บอกก่อนครับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงส่วนนึงและแต่งขึ้นมาส่วนนึงเพื่ออรรถรสและความบันเทิงเท่านั้น...
....ผมเป็นเด็กกรุงเทพฯที่เกิดและโตในกรุงเทพ พ่อแม่เป็นคนลพบุรี ซึ่งห่างจากบ้านในกรุงเทพฯเพียง ชม.กับอีก40นาที แน่นอน ครอบครัวผมจะกลับลพบุรีทุกอาทิตย์ ส่วนตัวเลยมีความเป็นเด็กบ้านนอกคิดตัวมาด้วย....เข้าเรื่องเลยดีกว่า ผมจำความได้ในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งผมและครอบครัวอาศัยบ้านป้มอยู่ เป็นหมู่บ้านเล็กในกรุงเทพย่าน สุขาฯ3-มีนบุรี ในหมู่บ้านจะแบ่งเป็นซอยๆ ส่วนซอยที่ผมอยู่จะมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันหลายคน ซึ่งจำความได้ก็เล่นกันมาแต่เด็ก จนกระทั่งผมโตขึ้น พ่อแม่เลยพากันย้ายออกมา อยู่ห่างจากสนามบินไม่ถึง 20 กิโลฯ แต่ก็ยังเทียวไปเทียวมาอยู่เรื่อยๆ จนหลาย10ปีผ่านไป เพื่อนคนนึงที่อยู่ในซอยนั้น กำลังจะแต่งงาน พ่อเจ้าบ่าวเป็นคนสุโขทัย ส่วนเจ้าสาวอยู่ในโคราช ครอบครัวผมแห่กันไปทั้งหมด เพราะไม่ใช่แค่ผมสนิทกับเจ้าบ่าว พ่อผมกับพ่อเจ้าบ่าวก็สนิทกันชนิดมองตาก็รู้ใจไม่ต่างจากลูก เจ้าบ่าวมีพี่สาว 1 คนซึ่งยังไม่แต่งงาน แต่ฝ่ายชายก็เข้าออกบ้านได้อย่างกับแต่งแล้ว เพราะพ่อแม่รับรู้ .... ออกทะเลไกลไปละ 5555 กลับมาเข้าเรื่อง ทางพ่อเจ้าบ่าวอาสาเหมารถตู้ให้ 1 คัน เพื่อพาคนในซอยไปร่วมงาน ครอบครัวผมเป็น1ในนั้น เรานั่งรถตู้กันจนมาถึงบ้านเจ้าบ่าว เป็นคืนก่อนวันงาน ซึ่งทุกอย่างปกติดี ผู้ใหญ่ก็ดื่มสังสรรค์กันไป เราก็ดื่มแต่น้อย ก่อนกับเวลาประมาณ 1 ทุ่ม ทางแม่เจ้าสาว อาสาหาที่พักให้ เป็น โรงแรมราคาถูกจัดดดดด!!! ห่างจากบ้านงานไม่มาก ใกล้อนุสาวรีย์ย่าโม โรงแรมเป็นลักษณกึ่งอพาร์ตเมนต์ ชั้นล่างสุดเป็นห้องกระจกสองห้อง เดาว่าให้เช่าเป็นร้านขายของ เพราะห้องนึงเป็นร้านขายของ อีกห้องนึงว่างแต่ปิดม่านทึบทั้งหมด เมื่อมาถึง บอก คนดูแลว่าจะพักประมาณ 13 คน คนดูแลบอกว่า มีห้องว่างแค่ 2 ห้อง คือชั้นบนสุด....ระหว่างตัดสินใจ มีผู้ใหญ่ในกลุ่มเราบอก "นี่ไง...ห้องกระจกนี่นอนได้มั้ย ให้ ผช.นอนนี่ ผู้หญิงกับเด็กไปนอนชั้นบน" คนดูแลก็อ้ำอึ้ง เดินเข้าห้องสำนักงานไปโทรศัพท์พักใหญ่ เกือบ 10 นาทีก่อนออกมาว่าตกลง เราจัดแจงเก็บของในที่พักและตกลงว่าจะไปไหว้ย่าโมสักหน่อย ไหนๆมาทั้งทีต้องได้ไหว้ ไม่ไกลด้วย ก่อนออกไป ผมบ่นพึมพัม ไม่รู้นึกอะไรอยู่ อยู่ดีๆก็พูดออกมา "ป่ะ ไปไหว้ย่าโมกัน" พี่แบงค์(นามสมมุติ)เป็นแฟนของพี่สาวเจ้าบ่าว ถามเชิงแหย่ผม "พี่ไปอยู่แล้ว ไม่ต้องชวน 5555" ตอนที่ผมพูดก็ไม่ได้นึกว่าจะบอกเขานะ แต่นึกอยากชวนใครไม่รู้ อยู่ดีๆก็พูดเฉย ระหว่างทางไปไหว้ตอนนั้นน่าจะ 2 ทุ่มกว่าหน่อยๆ คนขับพาลัดเข้าซอยต่างๆนานา ระหว่างทาง หางตาผมดันไปเห็นศาลเพียงตาเข้า ซึ่งผมก็ยกมือไหว้ เพราะรู้สึกว่าต้องมีอะไรที่ไม่ใช่คนอยู่ตรงนั้นแน่ พี่แบงค์เลยทักถามว่าไหว้อะไร ผมเลยบอกไป แต่พี่แบงค์กลับบอกว่า "ไม่เห็นมี สงสัยไม่ได้สังเกต" ผมไปถึงก็พากันไหว้ย่าโม เสร็จสรรพก็เดินดูรอบๆ นัดว่าเจอกันรถตู้ 3ทุ่มครึ่ง ตอนที่ผมเดินไปดูประตูต่างๆรอบอนุสาวรีย์ มีประตูอยู่บานนึงถูกปิดเอาไว้ และมีชุดไทยแขวนอยู่ 5-6 ชุด ผมเลยคิดในใจว่า ทำไมมาแขวนที่แบบนี้ เพราะเรื่องชุดไทยนี่เป็นความเชื่อส่วนบุคคลไม่น่าเอามาแขวนแถวๆสถานที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว คนไม่เชื่อเขาอาจจะไม่ค่อยชอบ เลยว่าจะไปชวนพ่อมาดูเพื่อจะถามความเห็นว่ายังไง ผลปรากฏกลับมา ประตูบานนั้นเปิดอยู่ ไม่มีชุดไทยใดๆทั้งสิ้น เห็นเพียงหญิงชรานั่งตำหมากอยู่ในมุมมืดอีกฝั่งของถนน เธอมองมาแล้วแสยะยิ้มด้วยไมตรีจิตให้ผมและพ่อ ฟันเธอดำสนิท ปากแดงสด ที่เป็นแบบนี้น่าจะเป็นเพราะหมาก ผมไม่กล้าถามพ่อว่าเห็นหญิงชรานั้นมั้ย กลัวพ่อบอกว่าไม่เห็น 55555 เลยคิดว่าคงเป็นคนเร่ร่อน พอกลับมาที่พักราวๆ 3 ทุ่ม 40 นาที ผู้ใหญ่ยังคงดื่มกันต่อ ส่วนผมเข้าที่พักอาบน้ำนอนดูบอลอย่างสบายใจ อ่อ ลืมบอกลักษณะห้อง ห้องกระจกที่ผมนอนกว้างประมาณ 2 เมตร ลึกพอสมควร พอนอนได้เป็น 10 คน ผมนอนริมนอกสุด ซึ่งผนังเป็นบานหน้าต่างทั้งหมด มองไปเห็นถนนและสวนสาธารณะ ผมเป็นคนกลัวผีอยู่แล้ว เลยเลือกปิดม่านลงมา คนที่นอนข้างๆผมคือพี่แบงค์ ดูแกเป็นคนกลัวผียิ่งกว่าผมอีก ผมนอนริมสุด ปลายเท้าเป็นประตู ลักษณะที่นอนเป็นที่นอนลูกฟูก ใครเดินเข้าออกผมรู้หมด เพราะที่นอนมันยุบ ลืมบอกไป พวกผมเอาที่นอนวางกะพื้นเลย ไม่มีเตียง ผมนอนไปได้พักใหญ่ๆ ผมได้ยินเสียงลุงที่เป็นพ่อเจ้าบ่าวคุยโทรศัพท์ บอกทางมาให้ใครสักคน จับใจความได้ว่าเป็นญาติที่มาจากสุโขทัย ตอนนั้นเวลาประมาณ ตี 3 พ่อผมที่เป็นคู่หูก็ออกไปช่วยด้วย ผมได้ยินเสียงของทั้งคู่ตลอดเวลา ก่อนที่จะเดินผ่านขาผมออกไปนอกห้อง ที่รู้เพราะที่นอนผมมันยุบจนรู้สึกได้ พอทั้งคู่ออกไป สักพักก็รู้สึกว่ามีอีกหนึ่งเดินข้ามขาผมไป แต่ไม่รู้ใครเพราะไม่ได้ยินเสียงคุยเลย หลังจากนั้นผมรู้สึกว่าผ้าม่านมันปลิวมาเขี่ยหน้าผม ผมเลยนอนตะแคงหันไปทางพี่แบงค์ แต่!! หันมาไม่ถึงนาที เขี่ยอีกแล้ว เขี่ยที่หน้าเหมือนเดิม แต่คราวเขี่ยลักษณะทิศทางเข้าหาทางพี่แบงค์ ผมไม่กล้าลืมตา หลอกตัวเองว่าพี่แบงค์ละเมอเขี่ย เขี่ยอยู่สักพัก เริ่มแรงขึ้นจนรู้สึกเจ็บ ผมเลยตัดสินใจลืมตาขึ้น แต่ไม่เจอเป็นตัวเป็นตน สิ่งที่เห็นมีเพียง แต่ก็หลอนไม่ใช่น้อย เพราะผมเห็นชุดไทยแบบเดียวกับที่ประตูที่อนุสาวรีย์แขวนอยู่มุมห้อง เลยตัดสินใจหันหาผ้าม่านดีกว่า พอหันกลับมา คราวนี้ไม่มีการเขี่ยแล้ว แต่มาจิ้มหลังแทน จิ้มครั้งแรกทีเดียว เป็นผู้หญิงแน่นอน เพราะรู้สึกได้ถึงเล็บ ครั้งที2 จิ้มสองครั้ง ครั้งสุดท้ายจิ้มรัวๆเลยครับ พร้อมกับเสียงเรียกของพี่แบงค์ เลยคิดว่าพี่แบงค์คงจะชวนให้ออกไปข้างนอกเป็นเพื่อน พอจะหันไปเท่านั้นแหละ ผมขยับไม่ได้ ลืมตาไม่ขึ้น หลังผมยังคงถูกจิ้มรัวๆ แต่ไม่เรียกแล้ว ผมพยายามฝืนลืมตาขึ้นมา ภาพที่เห็นคือ เธอนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าผม มือวางอยู่ที่หน้าขา เล็บยาวสีแดง ผมไม่เห็นหน้าเพราะไม่กล้าเงยขึ้นไปมอง ผมพยายามท่องบทสวดมนต์ต่างๆนานา เข้าใจฟิวเลย ว่าท่องระโมไม่จบบทเป็นยังไง ได้แค่นะโมตัสสะจริงๆ นึกขึ้นได้ว่าห้อยพระ เลยเอื้อมมือจะไปจับพระซึ่งเราคงดิ้นจนไปอยู่ด้านหลัง พอคิดว่าจะเอื้อมมือเท่านั้น เธอกรี๊ดใส่หูผมลั่นเลย กรี๊ดหนักมาก กรี๊ดอยู่สามที ผมเลยคิดในใจว่าโอเค ไม่จับพระก็ได้ ตอนนั้นเริ่มได้สติแล้ว ผมท้องอิติปิโสเลย ทีนี้หนักกว่าเดิมอีก ทั้งจิ้มปากทั้งกรี๊ด ทั้งจิ้มหลัง คราวนี้เสียงกรี๊ดเธอเปลี่ยนไป เสียงเธอเหมือนหมูถูกเชือดไม่มีผิด กรี๊ดหนักมากๆ จนผมท่องอิติปิโสไปหลายจบ เธอก็หายไป จังหวะเดียวกันที่พ่อเดินเข้ามาสะดุดขาผม ผมลุกพรวดเดียวออกไปนอกห้อง ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง จนงานเสร็จสิ้นไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ที่แย่หน่อย เธอดันตามมาที่บ้านนี่สิ....
ถ้าโรงแรมเต็มอย่าไปเร้าหรือ....
....ผมเป็นเด็กกรุงเทพฯที่เกิดและโตในกรุงเทพ พ่อแม่เป็นคนลพบุรี ซึ่งห่างจากบ้านในกรุงเทพฯเพียง ชม.กับอีก40นาที แน่นอน ครอบครัวผมจะกลับลพบุรีทุกอาทิตย์ ส่วนตัวเลยมีความเป็นเด็กบ้านนอกคิดตัวมาด้วย....เข้าเรื่องเลยดีกว่า ผมจำความได้ในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งผมและครอบครัวอาศัยบ้านป้มอยู่ เป็นหมู่บ้านเล็กในกรุงเทพย่าน สุขาฯ3-มีนบุรี ในหมู่บ้านจะแบ่งเป็นซอยๆ ส่วนซอยที่ผมอยู่จะมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันหลายคน ซึ่งจำความได้ก็เล่นกันมาแต่เด็ก จนกระทั่งผมโตขึ้น พ่อแม่เลยพากันย้ายออกมา อยู่ห่างจากสนามบินไม่ถึง 20 กิโลฯ แต่ก็ยังเทียวไปเทียวมาอยู่เรื่อยๆ จนหลาย10ปีผ่านไป เพื่อนคนนึงที่อยู่ในซอยนั้น กำลังจะแต่งงาน พ่อเจ้าบ่าวเป็นคนสุโขทัย ส่วนเจ้าสาวอยู่ในโคราช ครอบครัวผมแห่กันไปทั้งหมด เพราะไม่ใช่แค่ผมสนิทกับเจ้าบ่าว พ่อผมกับพ่อเจ้าบ่าวก็สนิทกันชนิดมองตาก็รู้ใจไม่ต่างจากลูก เจ้าบ่าวมีพี่สาว 1 คนซึ่งยังไม่แต่งงาน แต่ฝ่ายชายก็เข้าออกบ้านได้อย่างกับแต่งแล้ว เพราะพ่อแม่รับรู้ .... ออกทะเลไกลไปละ 5555 กลับมาเข้าเรื่อง ทางพ่อเจ้าบ่าวอาสาเหมารถตู้ให้ 1 คัน เพื่อพาคนในซอยไปร่วมงาน ครอบครัวผมเป็น1ในนั้น เรานั่งรถตู้กันจนมาถึงบ้านเจ้าบ่าว เป็นคืนก่อนวันงาน ซึ่งทุกอย่างปกติดี ผู้ใหญ่ก็ดื่มสังสรรค์กันไป เราก็ดื่มแต่น้อย ก่อนกับเวลาประมาณ 1 ทุ่ม ทางแม่เจ้าสาว อาสาหาที่พักให้ เป็น โรงแรมราคาถูกจัดดดดด!!! ห่างจากบ้านงานไม่มาก ใกล้อนุสาวรีย์ย่าโม โรงแรมเป็นลักษณกึ่งอพาร์ตเมนต์ ชั้นล่างสุดเป็นห้องกระจกสองห้อง เดาว่าให้เช่าเป็นร้านขายของ เพราะห้องนึงเป็นร้านขายของ อีกห้องนึงว่างแต่ปิดม่านทึบทั้งหมด เมื่อมาถึง บอก คนดูแลว่าจะพักประมาณ 13 คน คนดูแลบอกว่า มีห้องว่างแค่ 2 ห้อง คือชั้นบนสุด....ระหว่างตัดสินใจ มีผู้ใหญ่ในกลุ่มเราบอก "นี่ไง...ห้องกระจกนี่นอนได้มั้ย ให้ ผช.นอนนี่ ผู้หญิงกับเด็กไปนอนชั้นบน" คนดูแลก็อ้ำอึ้ง เดินเข้าห้องสำนักงานไปโทรศัพท์พักใหญ่ เกือบ 10 นาทีก่อนออกมาว่าตกลง เราจัดแจงเก็บของในที่พักและตกลงว่าจะไปไหว้ย่าโมสักหน่อย ไหนๆมาทั้งทีต้องได้ไหว้ ไม่ไกลด้วย ก่อนออกไป ผมบ่นพึมพัม ไม่รู้นึกอะไรอยู่ อยู่ดีๆก็พูดออกมา "ป่ะ ไปไหว้ย่าโมกัน" พี่แบงค์(นามสมมุติ)เป็นแฟนของพี่สาวเจ้าบ่าว ถามเชิงแหย่ผม "พี่ไปอยู่แล้ว ไม่ต้องชวน 5555" ตอนที่ผมพูดก็ไม่ได้นึกว่าจะบอกเขานะ แต่นึกอยากชวนใครไม่รู้ อยู่ดีๆก็พูดเฉย ระหว่างทางไปไหว้ตอนนั้นน่าจะ 2 ทุ่มกว่าหน่อยๆ คนขับพาลัดเข้าซอยต่างๆนานา ระหว่างทาง หางตาผมดันไปเห็นศาลเพียงตาเข้า ซึ่งผมก็ยกมือไหว้ เพราะรู้สึกว่าต้องมีอะไรที่ไม่ใช่คนอยู่ตรงนั้นแน่ พี่แบงค์เลยทักถามว่าไหว้อะไร ผมเลยบอกไป แต่พี่แบงค์กลับบอกว่า "ไม่เห็นมี สงสัยไม่ได้สังเกต" ผมไปถึงก็พากันไหว้ย่าโม เสร็จสรรพก็เดินดูรอบๆ นัดว่าเจอกันรถตู้ 3ทุ่มครึ่ง ตอนที่ผมเดินไปดูประตูต่างๆรอบอนุสาวรีย์ มีประตูอยู่บานนึงถูกปิดเอาไว้ และมีชุดไทยแขวนอยู่ 5-6 ชุด ผมเลยคิดในใจว่า ทำไมมาแขวนที่แบบนี้ เพราะเรื่องชุดไทยนี่เป็นความเชื่อส่วนบุคคลไม่น่าเอามาแขวนแถวๆสถานที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว คนไม่เชื่อเขาอาจจะไม่ค่อยชอบ เลยว่าจะไปชวนพ่อมาดูเพื่อจะถามความเห็นว่ายังไง ผลปรากฏกลับมา ประตูบานนั้นเปิดอยู่ ไม่มีชุดไทยใดๆทั้งสิ้น เห็นเพียงหญิงชรานั่งตำหมากอยู่ในมุมมืดอีกฝั่งของถนน เธอมองมาแล้วแสยะยิ้มด้วยไมตรีจิตให้ผมและพ่อ ฟันเธอดำสนิท ปากแดงสด ที่เป็นแบบนี้น่าจะเป็นเพราะหมาก ผมไม่กล้าถามพ่อว่าเห็นหญิงชรานั้นมั้ย กลัวพ่อบอกว่าไม่เห็น 55555 เลยคิดว่าคงเป็นคนเร่ร่อน พอกลับมาที่พักราวๆ 3 ทุ่ม 40 นาที ผู้ใหญ่ยังคงดื่มกันต่อ ส่วนผมเข้าที่พักอาบน้ำนอนดูบอลอย่างสบายใจ อ่อ ลืมบอกลักษณะห้อง ห้องกระจกที่ผมนอนกว้างประมาณ 2 เมตร ลึกพอสมควร พอนอนได้เป็น 10 คน ผมนอนริมนอกสุด ซึ่งผนังเป็นบานหน้าต่างทั้งหมด มองไปเห็นถนนและสวนสาธารณะ ผมเป็นคนกลัวผีอยู่แล้ว เลยเลือกปิดม่านลงมา คนที่นอนข้างๆผมคือพี่แบงค์ ดูแกเป็นคนกลัวผียิ่งกว่าผมอีก ผมนอนริมสุด ปลายเท้าเป็นประตู ลักษณะที่นอนเป็นที่นอนลูกฟูก ใครเดินเข้าออกผมรู้หมด เพราะที่นอนมันยุบ ลืมบอกไป พวกผมเอาที่นอนวางกะพื้นเลย ไม่มีเตียง ผมนอนไปได้พักใหญ่ๆ ผมได้ยินเสียงลุงที่เป็นพ่อเจ้าบ่าวคุยโทรศัพท์ บอกทางมาให้ใครสักคน จับใจความได้ว่าเป็นญาติที่มาจากสุโขทัย ตอนนั้นเวลาประมาณ ตี 3 พ่อผมที่เป็นคู่หูก็ออกไปช่วยด้วย ผมได้ยินเสียงของทั้งคู่ตลอดเวลา ก่อนที่จะเดินผ่านขาผมออกไปนอกห้อง ที่รู้เพราะที่นอนผมมันยุบจนรู้สึกได้ พอทั้งคู่ออกไป สักพักก็รู้สึกว่ามีอีกหนึ่งเดินข้ามขาผมไป แต่ไม่รู้ใครเพราะไม่ได้ยินเสียงคุยเลย หลังจากนั้นผมรู้สึกว่าผ้าม่านมันปลิวมาเขี่ยหน้าผม ผมเลยนอนตะแคงหันไปทางพี่แบงค์ แต่!! หันมาไม่ถึงนาที เขี่ยอีกแล้ว เขี่ยที่หน้าเหมือนเดิม แต่คราวเขี่ยลักษณะทิศทางเข้าหาทางพี่แบงค์ ผมไม่กล้าลืมตา หลอกตัวเองว่าพี่แบงค์ละเมอเขี่ย เขี่ยอยู่สักพัก เริ่มแรงขึ้นจนรู้สึกเจ็บ ผมเลยตัดสินใจลืมตาขึ้น แต่ไม่เจอเป็นตัวเป็นตน สิ่งที่เห็นมีเพียง แต่ก็หลอนไม่ใช่น้อย เพราะผมเห็นชุดไทยแบบเดียวกับที่ประตูที่อนุสาวรีย์แขวนอยู่มุมห้อง เลยตัดสินใจหันหาผ้าม่านดีกว่า พอหันกลับมา คราวนี้ไม่มีการเขี่ยแล้ว แต่มาจิ้มหลังแทน จิ้มครั้งแรกทีเดียว เป็นผู้หญิงแน่นอน เพราะรู้สึกได้ถึงเล็บ ครั้งที2 จิ้มสองครั้ง ครั้งสุดท้ายจิ้มรัวๆเลยครับ พร้อมกับเสียงเรียกของพี่แบงค์ เลยคิดว่าพี่แบงค์คงจะชวนให้ออกไปข้างนอกเป็นเพื่อน พอจะหันไปเท่านั้นแหละ ผมขยับไม่ได้ ลืมตาไม่ขึ้น หลังผมยังคงถูกจิ้มรัวๆ แต่ไม่เรียกแล้ว ผมพยายามฝืนลืมตาขึ้นมา ภาพที่เห็นคือ เธอนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าผม มือวางอยู่ที่หน้าขา เล็บยาวสีแดง ผมไม่เห็นหน้าเพราะไม่กล้าเงยขึ้นไปมอง ผมพยายามท่องบทสวดมนต์ต่างๆนานา เข้าใจฟิวเลย ว่าท่องระโมไม่จบบทเป็นยังไง ได้แค่นะโมตัสสะจริงๆ นึกขึ้นได้ว่าห้อยพระ เลยเอื้อมมือจะไปจับพระซึ่งเราคงดิ้นจนไปอยู่ด้านหลัง พอคิดว่าจะเอื้อมมือเท่านั้น เธอกรี๊ดใส่หูผมลั่นเลย กรี๊ดหนักมาก กรี๊ดอยู่สามที ผมเลยคิดในใจว่าโอเค ไม่จับพระก็ได้ ตอนนั้นเริ่มได้สติแล้ว ผมท้องอิติปิโสเลย ทีนี้หนักกว่าเดิมอีก ทั้งจิ้มปากทั้งกรี๊ด ทั้งจิ้มหลัง คราวนี้เสียงกรี๊ดเธอเปลี่ยนไป เสียงเธอเหมือนหมูถูกเชือดไม่มีผิด กรี๊ดหนักมากๆ จนผมท่องอิติปิโสไปหลายจบ เธอก็หายไป จังหวะเดียวกันที่พ่อเดินเข้ามาสะดุดขาผม ผมลุกพรวดเดียวออกไปนอกห้อง ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง จนงานเสร็จสิ้นไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ที่แย่หน่อย เธอดันตามมาที่บ้านนี่สิ....