ก่อนเจอกันวันที่ 4 มิย. ที่จะถึงนี้ มาดูเกร็ดและย้อนรอยประวัติศาสตร์กันนิดหน่อย
ฝั่งมาดริด
1.รีลมาดริด คือทีมที่เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอล UCL มากที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ 14 ครั้ง เรื่องที่น่าทึ่งคือ ได้ตำแหน่งแชมป์มาถึง 11 ครั้ง โดยพลาดแพ้นัดชิงเพียง 3 ครั้งเท่านั้น ในปี 62 แพ้ต่อ เบนฟิก้า ปี 64 แพ้ต่อ อินเตอร์ ซึ่งก็เป็นยุครุ่งเรืองของเบนฟิก้าและอินเตอร์ในอดีตด้วย จากนั้นก็ทิ้งช่วง ไม่สามารถเข้าชิงได้อีกเลยเกือบ 20 ปี จนมาถึงปี 81 พ่ายให้ลิเวอร์พูลยุคเรดแมชชีน
2.รีลมาดริดเคยทิ้งช่วงไม่ได้แชมป์ยุโรปนานถึง 40 ปี
หลังจากฟุตบอลยุคเก่าในสมัยของอัลเฟรโด้ ดิสเตฟาโน่ มาดริดก็ห่างจากความสำเร็จในถ้วยนี้มานาน ไม่เคยได้แชมป์อีกเลยนานเกือบ 40 ปีเต็ม มีเข้าชิงอีกแค่สามครั้งเท่านั้น จนเมื่อถึงปี 98 ซึ่งมาดริดไม่ได้เป็นเต็งแชมป์ของรายการ อีกทั้งสภาพทีมยังค่อนข้างกระท่อนกระแท่น แต่ก็ยังเข้าชิงกับยูเวนตุสซึ่งเป็นเต็ง 1 ของรายการในเวลานั้น กับทีมยุคสุดแกร่งที่มีเดลปิเอโร่ในตอนที่ฟอร์มพีคสุดขีด (พีคส่วนตัวครั้งสุดท้าย ยุคที่ยังเบียดกับโรนัลโด้ R9 ได้) และมีจอมทัพมาแรงอย่างซีดานนำทัพ แต่สุดท้ายมาดริดที่มาแบบเรื่อยๆเรียงๆในยุคของปู่ไฮย์เกส (ที่ไม่รู้ทำไมว่า พอคุมๆไปผู้บริหารทีมใหญ่ๆมักอยากเอาแกออก ตอนไปอยู่บาเยิร์นก็เป็น แต่แกชอบทิ้งทวนปีสุดท้าย) แต่ก็มาได้แชมป์มาครองจากประตูชัยของเปแดร็ก มิยาโตวิช แล้วยังถือว่านั่นเป็นปีแจ้งเกิดของเจ้าชายราชันชุดขาวยุคใหม่อย่างราอูล กอนซาเลส ด้วย
3.ก่อนจะเป็นยุคกาลาคติกอส ทีมของเดลบอสเก้ กระท่อนกระแท่นแต่ถึงแชมป์นะครับ
ในปี 2000 มาดริดกลับมาเข้าชิงด้วยสภาพที่ย่ำแย่กว่าปีก่อนๆซะอีก ถือว่าเป็นปีที่สภาพทีมมาดริดไม่พร้อมเอาเลย แม้จะมีสตาร์อย่างฟิโก้ที่ไปทุ่มซื้อจนเป็นสถิติโลก แต่นักเตะหลายคนของมาดริดชุดนั้นมาจากการผลักดันเยาวชนของสโมสร และเป็นพวกสตาร์ขาโรยผสมผสานกับพวกที่ได้มาฟรีๆและค่าแรงถูกจากกฏบอสแมน แต่ปีนั้นเดลบอสเก้ที่หลายๆคนทั้งในสเปนและยุโรปต่างปรามาสว่า "ไม่มีบารมียอดโค้ช" กลับสามารถปรับจูนแผนการเล่นของทีมจนลงตัว ทำให้มาดริดที่เล่นเกมรับไม่เอาอ่าวอยู่หลายปี มีเกมรับที่แน่น และเกมโต้กลับกับจังหวะปิดสกอร์สุดคม จนสามารถฝ่าด่านสองทีมแกร่งตอนนั้นอย่าง แมนยู บาเยิร์น แล้วเข้าชิงปราบทีมมาแรงตอนนั้นอย่างบาเลนเซียที่มีจอมทัพเมนดิเอต้าที่กำลังกลายเป็นนักเตะสเปนค่าตัวสูงสุดลงได้อย่างราบคาบ แล้วยังเป็นการแจ้งเกิดของโกลดาวรุ่งที่ทุกคนต้องตะลึงกาซิยาสตั้งแต่นัดปราบแมนยูและบาเยิร์นด้วย เมื่อสามารถเซฟพัลวัน รวมกับการเล่นในตำแหน่งสวีปเปอร์จำเป็นของ เอลเกร่า นี่คือมาดริดชุดที่เล่นไม่สวยงามอะไรนัก แต่ทรงประสิทธิภาพในเกมรับและรุกที่สุดชุดหนึ่ง ก่อนจะเข้าสู่ยุคกาคลาคติกอสเต็มตัว
แล้วมาดริดก็มาได้อีกครั้งในปี 2002 จากการนำของซีดาน
4.ช่วงสูญญากาศใน UCL หลังจากคว้าแชมป์มาได้เป็นครั้งสุดท้ายที่มีซีดาน & Co ยังกับพระเอกแล้ว ทีมก็เหมือนมีอาถรรพ์ แม้ว่าจะยังมีฟอร์มการเล่นเกมรุกที่ดุดันอยู่ แต่เกมรับของทีมก็เป็นจุดอ่อนมาตลอด ทีมมักตกรอบ 16 ทีม หรือ 8 ทีมมาตลอดหลังจากนั้น (ไม่รู้เพราะ จับเจอลียงบ่อยหรือเปล่า แพ้ทางอยู่ยุคหนึ่งเลย ก่อเกิดฉายา "ลียง ลงเป็นยิง" มาดริดก็เป็นเหยื่อกับเขาด้วย) อีกทั้งในช่วง 10 ปีนั้น ก็มีโค้ชเก่งๆเข้ามาทำมาดริด แต่ก็ไปไม่ถึงดวงดาวสักที แม้แต่มูริญโญ่ที่เข้ามาทำมาดริดยกระดับขึ้นอีกขึ้น แต่ก็ยังได้แค่เกือบ แถมยังตกอยู่ใต้ร่มเงาของบาร์ซ่ายุคเป๊ปที่มีพวกเมสซี่ ซาบี อิเนสต้า บีญ่า ปูโยล จนขึ้นมาครองโลกในช่วงนั้น
5.การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของมาดริด จะป้องกันแชมป์เป็นทีมแรกได้ไหม
มาดริดมาปลดล็อคทะลุเข้ารอบลึกๆและเข้าชิงใน UCL ได้อีกครั้งในรอบ 12 ปี ด้วยผลงานของยอดโค้ชอย่างอันเชล็อตติ & Co ที่นำโดยโรนัลโด้ในปี 2013/2014 ซึ่งเป็นชัยชนะสุดดราม่า หลังจากรามอสตีเสมอให้มาดริดในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แล้วก็มายิงสลุตในช่วงต่อเวลา เอาชนะแอตมาดริดที่อุตส่าห์เข้าชิงเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ จากนั้นมาดริดก็ผงาดกลับมาเต็มตัว จนมาเข้าชิงอีกครั้งในปี 2016 เมื่อปีที่แล้ว
และมาดูกันว่า ปีนี้มาดริดจะเป็นทีมแรกที่สามารถป้องกันแชมป์ยุโรป นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อและระบบมาเป็น UCL ได้หรือไม่ หลังจากแชมป์เก่าไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้เลย โดยทีมสุดท้ายที่ทำได้ ต้องย้อนกลับไปถึงปี 90 จากฝีมือของมิลานในยุคสุดแกร่งของขรัวเฒ่าจอมโวยอย่างซ้าคคี่
6.ถ้ามาดริดได้แชมป์ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จะเข้าทำเนียบนักเตะที่ได้แชมป์ UCL กับสโมสรเดียวถึง 3 ครั้ง ร่วมกับอีกหลายๆคน (เมสซี่ก็อยู่ในนั้น) แต่เขาจะกลายเป็นนักเตะที่ได้แชมป์ UCL 4 สมัย เทียบเท่ากับ คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ แต่ยังตามหลังเปาโล มัลดินี่ที่ครองสถิติได้แชมป์ UCL สูงสุด 5 สมัย
ซึ่งปัจจุบัน โรนัลโด้ทำลายสถิติเป็นดาวซัลโวสูงสุดของ UCL ถ้าเขาไม่ดวงซวยบาดเจ็บก่อนนัดชิง เขาจะกลายเป็นนักเตะที่ได้เข้าชิงแชมป์ถ้วย UCL ถึง 5 ครั้ง แซงหน้าพวกที่ได้เข้าไปเล่นนัดชิง 4 ครั้งอย่าง กิ๊กซ์ ซาบี อิเนสต้า ปีร์โล่ (เมสซี่มีชื่อเข้าเล่นนัดชิง 3 ครั้ง ปี 2006 ชื่อหลุดเพราะเจ็บ) และจะได้เข้าชิงถ้วยนี้เทียบเท่ากับพวก ฟานเดอร์ซาร์ เซดอร์ฟ อินซากี้ เอฟร่า ที่ต่างก็ได้เข้าไปลงเล่นชิงถึง 5 ครั้งเช่นกัน (โรนัลโด้เข้าชิง 2 ครั้งกับแมนยู และเข้าชิง 3 ครั้งกับมาดริด รวมครั้งนี้) แต่ก็ยังตามหลังเจ้าของสถิติสูงสุดอย่างเปาโล มัลดินี่ ที่ได้เข้าชิงชนะเลิศถึง 8 ครั้งกับมิลานเป็นสถิติตลอดกาลอยู่ (ส่วนเอฟร่าคือเจ้าของสถิติสุดซวย เข้าชิง 5 กับโมนาโก แมนยู ยูเวนตุส แต่ได้มาครั้งเดียวกับแมนยู)
ความน่ากลัวอีกอย่างคือ รามอสเป็นกองหลังคนแรกที่ยิงประตูในนัดชิงได้ถึงสองครั้ง (แถมยิงแม่มทดเจ็บด้วย!!!!) และถ้าจำไม่ผิด เขาคือนักเตะที่ยิงในนัดชิงได้สองครั้งร่วมกับราอูล เมสซี่ เอโต้ และโรนัลโด้ด้วย มาดูกันว่า จะมีเพิ่มอีกไหม
ฝั่งยูเวนตุส
1.เจ้าพ่อรองแชมป์
ใครจะไปคิดว่า ทีมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและเกียรติยศมากมายอย่างยูเวนตุส จะเพิ่งได้แชมป์ใบใหญ่สุดของยุโรปมาแค่ 2 ครั้งเท่านั้นจากการเข้าชิงถึง 8 ครั้ง นี่คือทีมที่ทำสถิติแพ้ในนัดชิงชนะเลิศมากที่สุดถึง 6 ครั้ง (อะไรจะอับโชคนัดชิงขนาดนั้น) แล้วยังมีสถิติน่าสนใจคือ ทีมชุดที่แพ้นัดชิงสองครั้งคือปี 98 และ 2003 ทีมมีนักเตะบัลลงดอร์ของปีนั้นอย่าง ซีดาน และ เนียดเวียดด้วย แต่ก็ยังไม่พอที่จะคว้าแชมป์ ซึ่งเนียดเวียดนี่ถือว่าอับโชคสุดขีด เพราะไปพลาดเสียใบเหลืองในรอบรองของปีนั้น ทำให้อดลงเล่นนัดชิงชนะเลิศแล้วทีมก็พ่ายต่อมิลานในสมัยนั้นไป (ใครว่าคนแพ้ไม่ได้บัลลงดอร์ ไม่จริงเสมอไป)
2.กว่าจะได้แชมป์ยุโรปแรกของสโมสร
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ยูเวนตุส เพิ่งจะมาได้แชมป์ยุโรปครั้งแรกในปี 85 ด้วยฝีมือของนโปเลียนลูกหนัง มิเชล พลาตินี่ ผู้ครองตำแหน่งบัลลงดอร์สามสมัยซ้อนคนแรกในประวัติศาสตร์ และเป็นคนที่สองที่ได้สามสมัยต่อจากนักเตะเทวดาโยฮัน ครัฟฟ์ (เมสซี่คือคนแรกที่ได้สี่สมัยซ้อน แต่ก็เป็นบัลลงดอร์ยุคใหม่ที่รวมฟีฟ่าเข้าไปด้วยแล้ว ก่อนจะปรับกลับมาใช้ระบบโหวตรวมคะแนนของนักข่าวแบบเดิมในปีที่แล้ว) ด้วยการชนะยอดทีมเวลานั้นอย่างลิเวอร์พูลลงได้ (อีกทีมยักษ์ใหญ่ที่กว่าจะมาได้สมัยแรกก็คือ บาร์เซโลน่า ชุดดรีมทีมของโยฮันครัฟฟ์ ในปี 92) ยูเวนตุสกลับมาครองความยิ่งใหญ่ในอิตาลีและยุโรปได้อีกครั้งยุคปลาย 90 ด้วยการได้แชมป์ยุโปรปี 96 และเข้าชิงติดกันสองครั้งหลังจากนั้น แต่ก็พลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆที่ศักยภาพทีมมากพอจะเป็นแชมป์ได้และเป็นเต็งของรายการด้วย ทำให้ยูเว่ต้องห่างจากตำแหน่งชนะเลิศแชมป์ยุโรปนานถึง 21 ปี ก่อนจะได้เข้าชิงอีกครั้งในปีนี้
3.ราชันย์หน้าประตู ผู้ยังไม่เคยได้แชมป์ยุโรป
บุฟฟ่อน ผู้รักษาประตูอันดับหนึ่งของโลกในยุคนี้ ไม่เคยได้แชมป์ UCL เลยแม้แต่ครั้งเดียว จากการเข้าชิง 2 ครั้ง หวังว่าการเข้าชิงครั้งที่ 3 จะได้กับเขาบ้างก่อนรีไทร์ แล้วถ้าทำได้ เขาอาจจะกลายเป็นผู้รักษาประตูคนแรกที่ได้ตำแหน่งบัลลังดอร์ต่อจากเลิฟ ยาชินก็เป็นได้ และถ้ายูเวนตุสคว้าแชมป์ บุฟฟ่อนก็จะกลายเป็นกัปตันทีมที่ได้ชูถ้วยแชมป์และลงเล่นในนัดชิงที่มีอายุมากที่สุด ทำลายสถิติของมัลดินี่ที่ได้ชูถ้วยในปี 2007 ที่อายุ 38 ปี โดยบุฟฟ่อนจะได้ชูถ้วยตอนอายุ 39 ปี ซึ่งโกลที่เป็นกัปตันคนล่าสุดที่ได้ชูถ้วยคือกาซิยาสของมาดริดนี่เองในปี 2014
4.เกมรับอิตาลีพันธุ์แท้ยังอยู่จ้า
อาจเป็นความภูมิใจของศิลปะแนวรับของฟุตบอลอิตาลีก็ได้ เมื่อยูเวนตุสคือทีมที่ใช้แนวรับและผู้รักษาประตูตัวจริงเป็นนักเตะอิตาลีทั้งหมด และติดทีมชาติทั้งหมดเป็นแกนหลักในการเข้าชิงด้วย ได้แก่ บุฟฟ่อน และ สามแนวรับ คิเอลลินี่ บาซาญี่ โบนุชชี่ แม้ว่าจะมีการปรับแนวรับและไม่ได้ใช้แผนหลังสามทั้งหมดก็ตาม แต่ก็ถือว่าแทบไม่มีแล้วที่ใช้นักเตะชาติเดียวกันเป็นหลักในเกมรับแบบนี้ ซึ่งก่อนหน้ายูเวนตุส ก็มีปอร์โต้ยุคมูริญโญ่ คือทีมสุดท้ายที่ได้เข้าชิง UCL โดยมีนักเตะแนวรับตัวจริงที่มาจากชาติเดียวกันทั้งหมด โดยต้องย้อนไปถึงปี 2004 เมื่อปอร์โต้เข้าชิงชนะเลิศกับโมนาโก แล้วปอร์โต้ได้แชมป์ มีแผงหลังและโกลตัวจริงนัดนั้นเป็นนักเตะโปรตุกีสทั้งหมด
5.ระบบหลังสามแบบใหม่ ยังกลับมาใช้ได้
อาจจะบอกว่าเป็นการกลับมาของระบบการยืนแบบหลังสามคนก็ได้ระดับหนึ่ง เมื่อยูเวนตุสคือทีมที่ใช้ระบบการเล่นแบบหลัง 3 คน คือ 3-5-2 ที่ปรับเป็น 3-4-3 ก็ได้ หรือก็ปรับเป็น 4-5-1 แล้วแต่สถานการณ์ และคู่แข่ง แต่แผนการเล่นหลังสามก็มีการปรับใช้มาตลอด แล้วก็ได้เข้าชิงชนะเลิศ UCL ซึ่งทีมสุดท้ายที่ใช้แผนการเล่นยืนพื้นหลังสามคนแล้วมีวิงแบ็คช่วยจนได้เข้าชิง เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายเมื่อ 17 ปีก่อน ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน รีลมาดริด ในยุคเดลบอสเก้ คู่ชิงของพวกเขาในปีนี้นั่นเอง โดยตอนนั้นมาดริดต้องการแก้ปัญหาแนวรับ เลยมาปรับใช้ระบบหลังสามคน แล้วผลักดันจนเข้าชิงได้ครั้งสุดท้ายในปี 2000 หลังจากนั้นทีมที่ใช้ระบบนี้เป็นแผนยืนพื้น ก็ไม่เคยเข้าถึงรอบชิงได้อีกเลย จนกระทั่งยูเวนตุสทำได้ในปีนี้
6.โค้ชอิตาเลียนคือเบอร์หนึ่ง
อัลเลกรี อาจกลายเป็นความภูมิใจของโค้ชชาวอิตาเลียนก็ว่าได้ เพราะนี่คือโค้ชสัญญาติอิตาเลียนที่พาทีมฟุตบอลจากกัลโช่ซีรีย์อา ลีกสูงสุดของอิตาลี แล้วเข้าชิงชนะเลิศ UCL ได้ถึง 2 ครั้งใน 3 ปี ซึ่งโค้ชอิตาเลียนคนสุดท้ายที่พาทีมจากกัลโช่เข้าชิงได้แบบนี้คืออันเชล็อตติที่พามิลานเข้าชิง 3 ครั้งใน 7 ปี ก่อนที่อันเช่จะไปสร้างชื่อเพิ่มจากการพามาดริดเข้าชิงในปี 2014 ส่วนอินเตอร์ที่ได้เข้าชิงในปี 2010 มาจากผลงานของโค้ชโปรตุกีสอย่างมูริญโญ่
แต่แฟนๆยูเว่ก็อาจจะต้องลุ้นกันหนักหน่อย เพราะพวกเขาไม่เคยเอาชนะคู่แข่งนัดชิงที่เป็นทีมจากเยอรมันและสเปนได้เลย โดยสองครั้งที่ยูเวนตุสทำสำเร็จในนัดชิงคือการเอาชนะลิเวอร์พูลและอาแจ็กซ์ที่เป็นแชมป์เก่า นอกนั้นพ่ายแพ้ทั้งหมด ครั้งสุดท้ายที่แพ้นัดชิงก็คือแพ้ให้บาร์ซ่าที่เป็นทีมจากสเปนเหมือนกัน อีกเรื่องที่แฟนยูเว่อาจจะต้องกังวลคือ พวกเขาเป็นทีมที่มีสถิติการยิงประตูในนัดชิงไม่ค่อยดีนัก ใน 5 ครั้งหลังสุดที่ได้เข้าชิง พวกเขายิงได้แค่ 3 ลูกเท่านั้นเอง แถมปีสุดท้ายที่ได้แชมป์คือปี 96 ด้วยการปราบอาแจ็กซ์ลงได้นั้นก็ต้องเล่นกันไปจนถึงช่วงยิงจุดโทษอีก แต่สำหรับมาดริด ในการเข้าชิง 5 ครั้งหลังสุดภายในรอบ 20 ปี พวกเขาซัดได้ถึง 11 ประตู แม้ว่าจะเป็นประตูที่เกิดในช่วงต่อเวลาออกไปถึง 3 ลูกก็ตาม
@@@เกร็ดเพิ่มเติม นี่คือการโคจรกลับมาพากันของซีดานในฐานะโค้ชของมาดริด กับ ยูเวนตุส สโมสรเก่าสมัยเป็นผู้เล่นของตนเองที่มีส่วนมากในการทำให้เขาเป็นนักเตะระดับโลก ก่อนจะย้ายไปสร้างตำนานกับมาดริดต่อ นี่ถ้าเป็นการสร้างหนังชีวิตของซีดาน จะเป็นฉากไคลแมกซ์ที่สนุกมาก
ย้อนรอย 12 เรื่องน่ารู้ก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศ UCL 2016/2017 Real Madrid VS Juventus
ฝั่งมาดริด
1.รีลมาดริด คือทีมที่เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอล UCL มากที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ 14 ครั้ง เรื่องที่น่าทึ่งคือ ได้ตำแหน่งแชมป์มาถึง 11 ครั้ง โดยพลาดแพ้นัดชิงเพียง 3 ครั้งเท่านั้น ในปี 62 แพ้ต่อ เบนฟิก้า ปี 64 แพ้ต่อ อินเตอร์ ซึ่งก็เป็นยุครุ่งเรืองของเบนฟิก้าและอินเตอร์ในอดีตด้วย จากนั้นก็ทิ้งช่วง ไม่สามารถเข้าชิงได้อีกเลยเกือบ 20 ปี จนมาถึงปี 81 พ่ายให้ลิเวอร์พูลยุคเรดแมชชีน
2.รีลมาดริดเคยทิ้งช่วงไม่ได้แชมป์ยุโรปนานถึง 40 ปี
หลังจากฟุตบอลยุคเก่าในสมัยของอัลเฟรโด้ ดิสเตฟาโน่ มาดริดก็ห่างจากความสำเร็จในถ้วยนี้มานาน ไม่เคยได้แชมป์อีกเลยนานเกือบ 40 ปีเต็ม มีเข้าชิงอีกแค่สามครั้งเท่านั้น จนเมื่อถึงปี 98 ซึ่งมาดริดไม่ได้เป็นเต็งแชมป์ของรายการ อีกทั้งสภาพทีมยังค่อนข้างกระท่อนกระแท่น แต่ก็ยังเข้าชิงกับยูเวนตุสซึ่งเป็นเต็ง 1 ของรายการในเวลานั้น กับทีมยุคสุดแกร่งที่มีเดลปิเอโร่ในตอนที่ฟอร์มพีคสุดขีด (พีคส่วนตัวครั้งสุดท้าย ยุคที่ยังเบียดกับโรนัลโด้ R9 ได้) และมีจอมทัพมาแรงอย่างซีดานนำทัพ แต่สุดท้ายมาดริดที่มาแบบเรื่อยๆเรียงๆในยุคของปู่ไฮย์เกส (ที่ไม่รู้ทำไมว่า พอคุมๆไปผู้บริหารทีมใหญ่ๆมักอยากเอาแกออก ตอนไปอยู่บาเยิร์นก็เป็น แต่แกชอบทิ้งทวนปีสุดท้าย) แต่ก็มาได้แชมป์มาครองจากประตูชัยของเปแดร็ก มิยาโตวิช แล้วยังถือว่านั่นเป็นปีแจ้งเกิดของเจ้าชายราชันชุดขาวยุคใหม่อย่างราอูล กอนซาเลส ด้วย
3.ก่อนจะเป็นยุคกาลาคติกอส ทีมของเดลบอสเก้ กระท่อนกระแท่นแต่ถึงแชมป์นะครับ
ในปี 2000 มาดริดกลับมาเข้าชิงด้วยสภาพที่ย่ำแย่กว่าปีก่อนๆซะอีก ถือว่าเป็นปีที่สภาพทีมมาดริดไม่พร้อมเอาเลย แม้จะมีสตาร์อย่างฟิโก้ที่ไปทุ่มซื้อจนเป็นสถิติโลก แต่นักเตะหลายคนของมาดริดชุดนั้นมาจากการผลักดันเยาวชนของสโมสร และเป็นพวกสตาร์ขาโรยผสมผสานกับพวกที่ได้มาฟรีๆและค่าแรงถูกจากกฏบอสแมน แต่ปีนั้นเดลบอสเก้ที่หลายๆคนทั้งในสเปนและยุโรปต่างปรามาสว่า "ไม่มีบารมียอดโค้ช" กลับสามารถปรับจูนแผนการเล่นของทีมจนลงตัว ทำให้มาดริดที่เล่นเกมรับไม่เอาอ่าวอยู่หลายปี มีเกมรับที่แน่น และเกมโต้กลับกับจังหวะปิดสกอร์สุดคม จนสามารถฝ่าด่านสองทีมแกร่งตอนนั้นอย่าง แมนยู บาเยิร์น แล้วเข้าชิงปราบทีมมาแรงตอนนั้นอย่างบาเลนเซียที่มีจอมทัพเมนดิเอต้าที่กำลังกลายเป็นนักเตะสเปนค่าตัวสูงสุดลงได้อย่างราบคาบ แล้วยังเป็นการแจ้งเกิดของโกลดาวรุ่งที่ทุกคนต้องตะลึงกาซิยาสตั้งแต่นัดปราบแมนยูและบาเยิร์นด้วย เมื่อสามารถเซฟพัลวัน รวมกับการเล่นในตำแหน่งสวีปเปอร์จำเป็นของ เอลเกร่า นี่คือมาดริดชุดที่เล่นไม่สวยงามอะไรนัก แต่ทรงประสิทธิภาพในเกมรับและรุกที่สุดชุดหนึ่ง ก่อนจะเข้าสู่ยุคกาคลาคติกอสเต็มตัว
แล้วมาดริดก็มาได้อีกครั้งในปี 2002 จากการนำของซีดาน
4.ช่วงสูญญากาศใน UCL หลังจากคว้าแชมป์มาได้เป็นครั้งสุดท้ายที่มีซีดาน & Co ยังกับพระเอกแล้ว ทีมก็เหมือนมีอาถรรพ์ แม้ว่าจะยังมีฟอร์มการเล่นเกมรุกที่ดุดันอยู่ แต่เกมรับของทีมก็เป็นจุดอ่อนมาตลอด ทีมมักตกรอบ 16 ทีม หรือ 8 ทีมมาตลอดหลังจากนั้น (ไม่รู้เพราะ จับเจอลียงบ่อยหรือเปล่า แพ้ทางอยู่ยุคหนึ่งเลย ก่อเกิดฉายา "ลียง ลงเป็นยิง" มาดริดก็เป็นเหยื่อกับเขาด้วย) อีกทั้งในช่วง 10 ปีนั้น ก็มีโค้ชเก่งๆเข้ามาทำมาดริด แต่ก็ไปไม่ถึงดวงดาวสักที แม้แต่มูริญโญ่ที่เข้ามาทำมาดริดยกระดับขึ้นอีกขึ้น แต่ก็ยังได้แค่เกือบ แถมยังตกอยู่ใต้ร่มเงาของบาร์ซ่ายุคเป๊ปที่มีพวกเมสซี่ ซาบี อิเนสต้า บีญ่า ปูโยล จนขึ้นมาครองโลกในช่วงนั้น
5.การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของมาดริด จะป้องกันแชมป์เป็นทีมแรกได้ไหม
มาดริดมาปลดล็อคทะลุเข้ารอบลึกๆและเข้าชิงใน UCL ได้อีกครั้งในรอบ 12 ปี ด้วยผลงานของยอดโค้ชอย่างอันเชล็อตติ & Co ที่นำโดยโรนัลโด้ในปี 2013/2014 ซึ่งเป็นชัยชนะสุดดราม่า หลังจากรามอสตีเสมอให้มาดริดในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แล้วก็มายิงสลุตในช่วงต่อเวลา เอาชนะแอตมาดริดที่อุตส่าห์เข้าชิงเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ จากนั้นมาดริดก็ผงาดกลับมาเต็มตัว จนมาเข้าชิงอีกครั้งในปี 2016 เมื่อปีที่แล้ว
และมาดูกันว่า ปีนี้มาดริดจะเป็นทีมแรกที่สามารถป้องกันแชมป์ยุโรป นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อและระบบมาเป็น UCL ได้หรือไม่ หลังจากแชมป์เก่าไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้เลย โดยทีมสุดท้ายที่ทำได้ ต้องย้อนกลับไปถึงปี 90 จากฝีมือของมิลานในยุคสุดแกร่งของขรัวเฒ่าจอมโวยอย่างซ้าคคี่
6.ถ้ามาดริดได้แชมป์ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จะเข้าทำเนียบนักเตะที่ได้แชมป์ UCL กับสโมสรเดียวถึง 3 ครั้ง ร่วมกับอีกหลายๆคน (เมสซี่ก็อยู่ในนั้น) แต่เขาจะกลายเป็นนักเตะที่ได้แชมป์ UCL 4 สมัย เทียบเท่ากับ คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ แต่ยังตามหลังเปาโล มัลดินี่ที่ครองสถิติได้แชมป์ UCL สูงสุด 5 สมัย
ซึ่งปัจจุบัน โรนัลโด้ทำลายสถิติเป็นดาวซัลโวสูงสุดของ UCL ถ้าเขาไม่ดวงซวยบาดเจ็บก่อนนัดชิง เขาจะกลายเป็นนักเตะที่ได้เข้าชิงแชมป์ถ้วย UCL ถึง 5 ครั้ง แซงหน้าพวกที่ได้เข้าไปเล่นนัดชิง 4 ครั้งอย่าง กิ๊กซ์ ซาบี อิเนสต้า ปีร์โล่ (เมสซี่มีชื่อเข้าเล่นนัดชิง 3 ครั้ง ปี 2006 ชื่อหลุดเพราะเจ็บ) และจะได้เข้าชิงถ้วยนี้เทียบเท่ากับพวก ฟานเดอร์ซาร์ เซดอร์ฟ อินซากี้ เอฟร่า ที่ต่างก็ได้เข้าไปลงเล่นชิงถึง 5 ครั้งเช่นกัน (โรนัลโด้เข้าชิง 2 ครั้งกับแมนยู และเข้าชิง 3 ครั้งกับมาดริด รวมครั้งนี้) แต่ก็ยังตามหลังเจ้าของสถิติสูงสุดอย่างเปาโล มัลดินี่ ที่ได้เข้าชิงชนะเลิศถึง 8 ครั้งกับมิลานเป็นสถิติตลอดกาลอยู่ (ส่วนเอฟร่าคือเจ้าของสถิติสุดซวย เข้าชิง 5 กับโมนาโก แมนยู ยูเวนตุส แต่ได้มาครั้งเดียวกับแมนยู)
ความน่ากลัวอีกอย่างคือ รามอสเป็นกองหลังคนแรกที่ยิงประตูในนัดชิงได้ถึงสองครั้ง (แถมยิงแม่มทดเจ็บด้วย!!!!) และถ้าจำไม่ผิด เขาคือนักเตะที่ยิงในนัดชิงได้สองครั้งร่วมกับราอูล เมสซี่ เอโต้ และโรนัลโด้ด้วย มาดูกันว่า จะมีเพิ่มอีกไหม
ฝั่งยูเวนตุส
1.เจ้าพ่อรองแชมป์
ใครจะไปคิดว่า ทีมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและเกียรติยศมากมายอย่างยูเวนตุส จะเพิ่งได้แชมป์ใบใหญ่สุดของยุโรปมาแค่ 2 ครั้งเท่านั้นจากการเข้าชิงถึง 8 ครั้ง นี่คือทีมที่ทำสถิติแพ้ในนัดชิงชนะเลิศมากที่สุดถึง 6 ครั้ง (อะไรจะอับโชคนัดชิงขนาดนั้น) แล้วยังมีสถิติน่าสนใจคือ ทีมชุดที่แพ้นัดชิงสองครั้งคือปี 98 และ 2003 ทีมมีนักเตะบัลลงดอร์ของปีนั้นอย่าง ซีดาน และ เนียดเวียดด้วย แต่ก็ยังไม่พอที่จะคว้าแชมป์ ซึ่งเนียดเวียดนี่ถือว่าอับโชคสุดขีด เพราะไปพลาดเสียใบเหลืองในรอบรองของปีนั้น ทำให้อดลงเล่นนัดชิงชนะเลิศแล้วทีมก็พ่ายต่อมิลานในสมัยนั้นไป (ใครว่าคนแพ้ไม่ได้บัลลงดอร์ ไม่จริงเสมอไป)
2.กว่าจะได้แชมป์ยุโรปแรกของสโมสร
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ยูเวนตุส เพิ่งจะมาได้แชมป์ยุโรปครั้งแรกในปี 85 ด้วยฝีมือของนโปเลียนลูกหนัง มิเชล พลาตินี่ ผู้ครองตำแหน่งบัลลงดอร์สามสมัยซ้อนคนแรกในประวัติศาสตร์ และเป็นคนที่สองที่ได้สามสมัยต่อจากนักเตะเทวดาโยฮัน ครัฟฟ์ (เมสซี่คือคนแรกที่ได้สี่สมัยซ้อน แต่ก็เป็นบัลลงดอร์ยุคใหม่ที่รวมฟีฟ่าเข้าไปด้วยแล้ว ก่อนจะปรับกลับมาใช้ระบบโหวตรวมคะแนนของนักข่าวแบบเดิมในปีที่แล้ว) ด้วยการชนะยอดทีมเวลานั้นอย่างลิเวอร์พูลลงได้ (อีกทีมยักษ์ใหญ่ที่กว่าจะมาได้สมัยแรกก็คือ บาร์เซโลน่า ชุดดรีมทีมของโยฮันครัฟฟ์ ในปี 92) ยูเวนตุสกลับมาครองความยิ่งใหญ่ในอิตาลีและยุโรปได้อีกครั้งยุคปลาย 90 ด้วยการได้แชมป์ยุโปรปี 96 และเข้าชิงติดกันสองครั้งหลังจากนั้น แต่ก็พลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆที่ศักยภาพทีมมากพอจะเป็นแชมป์ได้และเป็นเต็งของรายการด้วย ทำให้ยูเว่ต้องห่างจากตำแหน่งชนะเลิศแชมป์ยุโรปนานถึง 21 ปี ก่อนจะได้เข้าชิงอีกครั้งในปีนี้
3.ราชันย์หน้าประตู ผู้ยังไม่เคยได้แชมป์ยุโรป
บุฟฟ่อน ผู้รักษาประตูอันดับหนึ่งของโลกในยุคนี้ ไม่เคยได้แชมป์ UCL เลยแม้แต่ครั้งเดียว จากการเข้าชิง 2 ครั้ง หวังว่าการเข้าชิงครั้งที่ 3 จะได้กับเขาบ้างก่อนรีไทร์ แล้วถ้าทำได้ เขาอาจจะกลายเป็นผู้รักษาประตูคนแรกที่ได้ตำแหน่งบัลลังดอร์ต่อจากเลิฟ ยาชินก็เป็นได้ และถ้ายูเวนตุสคว้าแชมป์ บุฟฟ่อนก็จะกลายเป็นกัปตันทีมที่ได้ชูถ้วยแชมป์และลงเล่นในนัดชิงที่มีอายุมากที่สุด ทำลายสถิติของมัลดินี่ที่ได้ชูถ้วยในปี 2007 ที่อายุ 38 ปี โดยบุฟฟ่อนจะได้ชูถ้วยตอนอายุ 39 ปี ซึ่งโกลที่เป็นกัปตันคนล่าสุดที่ได้ชูถ้วยคือกาซิยาสของมาดริดนี่เองในปี 2014
4.เกมรับอิตาลีพันธุ์แท้ยังอยู่จ้า
อาจเป็นความภูมิใจของศิลปะแนวรับของฟุตบอลอิตาลีก็ได้ เมื่อยูเวนตุสคือทีมที่ใช้แนวรับและผู้รักษาประตูตัวจริงเป็นนักเตะอิตาลีทั้งหมด และติดทีมชาติทั้งหมดเป็นแกนหลักในการเข้าชิงด้วย ได้แก่ บุฟฟ่อน และ สามแนวรับ คิเอลลินี่ บาซาญี่ โบนุชชี่ แม้ว่าจะมีการปรับแนวรับและไม่ได้ใช้แผนหลังสามทั้งหมดก็ตาม แต่ก็ถือว่าแทบไม่มีแล้วที่ใช้นักเตะชาติเดียวกันเป็นหลักในเกมรับแบบนี้ ซึ่งก่อนหน้ายูเวนตุส ก็มีปอร์โต้ยุคมูริญโญ่ คือทีมสุดท้ายที่ได้เข้าชิง UCL โดยมีนักเตะแนวรับตัวจริงที่มาจากชาติเดียวกันทั้งหมด โดยต้องย้อนไปถึงปี 2004 เมื่อปอร์โต้เข้าชิงชนะเลิศกับโมนาโก แล้วปอร์โต้ได้แชมป์ มีแผงหลังและโกลตัวจริงนัดนั้นเป็นนักเตะโปรตุกีสทั้งหมด
5.ระบบหลังสามแบบใหม่ ยังกลับมาใช้ได้
อาจจะบอกว่าเป็นการกลับมาของระบบการยืนแบบหลังสามคนก็ได้ระดับหนึ่ง เมื่อยูเวนตุสคือทีมที่ใช้ระบบการเล่นแบบหลัง 3 คน คือ 3-5-2 ที่ปรับเป็น 3-4-3 ก็ได้ หรือก็ปรับเป็น 4-5-1 แล้วแต่สถานการณ์ และคู่แข่ง แต่แผนการเล่นหลังสามก็มีการปรับใช้มาตลอด แล้วก็ได้เข้าชิงชนะเลิศ UCL ซึ่งทีมสุดท้ายที่ใช้แผนการเล่นยืนพื้นหลังสามคนแล้วมีวิงแบ็คช่วยจนได้เข้าชิง เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายเมื่อ 17 ปีก่อน ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน รีลมาดริด ในยุคเดลบอสเก้ คู่ชิงของพวกเขาในปีนี้นั่นเอง โดยตอนนั้นมาดริดต้องการแก้ปัญหาแนวรับ เลยมาปรับใช้ระบบหลังสามคน แล้วผลักดันจนเข้าชิงได้ครั้งสุดท้ายในปี 2000 หลังจากนั้นทีมที่ใช้ระบบนี้เป็นแผนยืนพื้น ก็ไม่เคยเข้าถึงรอบชิงได้อีกเลย จนกระทั่งยูเวนตุสทำได้ในปีนี้
6.โค้ชอิตาเลียนคือเบอร์หนึ่ง
อัลเลกรี อาจกลายเป็นความภูมิใจของโค้ชชาวอิตาเลียนก็ว่าได้ เพราะนี่คือโค้ชสัญญาติอิตาเลียนที่พาทีมฟุตบอลจากกัลโช่ซีรีย์อา ลีกสูงสุดของอิตาลี แล้วเข้าชิงชนะเลิศ UCL ได้ถึง 2 ครั้งใน 3 ปี ซึ่งโค้ชอิตาเลียนคนสุดท้ายที่พาทีมจากกัลโช่เข้าชิงได้แบบนี้คืออันเชล็อตติที่พามิลานเข้าชิง 3 ครั้งใน 7 ปี ก่อนที่อันเช่จะไปสร้างชื่อเพิ่มจากการพามาดริดเข้าชิงในปี 2014 ส่วนอินเตอร์ที่ได้เข้าชิงในปี 2010 มาจากผลงานของโค้ชโปรตุกีสอย่างมูริญโญ่
แต่แฟนๆยูเว่ก็อาจจะต้องลุ้นกันหนักหน่อย เพราะพวกเขาไม่เคยเอาชนะคู่แข่งนัดชิงที่เป็นทีมจากเยอรมันและสเปนได้เลย โดยสองครั้งที่ยูเวนตุสทำสำเร็จในนัดชิงคือการเอาชนะลิเวอร์พูลและอาแจ็กซ์ที่เป็นแชมป์เก่า นอกนั้นพ่ายแพ้ทั้งหมด ครั้งสุดท้ายที่แพ้นัดชิงก็คือแพ้ให้บาร์ซ่าที่เป็นทีมจากสเปนเหมือนกัน อีกเรื่องที่แฟนยูเว่อาจจะต้องกังวลคือ พวกเขาเป็นทีมที่มีสถิติการยิงประตูในนัดชิงไม่ค่อยดีนัก ใน 5 ครั้งหลังสุดที่ได้เข้าชิง พวกเขายิงได้แค่ 3 ลูกเท่านั้นเอง แถมปีสุดท้ายที่ได้แชมป์คือปี 96 ด้วยการปราบอาแจ็กซ์ลงได้นั้นก็ต้องเล่นกันไปจนถึงช่วงยิงจุดโทษอีก แต่สำหรับมาดริด ในการเข้าชิง 5 ครั้งหลังสุดภายในรอบ 20 ปี พวกเขาซัดได้ถึง 11 ประตู แม้ว่าจะเป็นประตูที่เกิดในช่วงต่อเวลาออกไปถึง 3 ลูกก็ตาม
@@@เกร็ดเพิ่มเติม นี่คือการโคจรกลับมาพากันของซีดานในฐานะโค้ชของมาดริด กับ ยูเวนตุส สโมสรเก่าสมัยเป็นผู้เล่นของตนเองที่มีส่วนมากในการทำให้เขาเป็นนักเตะระดับโลก ก่อนจะย้ายไปสร้างตำนานกับมาดริดต่อ นี่ถ้าเป็นการสร้างหนังชีวิตของซีดาน จะเป็นฉากไคลแมกซ์ที่สนุกมาก