleuse ไปเพียบเลยไปจัดหา Gatling กันมาเสริมทัพ แถมยังเรียนรู้บทเรียนเท่าทันเกมโดยคราวนี้เอามาใช้ถูกวิธีเป็นปืนป้องกันแบบจุด เช่น ป้องกันทางข้ามแม่น้ำตั้งรับยิงสนับสนุนระยะประชิดร่วมกับทหารราบปกติ ทำให้ผลงานค่อนข้างออกมาเลยทีเดียวครับ อย่างตอนการรบที่ LeMan ฝรั่งเศสเอากองปืน Gatling ไปตั้งเฝ้าระวังจุดทางข้ามแม่น้ำ Huisne แถวๆ Anvours แล้วขุดสนามเพลาะเป็นฐานยิงปืนซ่อนพรางปืนอย่างดีเปิดฉากยิงเฉพาะเวลามีกองทหารปรัสเซียรวมกำลังข้ามแม่น้ำละลายกองทัพปรัสเซียไปไม่น้อยครับ

     มีประเทศไหนบ้างเอาไปใช้?
ถ้าไม่นับการซื้อใช้เป็นการส่วนตัวโดย Benjamin Butler ในช่วงสงครามกลางเมืองสหรัฐฯที่ซื้อไปใช้ 12 กระบอกกับกระสุนอีก 12,000 นัด ด้วยงบส่วนตัว ในราคาทั้งสิ้น 12,000$ แต่กรมสรรพาวุธสหรัฐฯในตอนนั้นยังไม่ยอมรับ Gatling เข้าประจำการอย่างเป็นทางการละก็

   สหรัฐฯก็เป็นผู้ใช้รายแรกโดยสั่งซื้อเข้าประจำการอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 สิงหาคม ปี 1866 ใน 2 แบบ คือ ปืน Gatling ขนาดลำกล้อง 1 นิ้ว 50 กระบอก และ .50 นิ้ว 50 กระบอก (แบบลำกล้อง 1 นิ้ว ยิงได้ทั้งกระสุนลูกตันและกระสุนลูกปราย Buck and Ball) และถ้านับแค่ช่วงก่อนสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ก็คงจะมีอีกแค่ 2 ประเทศคือ รัสเซียและตุรกีครับที่สั่งเข้าประจำการจริงๆจังๆหลังร้อยกระบอกเหมือนสหรัฐฯก่อนหน้า

*ขอเสริมอธิบายตรงส่วนที่ยังมีความเข้าใจผิดให้ครับ Gatling เป็นที่รู้จักกันในระหว่างสงครามกลางเมืองเพราะการโฆษณาของตัว Gatling เองและก็พวกสื่อหนังสือพิมพ์กับวารสารที่สนใจในความล้ำยุคของปืน Gatling ครับ ที่พยายามอธิบายสรรพคุณ คุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมของตัวปืนตลอด
     เนื่องจากทางฝ่ายเหนือโดยเฉพาะพวกประชาชนพลเรือนต่างเชื่อและค่อนข้างภูมิใจว่าตนเองมีความได้เปรียบทางอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมึบุคลากรอย่างนักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์หรือนักอุตสาหกรรมเก่งๆที่ล้วนแล้วแต่อยู่ในรัฐทางเหนือทั้งสิ้นจะช่วยออกแบบผลิตเข็นอาวุธเทคโนโลยีที่เหนือกว่าฝ่ายใต้ออกมาบดขยี้ทำลายกองทัพฝ่ายใต้ได้อย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายความหวังที่จะชนะสงครามอย่างรวดเร็วในตอนต้นสงครามต้องพังทลาย เนื่องจากฝ่ายเหนือดันขาดนายทหารเก่งๆมาบัญชาการรบแม้ว่าจะมีกองทัพใหญ่กว่าอาวุธดีกว่าการส่งกำลังบำรุงดี


2.ฝรั่งเศสในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียตกม้าตายเพราะเอาไปใช้ผิดวิธี?
ตอบ อันที่จริงแล้วฝรั่งเศสก็ไม่ได้เอาไปใช้ผิดวิธีหรอกครับ เพราะชาติอื่นๆในตอนนั้นก็มีวิธีการใช้แบบเดียวกันทั้งสิ้นโดยเอาไปเป็นกองปืนใหญ่ยิงสนับสนุนระยะไกลทั้งงั้น เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครชาติใดประเทศไหนทราบวิธีการใช้หรือหลักนิยมที่ชัดเจนว่าใครจะเอาอาวุธชนิดใหม่นี้ไปใช้งานยังไงกันแน่ แม้แต่สหรัฐฯเองที่เป็นผู้ใช้งาน Gatling รายแรกประจำการก่อนชาวบ้านเป็นรายแรกก็ยังเอาไปใช้ประจำการอยู่ในกองทหารปืนใหญ่ยิงสนับสนุนเลยครับ(อาจจะมีหรูหน่อยอย่างเช่น เอามาเป็นปืนป้องกันป้อมปราการป้องกันตามจุดก็เท่านั้น) ไม่มีการเอาไปประจำในหน่วยทหารราบปกติเคลื่อนที่ด้วยทหารราบแนวหน้าติดตามทหารราบเข้าช่วยยิงสนับสนุนระยะประชิดตามแบบที่เห็นในปัจจุบัน หรือก็คือ กองทัพในยุคนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้มากครับก็เลยยังติดสินไม่ได้ว่าเป็นอะไรกันแน่

     ซึ่งก็ต้องโทษเรื่องคุณลักษณะพื้นฐานของตัวอาวุธ Volley gun ในลักษณะแบบนี้ด้วยครับที่ทำให้โดนเอาไปบรรจุอยู่ในหน่วยทหารปืนใหญ่
พิจารณาแล้วก็อยู่ในระหว่างกึ่งกลางชั้นปืนใหญ่ปกติยิงกระสุนลูกเหล็กตันกับปืนใหญ่ปกติที่ยิงกระสุนลูกปราย แต่ตัวปืนยิงกระสุนขนาดเล็กใกล้เคียงกับลูกปรายแต่เป็นกระสุนตามแบบของปืนทหารราบปกติด้วยความแม่นยำที่สูงและหวังผลได้ไกลกว่าปืนใหญ่ธรรมดาที่ยิงกระสุนลูกปรายแถมอัตราการยิงยังสูงกว่ามาก แต่ทว่าทั้งขนาดและน้ำหนักของตัวปืนนั้นก็ยังหนักพอๆกับปืนใหญ่ธรรมดาอย่าง 6 Pounder เลยลากไปไหนมาไหนก็ลำบากจะให้ทหารราบปกติใช้งานลากติดตามไปด้วยก็ลำบากขึ้นไปอีก ดังนั้นไม่แปลกใจเลยที่จะถูกเอาไปบรรจุในหน่วยทหารปืนใหญ่อยู่ครับ

     ส่วนผลงานของ Mitrailleuse ก็ไม่ได้แย่มากตามที่คิดครับ โดยเฉพาะในบ้างสถานการณ์อย่างการรบที่ Mars-la-tour ที่เมื่อเอามาเป็นปืนป้องกันแบบจุด point-defense แล้วก็ช่วยละลายกรมทหารราบที่ 38 ของปรัสเซียพร้อมกับทหารม้าทีบุกเข้าชาร์จตรงๆหวังทำลายกองปืน Mitrailleuse ในการรบไปเกือบครึ่งเลยครับ ซึ่งก็ค่อนข้างตรงกับผลการทดสอบของอังกฤษเองที่ Shoeburyness ในเรื่องความแม่นยำอำนาจการยิงที่ระยะตั้งแต่ 300-1000 หลา ที่น่าประทับใจในระดับที่แข่งขันกันกับ Gatling ได้สูสีเลยทีเดียว

     แต่เรื่องน่าตกม้าตายจริงๆของฝรั่งเศสในการเอา Mitrailleuse ไปใช้งานเห็นคงจะเป็นเรื่องการเอาไป Counter-battery ที่พี่แกเล่นเอาไปยิงดวลกันกับปืน Kruppe ของปรัสเซียเเหละครับ ซึ่งแน่นอนว่าแพ้ราบให้กับทาง Kruppe เรื่องระยะหวังผลตั้งแต่ต้นอยู่แล้วแบบไม่ต้องเอาเรื่องกระสุนระเบิดชนวนกระทบแตกมาคิดเลย

     สุดท้ายเรื่อง Gatling มีฐานหมุนแล้วได้เปรียบมุมยิงไม่แคบเหมือน Mitrailleuse เลยมีประสิทธิภาพมากกว่า
อันนี้ไม่จริงเท่าไหร่ครับ เพราะทั้ง Gatling และ Mitrailleuse ในช่วงระหว่างสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ต่างก็มีฐานแคร่รถแบบปืนใหญ่ทั้งสิ้น เพราะถูกพิจารณาให้ประจำการใช้งานแบบหน่วยทหารปืนใหญ่ตั้งแต่ต้นทั้งคู่เลยครับ ฉะนั้นเลยมีแค่เกลียวปรับทางสูงมุมก้ม-มุมเงยระยะยิงเท่านั้นครับ เวลาจะปรับการยิงทางขางก็จะใช้วิธีการหมุนทั้งแค่รถเลยครับ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ทำให้มุมยิงนั้นแคบมากๆแล้วอาจจะหันหมุนยิงตอบสนองเวลาเป้าหมายเคลื่อนที่มาจากด้านข้างไม่ทัน แต่อันที่จริงแล้วก็ได้ผลในระดับหนึ่งเลยครับ จากการที่ว่าเวลายิงปืนกลุ่มกระสุนแต่ละนัดแต่ละลำกล้องมันกระจายตัวกันออกไปเมื่อระยะไกลขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้เรียกว่า Beaten zone ครับ ที่ระยะประมาณ 1,000 หลา กลุ่มกระสุนที่ยิงออกไปแม้ว่าจะเล็งไปที่จุดเดียวกันเสมอมันก็จะกระจายตัวออกปกคลุมพื้นที่ประมาณ 60-70 ตารางฟุตเลยครับ
     บวกกับการที่มันถูกบรรจุใช้งานแบบปืนใหญ่ยิงสนับสนุนจากระยะไกลๆอยู่เเล้วก็เลยถือว่ายัง OK อยู่ครับที่จะใช้งานแบบนี้ กว่าจะเริ่มมีการปรับปรุงใส่ตัวปรับการยิงทางขางไปช่วงปี 1872-1873 เลยครับที่ Gatling จะแก้ไขใหม่เพิ่มตัวปรับทางขางซ้าย-ขวาส่ายปืนกราดยิงแบบอัตโนมัติและตั้งตายแบบผู้ใช้หมุนซ้ายขวาเอาเองเชื่อมกับแกนหมุนของคันหมุน แต่ก็หมุนแบบช้าๆซ้ายขวาประมาณ 12 องศาเองครับต่างกันกับปัจจุบันโดนสิ้นเชิงเลย หรือก็คือยังเน้นการใช้แบบปืนใหญ่ยิงที่ระยะไกลๆอยู่ไม่จำเป็นต้องหมุนตัวปืนมาก จนกระทั้งออกรุ่น Camel gun ขาตั้ง 3 ขาออกมาถึงจะใส่ฐานหมุนอิสระเข้าไปหมุนตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่